บทที่ 137 : การตื่น (2)
เส้นแสงนั้นราวกับรัศมีของพระเจ้าที่พุ่งไปยังสวรรค์ในเสี้ยววินาที!
ทว่าสมาชิกของสำนักจันทร์สลายกลับไม่อาจเห็นหรือรู้สึกได้ถึงแสงนั้น มีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหรือสูงกว่าที่รู้สึกได้ว่าอากาศนั้นสั่นสะท้าน ทว่ามันเหมือนกับภาพลวงตาเสียมากว่า
มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดในทวีปครามที่รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า
ทวีปตะวันตก
ราชวังโบราณที่ใหญ่โต
คว้างงง
ศิลาโบราณใหญ่หลายร้อยหลาได้ส่งเสียงขึ้นใจกลางโถง ศิลานั้นราวกับมาจากยุคโบราณเพราะกระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้ แต่ในตอนนี้ มันกำลังแตก
“ไม่ดีแล้ว! ศิลากำเนิดสวรรค์กำลังแตก!”
“เหตุใดมันจึงได้แตกโดยไร้ซึ่งเหตุผล? อาจเป็นลางร้ายกำลังคืบคลานมาหรือไม่?”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
ฟุ่บ!
ประกายแสงหนึ่งแล่นวาบผ่านอากาศและหยุดลงเบื้องหน้าศิลากำเนิดสวรรค์
“นายเหนือหัว เกิดอันใดขึ้นกัน!?”
กลิ่นอายทรงพลังนับสิบได้บินมายังศิลากำเนิดสวรรค์
เบื้องหน้าศิลานั้น ร่างในชุดสีม่วงได้ยืนมือของเขาออกและสัมผัสศิลากำเนิดสวรรค์
วิ้ง!
ศิลาสั่นสะท้านพร้อมกับที่คำแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลานั้น คำเหล่านั้นซับซ้อนและแปรเปลี่ยนไม่หยุดยั้ง
ร่างในชุดสีม่วงเองก็เริ่มดิ้นรนเช่นกัน กลิ่นอายน่าสะพรึงได้แพร่ออกและผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับสิบใกล้ๆ ได้มองไปยังนายเหนือหัวของพวกเขาด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเวลาผ่านไป คนของสำนักจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มาถึง ทว่านายเหนือหัวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าศิลากำเนิดสวรรค์ได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักเสียจนพวกเขาไม่อาจหายใจ
“ความหมายของการที่ศิลากำเนิดสวรรค์แตกคือสิ่งใด? กระทั่งนายเหนือหัวในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังมา!”
“มีผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในทวีปแห่งนี้!”
หลังจากเวลาผ่านไปนาน นายเหนือหัวของพวกเขาจึงได้ปล่อยมือลง
“มีเพียงสองคำที่สามารถอ่านได้จากศิลากำเนิดสวรรค์” นายเหนือหัวเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“สองคำใด?” คนระดับสูงของสำนักเอ่ยถาม
นายเหนือหัวของพวกเขาพลันมองไปยังท้องฟ้า และเขาเห็นดวงเนตรแห่งสวรรค์กำลังจับจ้องลงมาอย่างเย็นชา มันดูราวกับภาพลวงตา
“ดวงเนตรของพระเจ้า” ผู้เป็นนายเหนือหัวเค้นคำพูดนั้นออกมาได้พร้อมกับรอยโลหิตที่มุมปาก
ในกาแลกซี่ที่ห่างออกไปมากนัก
ณ สถานที่ที่น่าหวาดกลัว
โฮกกกก!
มังกรเก้าตัวคำรามก้องราชวัง และ ‘ราชา’ ได้มองไปยังท้องฟ้า บนท้องฟ้านั้น เมฆายังคงผันแปรมิหยุด
“มันหมายความว่าอย่างไร?” ราชามองขึ้นไปอย่างเย็นชาและสั่งให้มังกรของเขาเคลื่อนเมฆนั้นออกไป
“นี่เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่จักรวรรดิได้ถูกก่อตั้งขึ้น” ชายชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและผมสีขาวโพลนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ที่ไหน?” น้ำเสียงสูงส่งดังขึ้น
“บางทีอาจเป็นใกล้ๆ” ชายชราเอ่ยตอบอย่างไม่มั่นใจ
ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตสูงต่างมองไปยังสวรรค์
เหล่ามังกรสามารถผลักเมฆที่ปกปิดท้องฟ้าออกไปได้ในที่สุด และดวงเนตรแห่งสวรรค์ก็ได้ปรากฏขึ้นและมองมายังดาวดวงนี้อย่างเย็นชา
“มันหมายความว่าอย่างไร?” เหล่าผู้ฝึกตนต่างอุทานออกมา
“ดวงเนตรของพระเจ้า! มันเป็นดวงเนตรของพระเจ้าที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน!”
