บทที่ 1168 วิชาปีกแสงอัสนีทอง
ในห้วงฝันบรรพกาล พื้นที่ของเผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้ามีบึงน้ำแข็งเย็นเยือกแห่งหนึ่ง ด้านล่างมีมรดกเหมันต์วารี
ทว่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าจัดอยู่ในลำดับท้ายๆ ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ มรดกแห่งนี้จึงไม่ได้ทรงพลังเท่าไหร่นัก ส่วนจ้าวเฟิงชำนาญในศาสตร์อัคคีและวายุอัสนีที่สุด ในตอนนี้ต้องการฝึกศาสตร์ทอง จึงไม่มีเวลาว่างไปฝึกศาสตร์เหมันต์
แต่ที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ฝึกตนที่ดีเยี่ยมอย่างยิ่งสำหรับจ้าววั่น
ไม่นานหลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงพาจ้าววั่นกับจ้าวหวางเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล ถิ่นของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้ากลายเป็นพื้นที่ฝึกฝนส่วนตัวของจ้าววั่น ถึงแม้ขอบเขตพลังของเขาจะยังอยู่เทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์ แต่พลังทั้งหมดกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว! จ้าวเฟิงทะยานเร็วรี่อยู่ในห้วงฝันบรรพกาล
‘แรงกดดันที่ห้วงฝันบรรพกาลมีต่อข้าลดลงไปแล้ว เมื่ออยู่ที่นี่ความเร็วของข้าจะเพิ่มขึ้น!’
ตอนจ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ เขามาถึงยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง
นอกเหนือจากเรื่องความเร็วแล้ว ความสามารถทางประสาทสัมผัสและการมองเห็นของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้น เขาครอบครองดวงตาเทพเจ้า แต่เดิมความสามารถในการมองเห็นก็ดีเยี่ยมอย่างยิ่ง แต่ในวันนี้น่ากลัวยิ่งกว่า เมื่ออยู่ในห้วงฝันบรรพกาลจะมองเห็นสถานที่ที่ไกลออกไปหลายหมื่นลี้ด้วยซ้ำไป
แต่ถ้าหากจ้าวเฟิงกลับมายังดินแดนเทพรกร้าง ทั้งหมดนี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
เมื่อนั่งลง ด้านหน้าจ้าวเฟิงปรากฏผลึกและทรัพยากรล้ำค่าหลายอย่าง
หากจะเร่งเพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ผลึกเซียนระดับล่างไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของจ้าวเฟิงได้อีกแล้ว ถึงแม้ผลึกเซียนจะล้ำค่าหายาก แต่ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงเพียงคนเดียวมีสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างหลายสาย ในจุดที่บริสุทธิ์บางแห่งของสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างอาจปรากฏผลึกขึ้นบ้างบางคราว ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเฟิงยังใช้ความสามารถในการคัดลอกของดวงตาซ้ายได้อีกด้วย
วูบ วูบ!
จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ดูดซึมสรรพคุณทางยาในทรัพยากรล้ำค่า รวมทั้งพลังเทพกับไอสวรรค์ที่หนาแน่นบริสุทธิ์ในผลึกเทพ
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงเคลื่อนอัสนีเพลิงทำลายล้างไปผสานกับพลังอัสนีเทวะในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ และทำการเสริมสร้างกายชนิดนี้
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการฝึกกายเนื้อ ส่วนวิญญาณของจ้าวเฟิงกำลังฝึกเคล็ดวิชาการบินอยู่
หลังจากมาถึงดินแดนเทพรกร้าง ครึ่งเทพที่จ้าวเฟิงสังหารนั้นมีมากมาย ซึ่งในนั้นยังรวมเทพแท้จริงกุ่ยลี่ด้วย ในมิติเก็บของของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างมีท่าร่างและเคล็ดวิชาข้ามมิติจำนวนมาก จ้าวเฟิงศึกษาและทำความเข้าใจทั้งหมด และเตรียมสรุปเคล็ดวิชาความเร็วที่เหมาะสมกับตนเอง
“วิชาปีกอัสนีโบยบินแฝงด้วยศาสตร์วายุอัสนี แต่วายุคล่องแคล่วปราดเปรียว เหมาะกับท่าร่างประเภทหลบหลีก ความเร็วไม่เท่ากับอัสนี ดังนั้นจึงถอดใจกับสำนึกรู้แห่งลมไปได้เลย!”
