Skip to content

King of Gods 1228

King Of Gods

บทที่ 1228 ใจกลางตำหนัก

ตอนที่จ้าวเฟิงนั่งลงไปบนเบาะรองนั่งผลึกห้าสี เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าเสวียนอ้าวห้าธาตุที่ปั่นป่วนในตำหนักพุ่งตรงมาหาเขา ในวินาทีนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนเองเกือบพังทลาย ใบหน้าบิดเบี้ยวดิ้นรน

“หืม เจ้าเด็กนั่นเป็นอะไรไป?”

ความผิดปกติของจ้าวเฟิงย่อมดึงดูดความสนใจจากคนอื่น หนำซ้ำความปั่นป่วนของพลังเสวียนอ้าวในตำหนักก็รุนแรงไม่น้อย คนจำนวนมากมองจ้าวเฟิงแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเขา

“เฮอะๆ เบาะรองนั่งนั้นเป็นที่ใช้ในการฝึกตนโดยเฉพาะ คนทั่วไปนั่งแล้วจะไม่สามารถแบกรับพลังเสวียนอ้าวจำนวนมหาศาลในตำหนักได้!”

ปฐมเทพจื่อเฟิงหัวเราะเยาะ

สถานที่ฝึกฝนทั่วไปยังมีค่ายกลพิเศษที่รวบรวมไอสวรรค์ในฟ้าดินเอาไว้

สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างกัน เบาะรองนั่งย่อมต้องรวบรวมพลังเทพและพลังเสวียนอ้าวในธรรมชาติเอาไว้ ไม่รู้ว่าเจ้าของตำหนักแห่งนี้ทรงพลังมากขนาดไหน หากปฐมเทพนั่งฝึกบนเบาะรองนั่ง ไม่ใช่เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ

อนึ่ง คนที่มาที่นี่จะสรรหาวิธีการต่างๆ มาขุดค้นเอาสมบัติ มีคนไม่มากนักหรอกที่จะเสียเวลาไปกับการฝึก

‘อันตรายนัก ค่ายกลพิเศษของเบาะรองนั่งนี้ไม่มีผลลัพธ์อะไรอีกแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ดูดพลังในฟ้าดินก็คือตัวของเบาะรองนั่งเอง!’

เหงื่อเย็นไหลบนศีรษะจ้าวเฟิง หวาดกลัวอย่างยิ่ง

ถ้าหากค่ายกลฝึกตนในเบาะรองนั่งยังมีผล เกรงว่าจ้าวเฟิงคงถูกพลังในฟ้าดินที่บ้าคลั่งบีบอัดจนตายไปนานแล้ว ถึงจะเป็นเช่นนั้น ภายในตำหนักแห่งนี้ จ้าวเฟิงก็จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดรับมือผลลัพธ์การฝึกฝนของเบาะรองนั่ง

ทว่าเดิมทีจ้าวเฟิงไม่ได้มาเพื่อฝึก แต่แปลกใจว่าทำไมใจกลางของค่ายกลใต้ดินจึงอยู่แถวเบาะรองนั่งทั้งสาม

จ้าวเฟิงโคจรพลังเทพ ต้านทานพลังที่บีบเข้ามา ในเวลาเดียวกันก็ปลดปล่อยประสาทสัมผัสเทพ ไปสำรวจในเบาะรองนั่ง

ผลลัพธ์คือประสาทสัมผัสเทพของจ้าวเฟิงเข้าไปลึกในเบาะรองนั่งได้อย่างง่ายดาย ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะประสาทสัมผัสเทพของเทพแท้จริงหรือปฐมเทพทั่วไปยากจะรุกล้ำเข้าไปในนั้น

ครืน ฟู่ ฟู่! ไอสวรรค์จำนวนมหาศาลในฟ้าดิน พลังเสวียนอ้าวที่ปั่นป่วน พุ่งเข้ามารวมที่จ้าวเฟิงไม่หยุดหย่อน