เหล่าผู้ฝึกตนพูดคุยกันและตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
มีเพียงราชาและชายชราผมขาวที่ยังคงเงียบงันขณะที่พวกเขามองไปยังดวงเนตรแห่งสวรรค์บนท้องนภา
หลังจากผ่านไปนาน ชายชราผมขาวจึงโบกคทาของเขาในอากาศ และงู 9 ตัวก็ได้พุ่งไปยังท้องฟ้า ทว่าพวกมันหายไปเมื่อเข้าใกล้ดวงเนตรแห่งสวรรค์นั้น
“สวรรค์ได้เปิดดวงเนตรออกในที่สุดแล้ว!” ชายชราอุทานออกมาพร้อมกับที่ดวงเนตรแห่งสวรรค์ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
ในท้องทะเลสีเทาพร่าเลือน เรือสีดำน่ากลัวลำหนึ่งลอยอยู่เหนือท้องทะเลนั้น
เรือสีดำนั้นขนาดใหญ่โต และสิ่งที่อยู่ใต้มันนั้นรู้สึกราวกับว่าเป็นยามกลางคืน
ในตอนนี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างค้อมศีรษะให้กับร่างที่เป็นผู้ปกครอง มันไม่มีแสงสว่างรอบกายคนผู้นั้น ราวกับว่ามันถูกกลืนกินไปจนสิ้น
ร่างสีทมิฬยืนอยู่ที่หัวเรือและมองไปยังทะเลไร้จุดจบ
วิ้งงงง
ทะเลสีเทานั้นพลันสั่นสะท้านพร้อมกับที่ดวงเนตรแห่งสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นบนท้องนภา
“ตอนนี้มีดวงเนตรของพระเจ้าพิเศษเพิ่มอันหนึ่ง รวมแล้วเป็น 9 มันหมายความว่าอย่างไรกัน? บางทีสถานการณ์ปัจจุบันของดวงเนตรของพระเจ้าทั้งแปดอาจพังทลายลง…”
ดวงตาดำมืดของผู้ปกครองจางหายไปพร้อมกับที่ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีหมึกอีกครั้ง
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าเขานั้นได้ส่งผลกระทบต่อโลกมากเพียงใดเมื่อเขาเปิดตาของเขาขึ้น
สิ่งเดียวที่เขาสามารถยืนยันได้คือพลังที่แท้จริงของดวงตาซ้ายของเขาเริ่มที่จะตื่นขึ้น เมื่อเขาเปิดดวงตาของเขาออก พลังเก่าแก่ประการหนึ่งได้พุ่งออกจากดวงตาของเขา เด็กหนุ่มนั้นรู้สึกเศร้าใจเล็กๆ เพราะเขาสามารถรับรู้ได้ว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันดูไม่เหมือนว่าเขาจะสามารถควบคุมมันได้
“อดีตได้พังทลาย เทพบรรพกาลที่ถูกทำลายกระทั่งจนกลายเป็นเศษฝุ่น… สืบทอดสายเลือดของข้า ควบคุมทุกคน และกำหนดทุกสิ่ง…” เสียงเสียงหนึ่งดังก้องในสมองของเขา
จ้าวเฟิงขยี้ตาของเขาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากการเปลี่ยนแปลงนี้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต
เด็กหนุ่มพยายามที่จะปิดเปลือกตาลงและเปิดมันออกอีกครั้ง แต่ว่าไม่มีแสงลึกลับปรากฏขึ้นอีก จ้าวเฟิงยังคงรับรู้ได้ถึงสายเลือดสีเขียวครามในร่างของเขา
เขาไม่รู้ว่ามันส่งผลอย่างไรในตอนนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น หลังจากแน่ใจว่าตนเองไม่เป็นอันใด จ้าวเฟิงจึงเดินออกจากถ้ำอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาจึงหยิบกระจกออกมาอีกครั้ง
ผมของเขายังคงเป็นสีคราม ทว่าดวงตาซ้ายของเขาได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีครามโปร่งใส ราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า
“ไม่!”
