บทที่ 146 : การตอบโต้ที่รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด
ทั้งสี่รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับสัตว์อสูรกำลังจะคืบคลานออกมาจากใต้พื้นดิน
“ทุกคนระวัง! มันอาจมีค่ายกลตั้งอยู่ที่นี่!”
หวงอวิ๋นแสดงท่าทีเยือกเย็น ทว่าหยาดเหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา
ในความหวาดกลัวของความไม่รู้นั้น ทั้งสี่ได้สร้างวงกลมขึ้นโดยหันหลงชนกันขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ
ต้นไม้ยังคงสั่นสะท้าน ทว่าทั้งสี่ได้กลับมาสงบเช่นเดิม
“ต้นไม่ได้สั่นจริงๆ ค่ายกลได้สร้างภาพลวงตาแก่พวกเรา” ดวงตาของซู่เหรินคมกริบ
ในฐานะของศิษย์สายใน ทั้งหวงอวิ๋นและซู่เหรินต่างได้ผ่านภารกิจมาแล้วจำนวนมาก และมีความรู้กว้างขวาง ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลมายาที่หลอกประสาทสัมผัสของผู้ที่ตกอยู่ภายใน แต่แม้พวกเขาจะรู้ ทั้งสี่ก็ไม่กล้าที่จะขยับเพราะพวกเขาล้วนไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับค่ายกลแม้แต่น้อย
นอกจากทั้งสี่แล้ว มีเพียงจ้าวเฟิงที่รู้เกี่ยวกับค่ายกล และเขาได้หายไปอย่างลึกลับก่อนหน้า
“ไอ้หนู! สถานที่แห่งนี่จะเป็นสถานที่ฝังศพของพวกเจ้า”
น้ำเสียงแหบลึกดังขึ้นก่อนที่ต้นไม้จะหยุดนิ่งลงอีกครั้ง
ต้นไม้ หญ้า และก้อนอิฐไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงแค่ภาพมายา
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะถอนลมหายใจออกมา โลหิตที่ส่องประกายสีม่วงจางก็ได้ปรากฏขึ้นโยงระหว่างต้นไม้ โลหิตที่ม่วงนั้นได้ปรากฏพลังแปลกประหลาดประการหนึ่งขึ้นซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือก เส้นเหล่านั้นราวกับใยแมงมุมที่ครอบคลุมทุกสิ่งในระยะรัศมีหนึ่งร้อยหลาไว้
โลหิตส่องประกายสีม่วงจางนั้นกระทั่งปรากฏขึ้นบนพื้น
“ร่างกายกับปราณแท้ของข้า…”
เซี่ยวซุนรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นถูกจำกัดและปราณแท้ของเขานั้นกระทั่งถดถอยลง
“ไม่ดีแล้ว! เราได้เข้ามาในค่ายกลพิษ!” สีหน้าของซู่เหรินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
ก่อนหน้าค่ายกลมายาได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไป ไม้ตายที่แท้จริงนั้นคือค่ายกลพิษนี่
“ทุกคนรีบออกจากป่า”
หวงอวิ๋นตวาดขณะที่ปราณแท้ที่แข็งแกร่งได้แผ่พุ่งออกจากร่างของเขาและตรงไปยังค่ายกลที่มีลักษณะคล้ายใยแมงมุมราวกับเปลวไฟ
ซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างใช้วิชาชั้นมนุษย์ของพวกเขาเช่นกัน
วิ้งงง
น้ำวนขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นเหนือร่างของทั้งสี่และได้หมุนวนสร้างลมกรรโชกแรงขึ้นพร้อมกับป้องกันไม่ให้พวกเขาบิน
ตุบ! ตุบ!ตุบ!
พวกเขาลอยขึ้นเพียงไม่กี่ฟุตก่อนที่จะถูกผลักถอยกลับโดยสายลม พิษและลมนั้นราวกับมหาสมุทร มันไร้ซึ่งจุดจบ
“ไอ้หนู หลังจากที่เข้ามายังค่ายกลวายุมายามฤตยูแล้ว พวกเจ้าก็ไม่อาจบินหนีไปได้”
ชายร่างผอมแห้งในชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นภายในพร้อมกับรอยยิ้มเย่อหยิ่งบนใบหน้า ชายชุดดำนั้นเดินไปยังทั้งสี่อย่างเชื่องช้าพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายที่ทำให้สายลมหยุดนิ่งออกมา
หัวใจของทั้งสี่พลันบีบรัดแน่น เซี่ยวซุนที่มีพลังฝึกตนต่ำที่สุดในที่นี้มีใบหน้าขาวซีดและรู้สึกหายใจไม่ออก
“นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ! เจ้าคือผู้ใดกัน!?”
หยาดเหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหวงอวิ๋น
ภารกิจนี้มีระดับเพียง 2.5 ดาว ทว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นภารกิจระดับ 3 ดาว และตอนนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ ทั้งกลุ่มอาจตอบโต้กับผู้ที่อยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้และอาจแม้แต่เอาชนะได้ แต่ในตอนนี้ พวกเขาอยู่ในค่ายกลวายุมายามฤตยู
“ซิ่งเฉิน! เหตุใดจึงเป็นเจ้า!?” เซี่ยวซุนอุทานออกมาเมื่อเขาเห็นใบหน้าของชายร่างผอมในชุดดำ
อันใดนะ!? ซิ่งเฉิน หัวหน้าตระกูลซิ่ง?
หวงอวิ๋นและคนอื่นๆ ต่างตื่นตะลึง
พวกเขาไม่ได้สงสัยในคำของเซี่ยวซุนเพราะชายหนุ่มนั้นมาจากตระกูลเซี่ยวที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลซิ่ง
เซี่ยวซุนเคยพบซิ่งเฉินเมื่อไม่กี่ปีก่อน และยังคงจดจำได้ในตอนนี้ แม้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากก็ตาม
“ถูกแล้ว ข้าคือซิ่งเฉิน! วันนี้คือวันตายของพวกเจ้า ก่อนหน้าพวกเจ้ามีหลายคนที่ได้ตายลงที่นี่เช่นกัน ในบรรดาคนทั้งหมด กลุ่มของพวกเจ้าแข็งแกร่งที่สุด และพวกเจ้าจะกลายเป็นเครื่องสังเวยกลุ่มสุดท้าย”
ซิ่งเฉินแย้มรอยยิ้มโหดเหี้ยม ทว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาได้ฝืดค้างและเป็นสีม่วง ชัดเจนว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไป
“ซิ่งเฉิน! เจ้ากล้าฝึกฝนวิชามารได้อย่างไร? วันนี้ พวกเราจะจัดการเจ้า!” หวงอวิ๋นตวาดพร้อมกับที่ดาบสีเงินได้ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของเขา
ดาบนี้เป็นอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำซึ่งทำให้เขาสามารถท้าประลองผู้ฝึกตนในนภาที่สามได้แม้ว่าเขาจะอยู่ในนภาที่สอง
เปรี้ยง!
แสงสีม่วงส่องประกายวาบพร้อมกับที่หัวหน้าตระกูลซิ่งได้ส่งร่างของหวงอวิ๋นกระเด็นลอยไปในการโจมตีเดียว
เป็นไปได้อย่างไร!?
หวงอวิ๋นเกือบจะกระอักโลหิต ‘ดาบจันทร์เขียว’ ของเขานั้นเป็นดาบชั้นมนุษย์ และหมายความว่ามันคมอย่างมาก ทว่าคู่ต่อสู้กลับป้องกันมันได้ด้วยมือเปล่า
เสี้ยววินาทีต่อมา
ซู่เหรินถือดาบจิงเยว่ของเขาและร่วมมือกับเซี่ยวซุนและหลินฟ่านในการโจมตีซิ่งเฉิน
ตูม! ตูม! ตูม!
คลื่นประกายสีม่วงได้ปรากฏขึ้นจากร่างของซิ่งเฉินพร้อมกับที่มันขดวนบนร่างกายเขาราวกับงู ป้องกันการโจมตีของทั้งสี่
ซู่เหรินมีดาบชั้นมนุษย์ ‘ดาบจิงเยว่’ ทว่าพลังโจมตีที่มันสร้างขึ้นกลับมีเพียงรอยเลือดจางๆ
“ร่างกายของเขาถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นศพ ดังนั้นแล้วพลังป้องกันของเขาจะแข็งแกร่งมาก ทางเดียวที่จะเอาชนะเขาได้มีเพียงการโจมตีไปยังจุดตาย”
ซู่เหรินจ้องมองไปยังซิ่งเฉินด้วยความตะลึง คู่ต่อสู้ของพวกเขานั้นราวกับศพเดินได้ ผิวหนังของเขานั้นทั้งซีดเซียวและแข็ง
“แม้ว่าพิษจากค่ายกลจะไม่สามารถฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ แต่มันสามารถกัดกร่อนชีวิตและจำกัดพลังของพวกเจ้าได้ ในเวลาครึ่งชั่วโมง พลังของพวกเจ้าจะลดลงกว่าครึ่ง” ซิ่งเฉินฉีกยิ้มเหี้ยมเกรียม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทั้งสี่ก็ย่ำแย่ขึ้นไปอีก
ค่ายกลพิษนั้นได้ทำให้พลังของพวกเขาถูกจำกัด และยิ่งการต่อสู้นี้ยืดเยื้อไปมากเท่าใด มันก็ยิ่งแย่สำหรับพวกเขาเท่านั้น ทว่าการป้องกันของซิ่งเฉินนั้นกระทั่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
สิ่งดีเพียงอย่างเดียวนั้นคือแม้ว่าเขาจะรวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่ได้คล่องแคล่วเท่าใดนักเพราะร่างของเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปในเส้นทางของศพ เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันจึงได้เปรียบเล็กน้อย
ครืนนน!