ตอนที่ฝึกตน ณ โลกภายนอก จ้าวเฟิงกลืนกินพลังในฟ้าดินสุดแรงเพื่อสะสมเอาไว้ใช้ แต่ในตอนนี้จ้าวเฟิงกลับต้องพยายามต้านพลังเหล่านี้แล้วค่อยๆ ดูดซึมเข้าไปแทน ไม่นานนักจ้าวเฟิงก็พบว่าเสวียนอ้าวห้าธาตุของตนเองเสถียรขึ้น พื้นฐานขอบเขตพลังก็มั่นคงขึ้นบางส่วน แต่จิตวิญญาณของจ้าวเฟิงยังจดจ่ออยู่ที่เบาะรองนั่ง มิได้ฝึกตน

‘ใต้พื้นผลึกด้านล่างเบาะรองนั่งเหมือนจะมีของบางอย่างอยู่?’

จ้าวเฟิงค่อนข้างสงสัย

ประสาทสัมผัสเทพของเขาสัมผัสได้ถึงสิ่งของที่พิเศษบางอย่าง

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ยามนี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงโถงลับแห่งนี้

‘ต่อไปจะมีคนมาที่นี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คงจะฉกฉวยผลประโยชน์อะไรยากแล้ว!’

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

ครั้งนี้จ้าวเฟิงไม่ได้เผชิญอันตรายใด แต่ก็จะไม่ได้โอกาสยิ่งใหญ่ใดเช่นกัน

‘ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นแล้ว ไปดูในใต้ดินของตำหนักก่อนว่าซ่อนอะไรไว้กันแน่!’

ถึงอย่างไรข้อสงสัยนี้ก็มีเพียงจ้าวเฟิงคนเดียวที่จับสังเกตได้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นสมบัติ ถ้าหากจ้าวเฟิงได้สมบัติมาอย่างเงียบๆ มาครั้งนี้เขาก็พอใจแล้ว จากนั้นค่อยแยกตัวและเดินทางต่อ

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกแล้ว จ้าวเฟิงก็รวบรวมจิตวิญญาณ ประสาทสัมผัสเทพทั้งหมดดำดิ่งลงไปด้านล่าง

ครั้งนี้จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงสิ่งของบางอย่าง ผลึกห้าสีก้อนนี้ต่างจากผลึกวาววับที่สร้างตำหนักแห่งนี้มาก

“เหมือนจะไม่ใช่ผลึกเสวียนอ้าว!” จ้าวเฟิงสงสัยมากขึ้นอีก

อยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็รู้จากปากคนอื่นว่าผลึกสุกสว่างเป็นพิเศษเหล่านั้นคือ ผลึกเสวียนอ้าว

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าก้อนห้าสีนี้คืออะไร แต่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งแน่นอน อีกทั้งจ้าวเฟิงยังพบว่าประสาทสัมผัสเทพของเขาแผ่ออกไปไกลมากผ่านเบาะรองนั่งนี้

กำแพงอื่นๆ ในตำหนัก ประสาทสัมผัสเทพของปฐมเทพทั่วไปและเทพแท้จริงไม่อาจทะลวงเข้ามาได้เลย พูดได้ว่านี่อาจจะเป็นความตั้งใจของจอมเทพห้าธาตุ

“นี่มันคืออะไรกันแน่?”

เมื่อนึกเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ยิ่งสนใจ

เขารู้สึกเหมือนตนเองสัมผัสโอกาสที่แท้จริงในตำหนักแห่งนี้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ คนที่มาถึงตำหนักโปร่งแสงแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อย่างเช่นโถงลับที่จ้าวเฟิงอยู่ มีคนเกือบหกคนนั่งขัดสมาธิทำความเข้าใจเคล็ดวิชาและกลยุทธ์การต่อสู้ในภาพ ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยึดครองพื้นที่รอบรูปสลักยักษ์ เหมือนกำลังสำรวจค้นหาบางอย่าง

“เจ้านั่น!” โหวชิ่งแห่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์สังเกตเห็นจ้าวเฟิงตั้งแต่ครั้งแรก

“ยังไม่ต้องสนใจเขา ค้นหาสมบัติให้ละเอียดก่อน!”

ดวงตาปฐมเทพหลินกวงทอประกายเย็นชา

เมื่อเปรียบกับสมบัติแท้จริงของที่นี่แล้ว เรื่องของจ้าวเฟิงก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะไม่เป็นอะไร แถมยังฝึกฝนอยู่บนนั้นอีก?”

ปฐมเทพจื่อเฟิง ปฐมเทพเทียนเสวี่ย และคนส่วนหนึ่งเห็นจ้าวเฟิงนั่งบนเบาะนานแล้ว ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ

แต่ในเวลานี้เอง จิตใจจ้าวเฟิงพลันสั่นสะท้าน

“ข้าสามารถใช้ประสาทสัมผัสเทพและเสวียนอ้าวห้าธาตุควบคุมกลุ่มแสงห้าสีนี้!”

จ้าวเฟิงตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

ของที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติแล้วมักจะเป็นอาวุธเทพหรืออุปกรณ์วิเศษบางอย่าง

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่ากลุ่มแสงห้าสีนี้เป็นอะไร แต่ย่อมต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่

‘ถ้าหากข้าสยบมันได้ อาจเก็บเข้ามิติเก็บของได้โดยตรง!’

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

จากนั้นจึงรวบรวมสตินึกคิด ทุ่มเทพลังทั้งหมดกำราบกลุ่มแสงห้าสี

ตอนที่เพิ่งเริ่ม ขั้นตอนในการควบคุมเชื่องช้ามาก แต่หลังจากทำไปเล็กน้อยจะไวขึ้น

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ พลังเสวียนอ้าวรอบตัวจ้าวเฟิงก็ไม่บ้าคลั่งดังเดิม แต่หมุนวนเป็นระลอกอ่อนโยนอยู่รอบด้านเพื่อให้เขาดูดซึมได้

จุดนี้จ้าวเฟิงผู้จดจ่อกับการควบคุมกลุ่มแสงห้าสีก็ยังไม่รู้ตัว

“ดี ยึดครองไปสี่ส่วนแล้ว!” จ้าวเฟิงตื่นเต้นยิ่งนัก ทำการควบคุมมันต่อ

ขณะนี้เอง ปฐมเทพกุยอีเดินมาที่เบาะรองนั่งข้างจ้าวเฟิงและนั่งลงทันที

ครืน! พลังเสวียนอ้าวห้าธาตุที่จู่ๆ ก็โผล่มาเกือบทำให้เขาหมดสติไป

แต่ปฐมเทพกุยอีเป็นผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดของขั้วอำนาจสี่ดาวระดับสุดยอด มีตื้นลึกหนาบางไม่ธรรมดา ไม่นานจึงฟื้นคืนกลับมา

“ผลในการฝึกดีเยี่ยมยิ่ง ข้าสามารถฝึกฝนที่นี่ให้ขอบเขตพลังเสวียนอ้าวห้าธาตุไปแตะขั้นที่สอง”

ปฐมเทพกุยอีพึมพำ

ก่อนนี้ขั้วอำนาจที่เขาอยู่สำรวจที่นี่จนหมดสิ้นแล้ว เก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย

ในตอนนี้ ปฐมเทพกุยอีเตรียมจะฝึกฝนที่นี่เพื่อเพิ่มพลังเสวียนอ้าว จะได้เอื้อให้เขาได้ลำดับรายชื่อที่ดีมากขึ้นในการประลองรายชื่อปฐมเทพภายหน้า อีกทั้งตัวเขาเองก็ชำนาญเสวียนอ้าวห้าธาตุ สำหรับเขาแล้วที่นี่ก็เป็นสถานที่ฝึกชั้นเลิศ

