Skip to content

King of Gods 1237

King Of Gods

บทที่ 1237 เขตเทพสวรรค์

ยามจ้าวเฟิงหนีไปได้อย่างไม่น่าเชื่อภายใต้การโจมตีของเทพโบราณเฮยเทียน เทพโบราณสองคนก็เริ่มถกกัน

จากนั้นทุกเรื่องก็กระจ่างแจ้ง

“ครั้งนี้ข้าก่อเรื่องเอง!” เทพโบราณเย่หลงเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เมื่อครู่เขาเป็นคนชิงลงมือก่อน

“ที่แท้เจ้าเด็กนี่ก็ขโมยของตำหนักวิญญาณบรรพกาลมา!”

เทพโบราณเย่หลงเอ่ยต่อ

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของเทพโบราณเฮยเทียน จ้าวเฟิงเพิ่งเป็นแค่ปฐมซเทพ ก่อนนี้จะอยู่ในดินแดนอันเป็นที่ตั้งของตำหนักวิญญาณบรรพกาลและไปขโมยของพวกเขามาได้อย่างไร แต่เทพโบราณเย่หลงขอแค่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำไปเพื่อตำหนักผลึกห้าสีก็พอแล้ว

“แย่ล่ะ เจ้าเด็กนั่นหนีไปแล้ว!”

เทพโบราณเย่หลงได้รับกระแสเสียงจากอีกสองคน สีหน้าก็ฉายแววเกรี้ยวกราดเล็กน้อย

เทพแท้จริงขั้นห้าสองคนที่เขาพามาด้วยถูกจ้าวเฟิงปั่นเข้าแล้ว!

ฟุ่บ! ฟุ่บ! เทพโบราณสองคนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาจากไปทันที

“ท่านวางใจเถิด ข้ายังมีป้ายค้นหาแบบพิเศษ…หนำซ้ำข้ายังรู้ด้วยว่าเป้าหมายของมันคือที่ไหน!”

เทพโบราณเย่หลงหัวเราะชั่วร้าย

หลังจากที่จ้าวเฟิงใช้เคลื่อนย้ายมิติชั่วพริบตาหนีไประยะหนึ่งแล้ว เขาก็รีบเปลี่ยนทิศทาง

ห้วงความคิดของเทพโบราณกว้างไกลมาก เมื่อบวกกับป้ายค้นหาของเทพโบราณเย่หลง ขอแค่พวกเขาตามจ้าวเฟิงถูกทิศทางแบบคร่าวๆ อีกไม่นานก็จะหาเจอ

ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงเอาแต่ใช้เคลื่อนย้ายมิติชั่วพริบตาเป็นหลัก ตอนที่ใช้พลังจนถึงขีดจำกัด ก็จะให้หานหนิงเอ๋อร์ใช้เนตรชีวิตช่วยตนเองฟื้นฟู

หนึ่งวันต่อมา จ้าวเฟิงหยุดพักเล็กน้อย

“เทพโบราณ ไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งข้าจะเหยียบพวกเจ้าเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าของข้า!”

จ้าวเฟิงกัดฟันเอ่ย นัยน์ตาฉายแววแน่วแน่

ตอนนี้พลังของเขาไม่ต่างกับปฐมเทพทุนเทียนผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตผาเก่า ในเมื่อทุนเทียนมีหวังทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ถึงขั้นที่สี่ จ้าวเฟิงก็ย่อมมีความเป็นไปได้เช่นกัน

ถ้าไปถึงตำแหน่งเทพขั้นที่สี่ได้โดยตรง หนทางเลื่อนเป็นเทพโบราณในภายหน้าก็จะราบรื่นยิ่งนัก ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดจะสามารถไปถึงขีดสุดของขั้นเทพโบราณได้เลย ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงมีหวัง ขอแค่มีชีวิตรอด จะต้องล้างอายในวันนี้ได้อยู่แล้ว

“ท่านต้องทำได้แน่!”