ในตอนนั้นเอง ต้นไม้ได้เริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้งจนทำให้ทั้งสี่ตกอยู่ในความลนลาน
ค่ายกลวายุมายามฤตยูยังได้สร้างภาพมายาและทำให้พวกเขาเสียสมาธิ
“หัวหน้าตระกูล! ค่ายกลได้เปิดออกอย่างเต็มที่แล้วและไร้ซึ่งช่องว่าง ทว่ามีไอ้เด็กเวรคนหนึ่งหลุดรอดไปได้” ร่างสองร่างที่แต่งกายในชุดสีดำได้เข้ามายังค่ายกลและเอ่ย
“ไอ้เด็กเวรนั่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายวันในการกลับไปยังสำนักจันทร์สลาย ดังนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดให้กังวล พวกรองหัวหน้าตระกูลทั้งสองมาช่วยฆ่าในการฆ่าคนอื่นๆ ซะ!” ซิ่งเฉินคำรามพร้อมกับโจมตีอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น
หัวหน้าตระกูลพร้อมกับรองหัวหน้าตระกูลทั้งสองได้สร้างวงล้อมสามเหลี่ยมขึ้นก่อนใช้พลังของค่ายกลในการพยายามฆ่าหวงอวิ๋นและคนอื่นๆ
“ข้าจะรับมือหัวหน้าตระกูล พวกเจ้าพยายามจัดการอีกสองคนเสีย!” หวงอวิ๋นบอกคนอื่นๆ
เขาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและสามารถท้าทายผู้ที่อยู่ในนภาที่สามได้ เขาสามารถสู้กับซิ่งเฉินด้วยดาบจันทร์เขียวของเขา แต่เขาไม่อาจเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ ได้
อีกด้านหนึ่ง
ซู่เหริน เซี่ยวซุน และหลินฟ่านต่างเริ่มปะทะกับรองหัวหน้าตระกูลทั้งสอง
เคร้ง!
หลินฟ่านฟาดดาบของเขาลงไปยังร่างของหนึ่งในสอง ทว่ากลับไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆ ได้ ในทางกลับกันเป็นเขาเองที่ถูกผลักถอยด้วยแรงสะท้อน
เขาและเซี่ยวซุนนั้นสามารถรั้งไว้ได้หนึ่งคนอย่างยากลำบากเพราะการโจมตีของพวกเขาไม่อาจทำลายการป้องกันของร่างศพได้
ซู่เหรินที่อยู่ในนภาที่สองและมีดาบจินเยว่ทำให้เขาสามารถต่อกรกับรองหัวหน้าตระกูลอีกคนได้อย่างเท่าเทียม
คนที่อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ที่แท้จริงคือหวงอวิ๋น
คู่ต่อสู้ของเขาน่าหวาดกลัวจนเกินไป ความผิดพลาดเพียงเล็กๆ น้อยๆ ย่อมหมายถึงอาการบาดเจ็บอย่างมากหากไม่ตาย
“หรือสวรรค์ต้องการให้ข้าตายจริงๆ…?”
หวงอวิ๋นรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของเขาถูกกัดกร่อนโดยค่ายกลพิษ และการโคจรปราณแท้ของเขาเริ่มเชื่องช้าลง
สถานการณ์ของหลินฟ่านและอีกสองคนนั้นกระทั่งย่ำแย่กว่าเขา พวกเขาต้องอดทนกับพิษไปพร้อมๆ กับต่อสู้
พรวด!
หวงอวิ๋นถูกการโจมตีจากหัวหน้าตระกูลไปตรงๆ และถูกส่งลอยถอยหลังพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกจากปากเป็นสาย
ด้วยอาการบาดเจ็บของผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มหวงอวิ๋น ความพังพินาศของกลุ่มย่อมสามารถจินตนาการได้
หวงอวิ๋นรู้สึกขมขื่นอย่างมาก คราแรกที่เขารับภารกิจนี้ เขาไม่คิดจะนำมันมาใส่ใจเมื่อเป้าหมายของเขามีเพียงการฆ่าจ้าวเฟิงและหลินฟ่าน
ทว่าภารกิจนี้กลับยากกว่าที่คาด และไม่เพียงมันเพิ่มเป็น 3 ดาว มันเกือบจะเข้าสู่ระดับ 4 ดาวได้เลย
เมื่อคิดย้อนกลับไป หวงอวิ๋นก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ถูกควบคุมไว้ บางทีเขาอาจเป็นเพียงเบี้ยในมือของหยวนจื่อและกวานเฉิน เบี้ยที่สามารถโยนทิ้งได้โดยไร้ซึ่งความลังเล
“หากจ้าวเฟิงยังอยู่ที่นี่ เขาอาจต่อกรกับหนึ่งในรองหัวหน้าตระกูลได้ด้วยฝ่ามือวายุอัสนี ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นอัจฉริยะในด้านค่ายกลเช่นกัน…”
หวงอวิ๋นรู้สึกเสียใจอย่างมาก
เป้าหมายของเขาคือการฆ่าจ้าวเฟิงและหลินฟ่าน ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาอาจฆ่าจ้าวเฟิงได้ แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจที่จะหนีออกไปจากฝันร้ายนี้ได้เช่นกัน
หลินฟ่านนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและจดจำถึงสิ่งที่จ้าวเฟิงเอ่ยไว้ก่อนที่พวกเขาจะมายังที่นี่ขึ้นได้
“บางทีโอกาสสำเร็จอาจมีมากกว่าหากมีเพียงข้ากับศิษย์พี่หลินฟ่าน”
กลุ่มที่แตกร้าวจะเพ่งความสนใจไปยังจุดเดียวกันได้อย่างไร?
หากกลุ่มนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตั้งแต่ต้น พวกเขาจะมีโอกาสสูงที่จะสามารถล่าถอยได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
เคร้ง
หลินฟ่านถูกส่งกระเด็นลอยออกไปพร้อมด้วยเสียงกระทบกันของโลหะ รองหัวหน้าตระกูลแสยะยิ้มสยองขณะที่เขาโจนทะยานไปยังร่างของชายหนุ่ม
ฟุ่บ!
หลินฟ่านนั้นได้เห็นพิษสีม่วงจางในมือของรองหัวหน้าตำหนักแล้ว
‘มันจบแล้ว! ชีวิตข้าคงต้องสิ้นที่นี่!’ หลินฟ่านคิดขณะที่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ฟุ่บ
เส้นแสงสีทองได้พุ่งผ่านอากาศและโจมตีไปยังร่างของรองหัวหน้าตระกูลในเสี้ยวพริบตา
อ๊ากกก!
หนึ่งในดวงตาของเขาได้ถูกแทงทะลุโดยลูกธนูดอกหนึ่ง รองหัวหน้าตระกูลคำรามอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ใช่ศพจริงๆ เขาเพียงแค่ถูกเปลี่ยนแปลงไปในหนทางของศพ ซึ่งทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งราวกับโลหะ ทว่าบางส่วนเช่นดวงตายังคงเป็นจุดอ่อนอยู่ดี
“ศิษย์น้องจ้าว!”
หลินฟ่านมองไปยังร่างที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยหลาที่หมอบอยู่บนต้นไม้ใหญ่
ฟุ่บ
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ตอบโต้อันใด ธนูดอกที่สองก็ได้พุ่งผ่านอากาศและทะลวงเข้าสู่คอหอยของรองหัวหน้าตระกูล
ตุบ!
ร่างของเขาร่วงลงบนพื้น ตายโดยที่ดวงตาและคอถูกยิงด้วยลูกธนูและถูกทะลวงจนเละ
ทักษะธนูที่ทรงพลังงดงามนี้ได้ทำให้คางของผู้อื่นร่วงลงปากอ้ากว้าง
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นซิ่งเฉินยังร่างกายแข็งเกร็ง
ทุกคนหันกลับไปมองยังเด็กหนุ่มตาเดียวเรือนผมสีครามที่ยืนอยู่บนยอดไม้ สายลมได้พัดให้เส้นผมของเขาพัดไหว สร้างภาพที่ดูชั่วร้ายกว่าเดิมให้เด็กหนุ่ม