‘ยึดครองไปแล้วห้าส่วน นี่คือ…’ จ้าวเฟิงตะลึงโดยพลัน

ตอนที่เขาควบคุมกลุ่มแสงห้าสีไปห้าส่วนแล้ว จ้าวเฟิงค้นพบว่าประสาทสัมผัสเทพของตนเองสามารถท่องไปทุกตำแหน่งของตำหนักตามใจปรารถนาผ่านกลุ่มแสงห้าสีและตรวจตราสถานการณ์ที่นั่น

ต้องรู้ว่า พลังของเทพแท้จริงและปฐมเทพทั่วไปจะทะลวงผ่านกำแพงที่สร้างขึ้นจากผลึกเสวียนอ้าวยังยากลำยากอย่างยิ่งยวด แต่ตอนนี้ ประสาทสัมผัสเทพของจ้าวเฟิงกลับสามารถดำดิ่งเข้าไปในตำหนัก และแผ่ขยายไปยังสถานที่อื่น

‘หรือว่ากลุ่มแสงนี้จะเป็นใจกลางของทั้งตำหนักผลึกห้าสี?’

ความคิดที่น่าตื่นตะลึงผุดขึ้นในใจจ้าวเฟิง

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอแค่จ้าวเฟิงควบคุมกลุ่มแสงห้าสีกลุ่มนี้ได้หมด จะเท่ากับว่าสามารถควบคุมตำหนักทั้งหลัง เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใจจ้าวเฟิงเต้นระรัว หายใจกระชั้นเล็กน้อย แต่จากนั้นเขาก็ได้สติ

“หากเป็นเช่นนี้ข้าจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน พลังของข้าไม่อาจรักษาตำหนักหลังนี้ไว้ได้เลย!”

สีหน้าจ้าวเฟิงสลดลงไปบ้าง

ถึงแม้โอกาสจะมีมาก แต่เขาก็ไม่ได้อยากได้นักหนา

‘ยึดครองก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากทำอะไรไม่ได้ พอถึงตอนนั้นก็ทิ้งตำหนักหลังนี้ไป!’

เมื่อยึดครองไปแล้วห้าส่วน ยามนี้ต่อให้จ้าวเฟิงจะยอมแพ้ก็ยากนัก

หนำซ้ำทันทีที่ยึดครองตำหนักหลังนี้แล้ว คิดจะช่วงชิงผลประโยชน์บางส่วนก็ไม่ยุ่งยากอีก จนถึงตอนนั้น หากรักษาตำหนักไว้ไม่ไหว ก็มอบให้กับขั้วอำนาจแห่งหนึ่งแลกกับความคุ้มครอง นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่เลวนัก

จ้าวเฟิงควบคุมกลุ่มแสงห้าสีไม่หยุดหย่อน ยอดฝีมือในตำหนักผลึกห้าสีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ไม่นานจากนั้น เบาะรองนั่งสุดท้ายก็ถูกเทพแท้จริงขั้นสี่ผู้หนึ่งยึดครอง

“เจ้าเด็กผมทอง เจ้าหลีกไป ข้าต้องการเบาะรองนั่งนี้!”

ในตอนนี้ ปฐมเทพหลินกวงแห่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์มาเบื้องหน้าจ้าวเฟิง ก่อนเผยยิ้มชั่วร้าย

พวกเขาสำรวจรอบหนึ่งแต่ก็ไม่เห็นอะไร อย่างไรเสียพวกเขาก็มาถึงค่อนข้างช้า

ดังนั้นปฐมเทพหลินกวงจึงมาหาเรื่องจ้าวเฟิง ที่นี่ไม่มีข้อจำกัดของงานประลองยุทธ์ เขาจึงหาเหตุผลมาก่อกวนได้

คนไม่น้อยรอบๆ มองจ้าวเฟิงอย่างยินดีที่เห็นอีกฝ่ายเดือดร้อน

พวกเขารู้ว่าระหว่างจ้าวเฟิงและเผ่าปีศาจวารีสวรรค์มีปัญหากันไม่น้อย

“ข้าจะให้เจ้าหลีกไป เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”

ปฐมเทพหลินกวงพลันตะโกน ถึงขนาดส่งพลังวิญญาณพุ่งไปหาจิตวิญญาณจ้าวเฟิง

“ไสหัวไป!” วินาทีนี้เอง จู่ๆ จ้าวเฟิงก็ลืมตาแล้วร้องลั่น

ในเวลาเดียวกัน ดวงตาซ้ายของเขามีเจตจำนงดวงตาที่ชวนตื่นตะลึงก่อตัวขึ้น

“เจ้าว่าอะไรนะ?”

ปฐมเทพหลินกวงเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะกล้าไล่เขา!

ยามนั้น ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันส่งแสงสายฟ้าอัสนีเทวะที่น่ากลัวออกมา

โครม แซ่ด!

ตราอัสนีเทวะที่เผาไหม้บิดเบี้ยวระเบิดออกบนชั้นวิญญาณของปฐมเทพหลินกวง

“อ๊าก…” วิญญาณปฐมเทพหลินกวงถูกโจมตีจากหมื่นอัสนีโดยไม่ได้ตั้งตัว ความเจ็บปวดราวอวัยวะภายในฉีกขาดทะลักเข้าไปในจิตใจของเขาไม่หยุด

“เกิดอะไรขึ้น?” กลุ่มคนรอบๆ ต่างจดจ้องไปบนร่างปฐมเทพหลินกวง

เมื่อครู่เห็นว่าปฐมเทพหลินกวงกดดันจ้าวเฟิงชัดๆ แต่จู่ๆ ปฐมเทพหลินกวงก็ร้องโหยหวน

พลังความสามารถของจ้าวเฟิงอาจจัดลำดับเข้าไปในรายชื่อปฐมเทพได้ แต่คงไม่มีทางจัดการฝ่ายตรงข้ามผู้เป็นหนึ่งในรายชื่อปฐมเทพจนกลายเป็นแบบนี้ด้วยกระบวนท่าเดียวกระมัง!

“พลังอัสนีเทวะ!”

แววตาปฐมเทพเทียนเสวี่ยหยุดลงบนดวงวิญญาณของปฐมเทพหลินกวง ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ

“หืม? ที่แท้ก่อนนี้ซุกซ่อนพลังเอาไว้หรือ?”

ปฐมเทพจื่อเฟิงตื่นตะลึงเล็กน้อย เผยแววดูแคลนทันใด ต่อให้จ้าวเฟิงซุกซ่อนพลังเอาไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ยังอ่อนแออยู่ดี

“เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”

ในมุมของโถงลับ เทพแท้จริงเฮยเต้าเปิดเปลือกตาออกน้อยๆ แล้วปิดลงอีกครั้ง

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” โหวชิ่งจ้องภาพดังกล่าวอย่างตะลึงงัน

ปฐมเทพหลินกวงซึ่งเป็นผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจวารีสวรรค์ และจัดอยู่ในลำดับที่สิบเจ็ดของรายชื่อปฐมเทพ กลับถูกวิชาดวงตาเพียงกระบวนท่าเดียวของจ้าวเฟิงโจมตีจนตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้

หรือว่าเมื่อครู่คือความสามารถที่แท้จริงของเขา? ก่อนนี้จ้าวเฟิงซุกซ่อนพลังและฝีมือเอาไว้หรือ?

หลังจากนั้นไม่นาน ปฐมเทพหลินกวงฟื้นคืนอาการกลับมา ดวงตาประหวั่นพรั่นพรึงจับจ้องจ้าวเฟิง ไม่กล้าลงมือทำร้ายอีกฝ่าย ในเวลานี้เอง เทพแท้จริงขั้นห้าผู้หนึ่งของเผ่าปีศาจวารีสวรรค์เดินมาข้างๆ ปฐมเทพหลินกวง

“สังหารเขาเสีย!”

ปฐมเทพหลินกวงเอ่ยเสียงต่ำทั้งใบหน้าชั่วร้าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version