“ทอง ความเร็วดุจแสง ทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง ในด้านความเร็วไม่ด้อยไปกว่าอัสนีเลย ถ้าสามารถอนุมานเคล็ดวิชาโบยบินในศาสตร์อัสนีทองได้ ผลลัพธ์น่าจะไม่เลว!”
ไม่นาน จ้าวเฟิงก็พอจะมองทิศทางออกคร่าวๆ
แต่จะพึ่งพาเคล็ดวิชาความเร็วที่ตนเองฝึกฝนก็ยากเย็นเกินไป
หากมีวิชาโบยบินศาสตร์อัสนีทองที่ใช้อ้างอิงได้คงจะดี เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิงมีพัฒนาการอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปเคล็ดวิชาโบยบิน
ขวับ!
จ้าวเฟิงหยิบผลไม้เถาวัลย์สองลูกออกมา ลูกหนึ่งสีเหลืองทอง อีกลูกสีน้ำเงิน
พลังสำนึกรู้ที่แฝงอยู่ในผลไม้สองลูกแบ่งเป็นทองและสายฟ้า ผลึกที่เปลือกสลายไปจนหมดแล้ว
ในวินาทีที่ผลไม้เถาวัลย์ทั้งสองปรากฏขึ้น จ้าวเฟิงก็ตกเข้าสู่โลกสำนึกรู้ที่มีสายฟ้าและแสงสีทองตัดสลับกัน
ในฟ้าดินผืนนี้ หมื่นอัสนีกัมปนาท แสงสีทองพุ่งรอบทิศ!
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป จ้าวเฟิงพลันลืมตาขึ้น
วู้ม แซ่ด!
ปีกแสงอัสนีทองแดงคู่หนึ่งเกาะกลุ่มกันที่หลังของเขา ก่อนพุ่งทะยานขึ้นบนชั้นเมฆ
ปีกที่หลังจ้าวเฟิงค่อยๆ กลายเป็นปีกอัสนีแสงทองสุกสว่าง พลังธาตุทองในฟ้าดิน ทะลักไปหาจ้าวเฟิง
ทั้งฟ้าดินเปล่งแสงสีทองระยิบระยับ!
ฟิ้ว!
จ้าวเฟิงโบยบินรวดเร็ว ปีกทองบริสุทธิ์ด้านหลังลากประกายทองเพลิงออกเป็นสาย
ความเร็วของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรจะขวางเส้นทางการโบยบินของเขาได้
ฟิ้ว!
จ้าวเฟิงเป็นดั่งแสงทองร้อนแรง โฉบผ่านในฟ้ารวดเร็วจนไม่เห็นเงา
‘หากไม่นับข้อได้เปรียบจากห้วงฝันบรรพกาล ถ้าอยู่ในดินแดนเทพรกร้าง ความเร็วในตอนนี้ของข้าจะมากกว่าวิชาปีกอัสนีโบยบินถึงสองเท่าตัว!’
สีหน้าจ้าวเฟิงปีติยินดี
นี่เป็นเคล็ดวิชาโบยบินที่จ้าวเฟิงเพิ่งอนุมานได้ เคล็ดวิชาโบยบินที่เขาสรุปได้มาจะว่องไวขึ้นตามระดับความลึกซึ้งเสวียนอ้าวธาตุทอง
การอนุมานเคล็ดวิชาโบยบิน เคล็ดวิชาที่จ้าวเฟิงใช้อ้างอิงล้วนเป็นขั้นเทพ ดังนั้นเคล็ดวิชาโบยบินที่ศึกษามาได้จึงอยู่ในขั้นเทพเป็นอย่างน้อย
“เดี๋ยวลองวิชาข้ามมิติสักหน่อยแล้วกัน!”