จ้าวเฟิงยังคงกังวลว่าเขาจะถูกจับโดยสำนักในฐานะของสัตว์ประหลาด
เขาพยายามด้วยวิธีที่หลากหลายเพื่อที่จะเปลี่ยนสีของมัน
พันปีต่อมา จ้าวเฟิงจะจำเรื่องนี้ได้และหัวเราะ…
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็ค้นพบวิธีในที่สุด
สายเลือดสีครามที่เขาควบคุมสามารถหลอมรวมกับดวงตาซ้ายและห่อหุ้มมันได้ เมื่อทำเช่นนั้น แสงสีครามในมิติสีดำจะถูกแยกออกจากดวงตาซ้ายของเขา
จ้าวเฟิงนำกระจกออกมาอีกครั้ง ดวงตาซ้ายของเขากลับไปเป็นสีดำ ทว่ามันกลับหม่นทึบ ในเวลาเดียวกันเขาก็สูญเสียการมองเห็นไป
เด็กหนุ่มสามารถใช้สายเลือดสีครามในการเปลี่ยนสีดวงตา ทว่ามันต้องใช้พลังงานอย่างมากในการทำเช่นนั้น เขาทำได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน
“อย่าน้อยก็ยังมีวิธี” จ้าวเฟิงถอนหายใจ
เขาได้ทดลองพลังของดวงตาซ้ายของเขา โดยไม่ต้องสงสัย พลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่เขาได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
สายตา ความเร็วปฏิกิริยาตอบโต้ และความเข้าใจต่างเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น จ้าวเฟิงสามารถมองเห็นในระยะห่างออกไป 100 ลี้ และจ้าวเฟิงพบว่าดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองทะลุผ่านสิ่งของได้ เขากระทั่งมองผ่านหินใกล้ๆ ได้
“ยากที่จะเชื่อว่าดวงตาของข้าสามารถมองทะลุผ่านหินได้”
จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นสัตว์ประหลาด ทว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของดวงตาของเขา
ในตอนนี้เอง นกได้บินผ่านหุบเขาเหนือศีรษะของจ้าวเฟิง
หืม?
รูม่านตาของจ้าวเฟิงหดเล็กลงขณะที่เขามองไปยังนักที่บินอยู่บนอากาศอย่างเย็นชา
ในตอนนั้นเองที่ดวงตาซ้ายของเขาได้ส่งพลังจิตออกมาซึ่งควบรวมกันเป็นเส้นตรงและพุ่งไปยังร่างของนกนั้น
ตุบ!
นกนั้นส่งเสียงกรีดร้องกลางอากาศก่อนจะเสียสมดุลและร่วงลงสู่พื้นดิน
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มไม่ได้ฆ่านก ทว่ามันได้ส่งคลื่นพลังจิตที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมาซึ่งทำให้นกตัวนั้นลนลานและเสียการควบคุมในร่างกายของมันไป
“ฆ่าโดยไร้ซึ่งร่องรอย อาจเป็นสิ่งที่ใช้ตัดสินในการต่อสู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพัน” จ้าวเฟิงคิด
เขาทดสอบทักษะใหม่ของดวงตาซ้ายจนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยอ่อน เด็กหนุ่มยังไม่อาจควบคุมทักษะใหม่เช่นจิตสังหารได้อย่างเต็มที่
เพียงแค่ดวงอาทิตย์กำลังจะตก
จ้าวเฟิงรีบปกปิดดวงตาของเขาด้วยริบบิ้น จากนั้นจึงตรงไปยังตำหนักสำนักนอกพร้อมด้วยเรือนผมสีครามที่ปลิวไสวไปกับสายลม
ปึก! ปึก! ปึก!
จ้าวเฟิงโคจรปราณแท้ทั้งหมดของเขาและพยายามที่จะควบคุมสายลมรอบกาย นี่จะทำให้เขาสามารถลอยกลางอากาศได้หนึ่งลมหายใจก่อนที่จะร่วงลง
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ คนผู้หนึ่งสามารถบินได้ในระยะทางสั้นๆ กลางอากาศ ทว่ามันไม่ใช่การบินที่แท้จริง
ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถบินได้ไกลนับสิบลี้โดยไร้ซึ่งปัญหา
หลังจากกลับไปยังตำหนักสำนักนอก จ้าวเฟิงพลันตรงไปหาผู้คุมกฎชิวเพื่อที่จะส่งคำร้องเป็นศิษย์สายใน ตามกฎนั้น คนผู้หนึ่งจำเป็นเพียงต้องเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณก่อนอายุ 30 เพื่อที่จะเป็นได้
“ข้าจะรายงานไปยังระดับสูง และหากไม่มีปัญหา เจ้าสามารถไปยังตำหนักกลางได้ในวันพรุ่งนี้”
สีหน้าของผู้คุมกฎชิวนั้นสงบนิ่ง เขาเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นผ้าปิดตาและผมสีครามของเด็กหนุ่ม ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด