บทที่ 162 : การแข่งขันยอดนภา (2)
มีคนเพียงไม่มากที่เข้าใจว่าเป่ยโม่ยชนะได้อย่างไร เพราะมันดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่แม้แต่จะโจมตีคู่ต่อสู้
“เป่ยโม่ยผู้นี้มิใช่ผู้เดิมยามที่อยู่ตำหนักกว่านจวิน… ทำให้คู่ต่อสู้กระอักโลหิตเพียงเพราะกลิ่นอายของการโจมตีนั้น” สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด
เป่ยโม่ยไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์สูง เขายังมีความเข้าใจสูงอีกด้วย
“เขาฝึกฝนวิชาธาราเหนือสวรรค์ทมิฬ… วิชานั้นถูกนำออกมาจากตำหนักยอดนภาโดยผู้อาวุโสไฮ่หยุน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเรียนรู้วิชามนุษย์ระดับสูงนี้ได้” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเชื่องช้า
วิชาธาราเหนือสวรรค์ทมิฬ!
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าวิชานั้นไม่ธรรมดา เหมือนเช่นฝ่ามือวายุอัสนีของเขา คำของผู้เป็นอาจารย์ก่อนหน้าเป็นการเตือนเด็กหนุ่ม
การประลองแรกของเป่ยโม่ยได้ฝังลึกลงในหัวใจของทุกคน มันเป็นเพียงแค่กลิ่นอายการโจมตีของเขา ทว่าเขากลับทำให้คู่ต่อสู้กระอักเลือด มันยากที่จะจินตนาการว่าพลังที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร
“ศิษย์น้องเป่ยนั้นยอดเยี่ยมโดยแท้ ดูเหมือนว่าการแข่งขันยอดนภาจะไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ หลังจากเขาได้ฝึกฝนวิชาธาราเหนือสวรรค์ทมิฬ” กวานเฉินถอดถอนใจพร้อมกับที่ความอิจฉาและจนใจแล่นผ่านดวงตา
เป่ยโม่ยอาจอ่อนแอกว่าเขาและหยวนจื่อในยามนี้ แต่มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่พวกเขาจะถูกก้าวข้าม
หลังจากเป่ยโม่ยประลอง หลันเสี่ยวหยวน ซุนหยวนเฮา และหลิวเยว่เอ๋อร์ต่างก็แสดงความสามารถของตน
หลันเสี่ยวหยวนเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สองในกระบวนท่าเดียว ซุนหยวนเฮานั้นโชคร้ายกว่าเล็กน้อย คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในนภาที่สามซึ่งทำให้เขาต้องต่อสู้กว่า 10-20 กระบวนท่าจึงชนะได้
“แม้ว่ามีเพียงศิษย์ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณที่มีโอกาส ศิษย์ของผู้อาวุโสเองก็ไม่อาจดูแคลนได้เช่นกัน” จ้าวเฟิงคิด
ตัวอย่างเช่น ซุนหยวนเฮามีความเข้าใจและพรสวรรค์สูง ทั้งเขายังได้ฝึกวิชามนุษย์ระดับสูงหนึ่งวิชาพร้อมทั้งวิชามนาย์ระดับกลางอีกสองวิชา ในขณะที่ศิษย์สายในทั่วไปนั้นมีเพียงวิชามนุษย์ระดับกลางสองวิชา
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงประมาณพลังที่แท้จริงของซุนหยวนเฮาไว้ที่ ขั้นสุดยอดของนภาที่สาม!
นั่นหมายถึงซุนหยวนเฮาสามารถประลองกับผู้ที่อยู่ในระดับเหนือกว่าเขาหนึ่งระดับโดยสิ้นเชิงได้
สำหรับเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวน พวกเขาล้วนเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
“การแข่งขันรอบที่ 12 จ้าวเฟิง vs โหลวไฮ่เฉียง” เสียงของรองหัวหน้าตำหนักหลี่ดังขึ้น
จ้าวเฟิงเคลื่อนกายราวกับปลาและพลิ้วกายลงบนเวทีประลองในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
คู่ต่อสู้ของเขานั้นอยู่ในนภาที่สาม และในบรรดาศิษย์มากกว่า 40 คนที่เข้าร่วม หนึ่งในสามมีพลังฝึกตนที่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นเรื่องโชคร้ายที่เผชิญหน้ากับศิษย์ในนภาที่สามตั้งแต่รอบแรก
ผมสีครามของจ้าวเฟิงโบกไหวไปกับสายลม ประกายแหลมคมปรากฏในดวงตาของเขา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนเสียสติที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีผู้นั้น”
โหลวไฮ่เฉียงเลียริมฝีปากพร้อมกับเกร็งร่างกาย ไม่กล้าที่จะมั่นใจเกินไป
คนเสียสติที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี?
ร่างของจ้าวเฟิงได้ดึงดูดความสนใจของคนหลายคน
ลมทะยานอัสนีคำราม!
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผลักฝ่ามือของเขาออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขณะที่สายลมยังคงหยอกล้อกับเรือนผมของเขา ในเสี้ยววินาที เสียงของฟ้าคำรามก็ดังขึ้นราวกับมีพายุ
“เฮือก”
ร่างของโหลวไฮ่เฉียงพลันแข็งค้างในเสี้ยววินาทีขณะที่เขาถูกครอบคลุมด้วยสายลมและสายฟ้าอันกราดเกรี้ยว
เจ็ดดรรชนีพิฆาต!
ชายหนุ่มควบรวมปราณแท้ทั้งหมดของเขาและส่งเส้นแสงสีม่วงซึ่งแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทะลวงผ่านเหล็กหนาได้ออกมา
ฟุ่บ!
วินาทีที่ปราณแท้ของเขาถูกส่งออกจากร่าง มันก็ถูกลบล้างไปโดยพายุ
ร่างของโหลวไฮ่เฉียงถูกส่งกระเด็นลอยออกไปพร้อมเสียงเปรี้ยง
“เจ้าแข็งแกร่งยิ่ง…”
ชายหนุ่มยอมแพ้ ใบหน้าขาวซีด
เหล่าผู้ชมด้านล่างต่างตื่นตะลึง และหลายคนเริ่มที่จะชื่นชมพลังของฝ่ามือวายุอัสนี
“สามารถท้าทายผู้ที่ระดับสูงกว่าและเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว นี่คือพลังของฝ่ามือวายุอัสนีหรือ?”
สีหน้าของหยางก่านแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“การควบคุมฝ่ามือวายุอัสนีของเขากระทั่งเหนือกว่าเฉินเอ๋อร์ และเขาได้ฝึกฝนทุกกระบวนท่าจนเข้าสู่ขั้นสูง”
ประกายแสงแล่นวาบในดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่ง
เขาเคยมีศิษย์อีกคนหนึ่ง ทว่าได้ตายตกไปเพราะฝ่ามือวายุอัสนี…
หลังจากจ้าวเฟิงชนะ เด็กหนุ่มก็ถอยกลับไปยังเบื้องหลังผู้เป็นอาจารย์เพื่อเฝ้ารอการประลองรอบต่อไป
ไม่ช้า เหล่าผู้เข้าแข่งขันก็ได้ประลองรอบแรกเสร็จสิ้น โดยที่หลินฟ่านสามารถเอาชนะศิษย์ในขั้นสุดยอดของนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้อย่างง่ายดาย
“จ้าวเฟิงและหลินฟ่านผ่านรอบแรกได้อย่างง่ายดาย?”
เซี่ยวซุนที่มองอยู่ด้านล่างรู้สึกผิดหวังและหงุดหงิดอย่างมาก เขาพึ่งพาดวงเสียเป็นส่วนมาก ทว่าโชคร้ายที่ดวงของเขาไม่ดีนัก และได้พ่ายแพ้ไปในรอบแรก
ทุกๆ การพ่ายแพ้จะสร้างระยะห่างระหว่างเขากับที่ว่างนั้น
หลังจากพักผ่อนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง การประลองรอบที่สองก็เริ่มขึ้น
ผู้ชนะจะต่อสู้กับผู้ชนะ และผู้ที่สามารถเอาชนะได้สี่รอบติดต่อกันจะได้รับที่ว่างไปในทันที
ความจริงนั้น มีคนเพียงไม่มากที่ชนะติดต่อกันสี่ครั้ง เพราะคู่ต่อสู้จะน่าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแต่ล่ะรอบผ่านพ้นไป
ไม่มีผู้ชนะคนใดธรรมดา
การต่อสู้รอบที่สอง เซี่ยวซุนได้พ่ายแพ้อีกครั้งและเขาเกือบจะเสียสติไป
ดวงของหลินฟ่านไม่ดีเท่าใดนักเช่นกัน เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สาม
“ดูเหมือนว่าหลินฟ่านจะแพ้”
เซี่ยวซุนคิด และอวิ๋นเมิงเซี่ยงที่ยืนอยู่ข้างเขาแย้มยิ้มบาง
ทว่าผลลัพธ์นั้นคาดไม่ถึง หลินฟ่านได้ปะทะกับอีกฝ่ายไปราวๆ 50 กระบวนท่าและสามารถเอาชนะได้อย่างฉิวเฉียด
“ไอ้หมอนี่มีวิชามนุษย์ระดับสูงและอาวุธมนุษย์ระดับต่ำ!”
เซี่ยวซุนรู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น
พวกเขาล้วนไปทำภารกิจเดียวกัน ได้รางวัลเช่นเดียวกัน ทว่าหลินฟ่านได้เติบโตรวดเร็วกว่าเขานัก ความแตกต่างที่มากที่สุดคืออีกฝ่ายมีวิชามนุษย์ระดับสูง
แต้มสนับสนุนของหลินฟ่านและเซี่ยวซุนย่อมไม่เพียงพอสำหรับวิชามนุษย์ระดับสูงและอาวุธมนุษย์ระดับต่ำ
“หลินฟ่านและจ้าวเฟิงสนิทกันไม่น้อยในช่วงหลังมานี้”
ประกายความเสียใจแล่นวาบในดวงตาของอวิ๋นเมิงเซียง และนางสามารถคาดเดาได้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น
รางวัลของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าผู้อื่น และมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะได้รับอาวุธมนุษย์จำนวนหนึ่ง หลินฟ่านสามารถมาไกลได้ถึงเพียงนี้มีเพียงแค่เพราะเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
ในรอบที่สอง ตำแหน่งของเป่ยโม่ยและอวิ๋นเมิงเซียงไม่อาจสั่นคลอนได้เมื่อพวกเขายังคงเอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียว
“เป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนในการแข่งขันนี้ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สามก็ไม่อาจต้านทานได้มากกว่าสามกระบวนท่า”
“ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงเองก็ไม่ด้อยนัก ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาทรงพลังยิ่ง”
ฝูงชนพูดคุยกัน
จ้าวเฟิง เป่ยโม่ย และหลันเสี่ยวหยวนได้ใช้พลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงในการเอาชนะคู่ต่อสู้
ในบรรดาพวกเขา เป่ยโม่ยได้สร้างความตื่นตะลึงแก่ทุกคนเมื่อเขาเอาชนะศิษย์ในขั้นสุดยอดของนภาที่สามในกระบวนท่าเดียว
“กระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณอาจมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ศิษย์จำนวนหนึ่งได้ทั้งหวาดระแวงยำเกรงเป่ยโม่ย และไม่มีผู้ใดในพวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม
ในตอนนี้มีคนไม่ถึงสิบคนที่เอาชนะติดต่อกันได้สองรอบ หากคนผู้หนึ่งไม่ได้มีพลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง มันก็ยากที่จะเอาชนะอย่างต่อเนื่อง
ไม่ช้าก็เข้าสู่รอบที่สาม และเหล่าศิษย์ที่ชนะติดต่อกันสองรอบเริ่มที่จะรู้สึกย่ำแย่
ในรอบที่สาม หลินฟ่านได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง หลิวเยว่เอ๋อร์ เด็กสาวนั้นมีพลังฝึกตนสูงกว่าเขา และมีอาวุธและวิชาที่ดีกว่าเขา ทว่าหลังจากผ่านพ้นไปราวๆ 20 กระบวนท่า ชายหนุ่มก็ได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเด็กสาวก็ไม่อาจเทียบเท่าหลินฟ่านได้
วิ้งงง
ในตอนนี้ หลิวเยว่เอ๋อร์ได้นำกระบี่หยกที่ได้เพิ่มความเร็วและพลังของการโจมตีของนางออกมา พลังโจมตีของเด็กสาวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในเสี้ยววินาที
“อาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลาง!” ผู้ชมด้านล่างอุทานออกมา
“ข้ายอมแพ้”
หลินฟ่านยอมแพ้ทันทีเพื่อที่เขาจะได้เก็บพลังไว้สำหรับการต่อสู้ในภายหลัง
“จ้าวเฟิง vs ซุนหยวนเฮา!”