สีหน้าจ้าวเฟิงตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
วู้ม แซ่ด แซ่ด!
ปีกทองบริสุทธิ์ที่หลังจ้าวเฟิงกลายเป็นแสงอัสนีสีฟ้าทองในฉับพลัน เป็นปีกอัสนีที่สายฟ้านับไม่ถ้วนเกี่ยวกระหวัดเข้าด้วยกัน
“ประกายแสงอัสนีข้ามมิติ!”
ในขณะที่จ้าวเฟิงโบยบิน ปีกอัสนีด้านหลังพลันส่งเสียงดังกึกก้อง วินาทีนั้นร่างของจ้าวเฟิงประหนึ่งกลายเป็นอัสนีบาตสายหนึ่ง ลั่นแปลบปลาบออกไปไกลหลายหมื่นลี้ ไม่ต่างจากสายฟ้าแลบน่าพรั่นพรึง
‘วิชาโบยบินจะใช้ศาสตร์ทองเป็นหลัก และใช้ศาสตร์วายุอัสนีเป็นตัวเสริม แต่วิชาข้ามมิติจะใช้ศาสตร์อัสนีเป็นหลัก และใช้วายุทองเป็นตัวเสริม!”
นี่ก็คือแก่นเคล็ดวิชาโบยบินของจ้าวเฟิง
“เรียกเจ้าว่า ‘วิชาปีกแสงอัสนีทอง’ แล้วกัน!”
จ้าวเฟิงตั้งชื่อให้กับเคล็ดวิชาโบยบินที่ตนเองคิดค้นขึ้น
แน่นอนว่านี่เป็นเคล็ดวิชาที่จ้าวเฟิงเพิ่งจะสรุปมาได้ ยังต้องการเวลาในการทำให้สมบูรณ์
เวลาต่อมา จ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าว และแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ในอาณาเขตของจ้าวเฟิง ทุกวันเหล่าสัตว์อสูรจะเห็นแสงสีทองสว่างหรือสายอัสนีบาตฟาดไปมาในอากาศให้เห็นอยู่เนืองๆ
สามเดือนต่อมา วิชาปีกแสงอัสนีทองของจ้าวเฟิงสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม ด้านการโบยบินและการข้ามมิติที่อยู่ในระดับต้นก็พัฒนาเพิ่มขึ้นมาก อยู่ในขั้นเทพระดับกลางเป็นอย่างน้อย
ส่วนจ้าวเฟิงลึกซึ้งในศาสตร์อัสนีทอง จึงส่งผลช่วยอย่างมากต่อ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ช่วงเวลาครึ่งปี เขาฝึกฝนวิชาทั้งสองไปจนถึงขอบเขตพลังชั้นต้น อีกทั้งยังมั่นคงอย่างยิ่ง สามารถข้ามไปถึงระดับสูงได้ทุกเวลา ในแต่ละด้านของจ้าวเฟิงล้วนมีพัฒนาการชัดเจน
“นายท่าน เทพแท้จริงกุ่ยซาจากไปแล้ว!”
ยามนี้ เสียงของมังกรวารีล้างโลกาดังขึ้นในหัวจ้าวเฟิง
ในระยะนี้จ้าวเฟิงมักจะอยู่ในห้วงฝันบรรพกาล ไม่ได้สนใจเรื่องราวในโลกภายนอก เพียงแต่ใช้ให้มังกรวารีล้างโลกาคอยตรวจตราสถานการณ์ต่างๆ ที่ด้านนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพแท้จริงกุ่ยซา
“จากไปแล้ว?”
ร่างจ้าวเฟิงค่อยๆ หายไปจากห้วงฝันบรรพกาล และปรากฏตัวที่มนตราอากาศ
ถ้าหากเทพแท้จริงกุ่ยซาอยู่ที่นี่ตอนนี้ จะต้องสังเกตเห็นความผิดปกติในค่ายกลดาวเหนือได้ทันที และโจมตีอากาศอันเป็นที่อำพรางกายของมนตราอากาศ แต่โลกภายนอกกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เทพแท้จริงกุ่ยซาน่าจะเดินทางออกจากแถวนี้ไปแล้วจริงๆ
‘เป็นได้อย่างยิ่งว่าเขาจะไปเผ่าแพะเพลิงทองเพื่อสืบหาเบาะแสข้า!’
จ้าวเฟิงพึมพำในใจ ตกลงสู่ภวังค์ความคิด
เผ่าแพะเพลิงทองเป็นดั่งมดปลวกในสายตาของเทพแท้จริงขั้นสาม จะสังหารหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเทพแท้จริงกุ่ยซาทั้งสิ้น
“แต่เทพแท้จริงกุ่ยซาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดครึ่งปี พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้าเกาะเทียนอวี่ไม่ได้อยู่ที่เกาะเทียนอวี่…”
จ้าวเฟิงค่อยๆ ครุ่นคิด มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
ตามการคาดเดาของจ้าวเฟิง มีความเป็นไปได้มากที่เจ้าเกาะเทียนอวี่จะเดินไปทางที่เผ่าหยกทองพร้อมกับซีเฟิง เจ้าเกาะเทียนอวี่ไม่อยู่ อันตรายของจ้าวเฟิงก็ลดลงไปมาก
“เสี่ยวเฮย ฝ่าออกไป!”
จิตต่อสู้ของจ้าวเฟิงทะลักพวยพุ่งออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
เทพแท้จริงกุ่ยซาไม่อยู่ เจ้าเกาะเทียนอวี่ก็ไม่อยู่ จ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาจะฝ่าออกไป เพียงแค่ค่ายกลดาวเหนือจะขวางพวกเขาเอาไว้ได้หรือ?
อีกอย่าง จ้าวเฟิงสังหารคนพวกนี้ไปเสีย ก่อนจะตรงไปยังถิ่นของเจ้าเกาะเทียนอวี่ เทพแท้จริงกุ่ยซาจะต้องถูกบีบให้กลับมาแน่
“ได้!”
มังกรวารีล้างโลการะบายยิ้มเย็น ในวันนี้เขาฟื้นฟูพลังกลับคืนสู่เทพแท้จริงขั้นหนึ่ง อยากจะออกไปสังหารนานแล้ว
ที่โลกภายนอก ลูกศิษย์และข้ารับใช้จำนวนยี่สิบสามคนของเกาะเทียนอวี่ลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
พวกเขาอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว และต้องมากางค่ายกลที่ภายในว่างเปล่าเช่นนี้
“เฮ้อ ไม่รู้เลยว่าเจ้าเกาะรองคิดจะทำอะไร!”
“นั่นสิ ตัวเจ้าเกาะรองเองก็คอยเฝ้าดูอยู่ที่นั่นครึ่งปีแล้ว!”
เมื่อเทพแท้จริงกุ่ยซาจากไป ทุกคนถึงกล้าจะวิจารณ์เรื่องนี้ แต่ก็ไม่กล้าก่นด่าเจ้าเกาะรองออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหวาดกลัวเจ้าเกาะทั้งสามจับขั้วหัวใจ
แต่ทันใดนั้นเอง ในค่ายกลของพวกเขาพลันปราฏเงาสองร่างขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป
คนผู้หนึ่งในนั้นทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำ ดวงตาอำมหิตกระหายเลือดชวนให้คนขวัญผวา ส่วนอีกคนหล่อเหลาเย็นชา เรือนผมสีทองปลิวไสวตามลม ดวงตาราวอำพันสุขุมลุ่มลึก
“อะ…ไรกัน มีคนอยู่ภายในนั้นได้อย่างไร?”
ศิษย์ผู้ที่ค่อนข้างตั้งอกตั้งใจอ้าปากค้างพลันตาเบิกกว้าง สีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง
“รีบ…เปิดค่ายกลสังหารเร็ว!”
ศิษย์ครึ่งเทพที่ค่อนข้างแข็งแกร่งตะโกนขึ้นทันที
ทันใดนั้น คนทั้งหมดโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อกระตุ้นค่ายกลดาวเหนือ
ค่ายกลที่ทั้งยี่สิบสองคนกางขึ้นแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นสองยังยากจะทะลวงผ่านไปได้
“ฝ่ามือสายฟ้าทลายนภา!”