นัยน์ตาหานหนิงเอ๋อร์ที่ด้านข้างมีคลื่นเขียวครามกระเพื่อม ก่อนช่วยรักษาจ้าวเฟิงต่อหานหนิงเอ๋อร์ไม่เคยเห็นคนที่มีพรสวรรค์เช่นจ้าวเฟิงมาก่อน ตลอดทางที่ผ่านมานางได้เห็นความน่าอัศจรรย์ของจ้าวเฟิงแล้ว นางเองก็เชื่อมั่นว่าจ้าวเฟิงจะต้องทำได้

หลังจากฟื้นฟูรักษาจนอยู่ในสภาวะสุดยอดแล้ว จ้าวเฟิงก็รีบเดินทางต่อ

ครั้งนี้เขาเปลี่ยนเส้นทาง และเดินทางอย่างระมัดระวังตลอด

เทพโบราณเย่หลงบังเอิญเจอจ้าวเฟิงแบบนี้ได้ นั่นแปลว่าอีกฝ่ายต้องรู้เป้าหมายสุดท้ายของเขา จ้าวเฟิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมต้องคิดถึงจุดนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง

……

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปยี่สิบห้าปี

เขตเทพสวรรค์เป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ใหญ่ที่รุ่งเรืองที่สุดของดินแดนเทพรกร้าง ในนั้นมีขั้วอำนาจห้าดาวสี่แห่ง แต่ละแห่งทรงอำนาจเกินจะเปรียบ ส่วนพื้นที่ไร้คนบางส่วนในเขตเทพสวรรค์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมกันดารแร้นแค้น ก็จะเป็นถิ่นที่อยู่ของอสูรที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

ชายแดนเขตเทพสวรรค์ ต้นไม้โบราณขนาดใหญ่สูงชะลูดทะลุเมฆ

เมื่อมองจากไกลๆ ชั้นเมฆที่ล่องลอยติดต่อกันไม่ขาดสายดูเหมือนใบไม้ดกหนาของป่าผืนนี้

ในป่าโบราณที่มืดสลัว มีกลุ่มคนหกคนเดินทางกันอย่างเร่งรีบ

“ทุกคนระมัดระวังหน่อย กลุ่มคนไม่น้อยที่เข้าไปในเขตเทพสวรรค์ต่างก็เคยลำบากใน ‘ป่าทะลวงนภา’ มาก่อน!”

ผู้เฒ่าชุดเทาถือวงแหวนสีม่วงเข้มเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เขามีผมขาวปนแดงทั้งศีรษะ บนร่างมีเกล็ดสีม่วงที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัด

“รับทราบ!” อีกหกคนในกลุ่มผงกศีรษะอย่างพร้อมเพรียง

ในกลุ่มทั้งหกคน ผู้เฒ่าชุดเทาคือเทพแท้จริงขั้นสี่ ชายร่างกำยำสองคนคือเทพแท้จริงขั้นสาม ส่วนคนรุ่นเยาว์อีกสามคนที่เหลือเป็นปฐมเทพทั้งสิ้น

“ลุงเหอ หากมี ‘วงแหวนวิญญาณมืด’ ในมือท่าน พวกเราจะเจออันตรายใดได้อีก!”

ดรุณีชุดแดงในกลุ่มเอ่ยพลางยิ้มหวาน

คนอื่นในกลุ่มก็พากันยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร

ลุงเหอพยักหน้า ‘วงแหวนวิญญาณมืด’ อาวุธเทพในมือเขาจะเพิ่มระยะทางให้กับประสาทสัมผัสเทพ และยังช่วยปกปิดกลิ่นอายของมัน เป็นอาวุธเทพล้ำค่าที่จัดอยู่ในประเภทสำรวจ แต่ทุกเรื่องก็ไม่แน่นอนไปเสียทั้งหมด นอกจากพวกที่อยู่ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ก็ยังมีอสูรแข็งแกร่งที่พลังพรสวรรค์โดดเด่น

“หืม?” ในเวลานี้เอง ใบหน้าลุงเหอเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

ทั้งกลุ่มชะงักฝีเท้าทันที

บึ้ม ครืน! ไม่นาน เสียงระเบิดโครมครามก็ดังใกล้เข้ามาทีละน้อย

หลายหมื่นลี้จากกลุ่มคนทั้งหก เงาคนสี่ร่างวูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสี่คนนี้มีดำหนึ่งม่วงสาม ซึ่งก็คือเทพโบราณเฮยเทียนและเทพโบราณเย่หลง

ทุกที่ที่ทั้งสามคนผ่านไป ฟ้าดินจะเปลี่ยนสี สิ่งกีดขวางทั้งหมดเบื้องหน้าจะถูกแรงปะทะทำลายป่นปี้

ตูม! เสียงร้องคำรามอย่างหวาดกลัวของอสูรดังขึ้นจากแต่ละมุมของป่าทะลวงนภา

จากนั้นทั้งป่าโบราณก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นติดต่อกันไม่หยุด

“เจ้าหนุ่มนั่นมาที่เขตเทพสวรรค์ทำไม?”

เทพโบราณเฮยเทียนเอ่ย

“ว่ากันว่าเขามาส่งเนตรชีวิตที่นี่ คิดว่าคงจะอยากเอาเนตรชีวิตมาให้พวกขั้วอำนาจใหญ่กระมัง!”

เทพโบราณเย่หลงก็ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด จึงได้แต่คาดเดาเท่านั้น

เปรี๊ยะ…

ทั้งสี่คนทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่งเหมือนกระบี่แหลมคม พุ่งผ่านป่าทะลวงนภา ทำลายล้างสิ่งต่างๆ นับไม่ถ้วนระหว่างทาง

ไกลออกไป กลุ่มคนทั้งหกยืนอึ้งอยู่กับที่

“ในสี่คนนั้นมีเทพโบราณสองคน!” ลุงเหอสูดลมหายใจลึก จากนั้นจึงเอ่ย

“เทพโบราณ!”

พวกที่อายุค่อนข้างน้อยในกลุ่ม ดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความนับถือ

พวกเขาต้องการเดินทางผ่านป่าทะลวงนภา ยังต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา

แต่กลุ่มเทพโบราณกลับใช้วิธีการง่ายๆ และดิบเถื่อน โบยบินสุดกำลังโดยไม่แยแสสิ่งใด

“รีบเดินทางต่อเถอะ!”

หลังจากรอให้กลุ่มเทพโบราณสองคนจากไปแล้ว ลุงเหอจึงเอ่ยออกมา

ทว่าคนทั้งหกเดินทางไปไม่ไกลนักก็ต้องผ่อนฝีเท้าลง ใบหน้าลุงเหอเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ประสาทสัมผัสเทพกวาดออกไปไกลๆ

“แย่แล้ว เมื่อครู่ยอดฝีมือเทพโบราณสองคนเดินทางผ่านที่นี่ ทำให้อสูรในป่าทะลวงนภาแตกตื่น!”

ลุงเหอมีสีหน้าค่อนข้างย่ำแย่

“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

ดรุณีชุดแดงหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาใสแวววาวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

โครม วูบ วูบ!

กลิ่นอายอสูรที่ชั่วร้ายกระจายออกไปตามที่ต่างๆ อย่างช้าๆ

“ถอยก่อน รออสูรสงบลงแล้วค่อยเดินทางต่อ!” ลุงเหอรีบถ่ายทอดคำสั่ง

ตอนนี้อสูรในป่าทะลวงนภาถูกก่อกวนจนตื่นตระหนก อารมณ์พวกมันค่อนข้างฉุนเฉียว ถ้าพวกเขาผลีผลามเดินทางเข้าไป เกรงว่ารังแต่จะทำให้เกิดอันตรายไม่สิ้นสุด

จากนั้นทั้งกลุ่มเกาะติดกัน ปฐมเทพสามคนที่พลังค่อนข้างอ่อนแออยู่ตรงกลาง ทั้งหมดรวมตัวถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว

เวลานี้เอง ในก้อนเมฆเหนือป่ามืดสลัวปรากฏเงาร่างชั่วร้ายทรงพลังสองสามตน

พรึ่บ! วิหคสิงห์สีทองตัวยักษ์หอบลมพายุเข้าโจมตีเป็นตัวแรก

ลุงเหอเห็นแล้วยืนขึ้น เรียกกระบี่ยาวสีแดงเข้มเล่มหนึ่งมาไว้ในมือ ก่อนฟาดระลอกเพลิงที่บิดเบี้ยวออกมา

ในเวลาเดียวกัน อสูรที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งในตำแหน่งอื่นๆ ก็พุ่งตรงมาเช่นกัน

ในบรรดาอสูรเหล่านี้ อย่างมากก็เป็นอสูรขั้นที่สาม หากสู้กันตัวต่อตัวมันย่อมสู้ลุงเหอไม่ได้ แต่พวกมันได้เปรียบในเรื่องของจำนวน

ตูม บึ้ม! กลุ่มหกคนปัดป้องการโจมตีของฝูงอสูรไปพลาง เร่งถอยหนีไปพลาง

แต่ยามนั้นแววตาลุงเหอเพ่งมองไปยังจุดหนึ่งของเมฆ

ทันใดนั้น ลมเมฆบนฟ้าปั่นป่วน เงาขนาดยักษ์สีดำร่างหนึ่งไหววูบตรงเข้ามาราวกับอัสนีบาตดำ

“แย่แล้ว นั่นมันอสูรขั้นที่สี่ เหยี่ยวแสงประกาย!” ลุงเหอตะโกนโดยพลัน

ก่อนหน้าอสูรขึ้นสี่จะมาถึงก็ยังพอคุมสถานการณ์ไว้ได้ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีโอกาสชนะแล้ว ทั้งหกคนใช้ไม้ตายทันที ตรึงกำลังอสูรจำนวนมากพลางรีบถอยร่นไป

……

สองเดือนต่อมา เงาคนสองคนปรากฏขึ้นที่บริเวณชายขอบป่าทะลวงนภา

“ในที่สุดก็ถึงเขตเทพสวรรค์สักที!”

แววตาจ้าวเฟิงทอประกาย

เวลายี่สิบห้าปี เขาข้ามไปสามเขตพื้นที่จนมาถึงเขตเทพสวรรค์

นี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของจ้าวเฟิงในตอนนี้

จ้าวเฟิงในขณะนี้ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย เครื่องหน้าคมชัด แข็งแรงกำยำอย่างชัดเจน ในดวงตาที่ลุ่มลึกนิ่งสงบมีประกายคมปลาบ

“ท่านมาที่เขตเทพสวรรค์เพื่ออะไรกัน?”

จู่ๆ หานหนิงเอ๋อร์ก็ยิ้มถามขึ้น

ตลอดทางคนทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ความสัมพันธ์จึงค่อยๆ สนิทสนมกันตามไปด้วย

“มาหาบางคน!” แววตาจ้าวเฟิงทอดมองไปที่ไกลๆ

เขาเองก็คาดคิดไม่ถึงเช่นกันว่าดินแดนเทพรกร้างจะกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะหาใครสักคนช่างยากเย็นแสนเข็ญ

ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าหยูเฟยในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?

“อ้อ!” หานหนิงเอ๋อร์มองเห็นความอ่อนโยนในดวงตาที่สงบนิ่งของจ้าวเฟิง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา

และตอนนั้นเอง ดวงตาจ้าวเฟิงกระตุกน้อยๆ ก่อนจะมองไปทางขวา

หานหนิงเอ๋อร์ก็ผ่อนฝีเท้าลง เหมือนได้ยินเสียงอะไร

“ท่าน ช่วยพวกเราด้วยเถิด!”

เสียงวิญญาณเสียงหนึ่งแล่นผ่านมาทางจ้าวเฟิง

“ไป!” จ้าวเฟิงพูดเสียงต่ำ โบยบินออกไปทันที

เขาไม่รู้เรื่องเขตเทพสวรรค์แม้แต่น้อย กระทั่งแผนที่ก็ไม่มี แต่ยามนี้จะได้แผนที่จากคนที่ร้องขอความช่วยเหลือพอดี

สายตาเห็นกลุ่มคนหกคนบาดเจ็บสาหัส กำลังถูกอสูรสิบตัวล้อมเอาไว้

“ปฐมเทพสองคน?”

ชายร่างกำยำสองคนในกลุ่มกวาดมองพวกจ้าวเฟิง หยุดชะงักที่หานหนิงเอ๋อร์เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างถอดใจ

“เจ้าไปเถอะสหายน้อย ที่นี่มีอสูรขั้นสี่ตัวหนึ่ง อสูรขั้นสามสี่ตัว…พวกเจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก!”

ลุงเหอขมวดคิ้ว เอ่ยออกมาทันที

เมื่อครู่เขาเพียงพึ่งพาวงแหวนวิญญาณมืด เมื่อสัมผัสได้แต่ไกลว่ามีคนอื่นผ่านมาแถวนี้ถึงส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่ปฐมเทพสองคน

คนอื่นที่เหลือมองจ้าวเฟิง สีหน้าดีใจพลันห่อเหี่ยวลง

สองเดือนก่อนนี้พวกเขาถูกตามล่าจากอสูรพวกนี้ จะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่พ้น เมื่อต่อสู้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงตกอยู่ในวงล้อม หากไม่ใช่เพราะก่อนเดินทางเตรียมตัวเอาไว้อย่างดี เกรงว่าคงจะตายไปตั้งนานแล้ว

เมื่อครู่เดิมคิดว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่าคนที่ผ่านมาเป็นแค่ปฐมเทพสองคนเท่านั้น

จ้าวเฟิงปรายตามองลุงเหอ จากนั้นจึงบินเข้าไปใกล้

“หืม? เขายังจะเข้ามาอีก เขาอยากตายเช่นนั้นหรือ?”

ดรุณีชุดแดงเอ่ยอย่างตื่นตะลึง

ในตอนนี้ อสูรหลายตัวเห็นจ้าวเฟิงแล้ว แววตาพวกมันดุร้าย

“ดูแล้วเขาคงอยากตายจริงๆ นอกเสียจากว่ากำลังรบจะเทียบเท่าปฐมเทพขั้นสาม มิฉะนั้นก็ทำอะไรไม่ได้!”

เทพแท้จริงขั้นสามผู้หนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น

“รนหาที่ตาย!”

ยามนี้เอง อสูรขั้นสามตัวหนึ่งที่กำลังรุมล้อมกลุ่มคนทั้งหกก็กลายร่างเป็นเงาทะมึนเหี้ยมโหด โผมาหาจ้าวเฟิง

ในวินาทีนั้น ทั้งหกคนเหมือนจะมองเห็นภาพที่จ้าวเฟิงถูกฉีกทึ้งแล้ว

จ้าวเฟิงจ้องไปที่อสูรขั้นสามตัวนี้ นัยน์ตาพลันแผ่จิตสังหารที่หนาวเหน็บออกมา

พรึ่บ แซ่ด!

ไหล่ขวาของจ้าวเฟิงเปล่งแสงสายฟ้าห้าสี ก่อนจะผลักฝ่ามือไปอย่างรุนแรง

ฝ่ามือแสงสายฟ้าห้าสีใหญ่ยักษ์เปล่งแสงเจิดจ้าแสบตา

อสูรขั้นสามที่พุ่งมาปะทะเข้ากับฝ่ามือแสงของจ้าวเฟิงอย่างจังวินาทีต่อมา อสูรขั้นสามตัวนั้นก็ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด

ในขณะที่ผลักฝ่ามือแสงสายฟ้าออกไป พลังวายุอัสนีห้าธาตุจำนวนมากก็โจมตีอสูรขั้นสามไปด้วย เมื่อแสงฝ่ามือมอดลงไป อสูรขั้นสามก็กลายเป็นโครงกระดูกไหม้ดำร่วงกระจายลงบนพื้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version