จ้าวเฟิงไม่พูดไม่จา กระตุ้นอัสนีเพลิงทำลายล้างหลอมรวมเข้าไปในฝ่ามือสีทองเรืองรอง
ฝ่ามือสายฟ้าทลายนภามีพลังทำลายล้างรุนแรงต่อโลกมิติส่วนตัวและสิ่งที่ยิ่งใหญ่มั่นคง ค่ายกลดาวเหนือแห่งนี้ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
วู้ม แซ่ด!
เงาฝ่ามือแสงทองขนาดยักษ์มีเพลิงสีทองแดงลุกโชน ก่อนจะฟาดลงไปบนค่ายกล
โครม เปรี้ยง!
ค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คนนับสิบที่ค่อนข้างอ่อนแอได้รับผลกระทบเข้าอย่างจัง จนเลือดลมในร่างปั่นป่วน
อีกด้านหนึ่ง กรงเล็บสองข้างของมังกรวารีล้างโลกาตวัดแสงเพลิงสีดำแดง ฟาดลงไปบนค่ายกล
บึ้ม!
คนทั้งสองต่างคนต่างโจมตีออกมา ทำให้ค่ายกลดาวเหนือมีแนวโน้มว่าจะระเบิดออก สิ่งนี้ทำให้ลูกศิษย์และข้ารับใช้เหล่านั้นใจเต้นระรัว สีหน้าซีดเผือด
“พลังของสองคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก หรือว่านี่คือเจตนาที่เจ้าเกาะรองให้พวกเรากางค่ายกลที่นี่!”
ในตอนที่พวกเขาทอดถอนใจนั้นเอง จ้าวเฟิงและมังกรวารีล้างโลกาก็ทะลวงผ่านค่ายกลออกมาแล้ว
“รีบหนีเร็ว!”
กระทั่งค่ายกลดาวเหนือยังแหลกละเอียด ข้ารับใช้และลูกศิษย์หวาดกลัวจนหน้าถอดสี ขนลุกชัน แตกฮือหนีไปคนละทิศทันที
แซ่ด!
บริเวณหลังของจ้าวเฟิงปรากฏปีกสีทองคู่หนึ่งขึ้นทันใด ประดุจดวงอาทิตย์สีทองสว่างแสบตา
วูบ!
เมื่อแสงสีทองตวัดผ่าน ร่างของสามคนที่กำลังหลบหนีพลันขาดสะบั้นออกเป็นสองท่อน
ฉัวะ! เมื่อแสงทองตวัดกลับมา ข้ารับใช้หลายคนร่วงลงด้านล่างอีก
“รวดเร็วนัก นี่มันเคล็ดวิชาโบยบินอะไรกัน?”
มังกรวารีล้างโลกาตื่นตะลึงเล็กน้อย
มองเห็นเพียงแสงทองเจิดจ้าเส้นหนึ่งโฉบไปมาในอากาศ คนของเกาะเทียนอวี่ที่แตกฮือหนีไปคนละทิศคนละทางถูกจ้าวเฟิงสังหารจนสิ้น
“ไปฐานที่มั่นของเจ้าเกาะเทียนอวี่!”
เมื่อเอ่ยสั่งแล้ว มังกรวารีล้างโลกาจึงคืนร่างเดิม พาจ้าวเฟิงเดินทางไปที่เกาะเทียนอวี่
เทพแท้จริงกุ่ยซาเพิ่งจากที่นี่ไปยังเผ่าแพะเพลิงทองเพื่อสอบถามเรื่องจ้าวเฟิงได้ไม่ไกลนัก ดวงตามีเลือดย้อมจนแดงฉาน มือขวาที่สั่นเทิ้มกำป้ายส่งข่าว
“จ้าวเฟิง หากข้ากุ่ยซาไม่สังหารเจ้า ข้าจะไม่ขอเป็นคน!”
เทพแท้จริงกุ่ยซาตะโกนเสียงดัง รีบย้อนกลับไปในทันที