รอบที่สาม จ้าวเฟิงเองก็ได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เป็นปัญหา ซุนหยวนเฮานั้นเป็นเด็กชายที่มีกายผันแปร และเขาได้ถูกรับเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสในเสี้ยววินาที
การความสำเร็จในปัจจุบันของพวกเขานั้น ซุนหยวนเฮานับเป็นรองเพียงเป่ยโม่ย อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มสกุลเป่ยได้เข้าร่วมสำนักก่อนเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนซุนหยวนเฮา ดังนั้นเขาจึงมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่า
หลายคนคาดหวังในการประลองนี้เมื่อทั้งคู่ล้วนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส
ทว่าการต่อสู้น่าตื่นเต้นที่พวกเขาเฝ้ารอไม่ได้เกิดขึ้น
วิชากำแพงเงิน!
เลือดของจ้าวเฟิงเดือดพล่านพร้อมกับที่ชั้นสีเงินได้ส่องประกายออกจากเขา ทำให้ร่างกายของเขาดูสมบูรณ์แบบ
“วิชาเสริมกายาของหมอนั่นถึงระดับสูงเพียงนั้น!”
ผู้ชมด้านล่างนิ่งอึ้ง
คิ้วของผู้อาวุโสเสวี่ยกระตุกขณะที่เขามองไปยังผู้อาวุโสหนึ่งอย่างหมดหนทางและถอนหายใจ
ฝ่ามือวายุอัสนี!
ด้วยวิชากำแพงเงินเป็นพื้นฐาน จ้าวเฟิงได้โคจรฝ่ามือวายุอัสนีของเขาและกระแทกไปยังร่างของคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ!
จ้าวเฟิงกดดันซุนหยวนเฮาด้วยการโจมตีที่รวดเร็วราวสายฟ้า
กระบวนท่าแรก เด็กชายถูกกดดันให้ถอย กระบวนท่าที่สอง ม่านพลังป้องกันของเขาพังลง กระบวนท่าที่สาม เขากระอักเลือด
“ข้าแพ้ แต่ข้ายังมิได้ใช้อาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลางของข้า” ซุนหยวนเฮาหดหู่
การโจมตีของจ้าวเฟิงนั้นโหดเหี้ยมจนเกินไป และเขาไม่มีเวลาที่จะนำอาวุธมนุษย์ระดับกลางของเขาออกมา หรือมิเช่นนั้น ผลลัพธ์อาจไม่เป็นเช่นนี้ อย่างน้อย เขาก็คงไม่พ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้
รอบที่สามได้เข้าสู่จุดสิ้นสุด และเลือกคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถรักษาการชนะติดต่อกันไว้ได้
จ้าวเฟิงมองไปรอบๆ และมีคนเพียงสี่คนที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้สามครั้ง
พวกเขาคือเป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน จ้าวเฟิง และหลิวเยว่เอ๋อร์ตามลำดับ
เหล่าผู้ที่ชนะสองแพ้หนึ่งเช่นหลินฟ่านนับว่าทำได้ดี ทว่าส่วนมากได้แพ้สองครั้งและชนะหนึ่งครั้ง ในขณะที่บางคนได้แพ้ติดต่อกันสามครั้งเช่นเซี่ยวซุน
“มันกำลังจะถึงรอบที่สี่”
จ้าวเฟิงรู้สึกคาดหวังเล็กๆ มีคนเพียง 4 คนที่สามารถเข้าสู่รอบที่สี่ได้ ซึ่งหมายความว่าเขามีโอกาสหนึ่งในสามที่จะเผชิญหน้ากับเป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน และหลิวเยว่เอ๋อร์
หากเขาเจอกับหลิวเยว่เอ๋อร์ มันย่อมไม่กดดันมากนัก ทว่ามันจะเป็นปัญหาหากเขาเผชิญหน้ากับหลันเสี่ยวหยวนหรือเป่ยโม่ย สองคนนั้นสามารถท้าทายผู้ฝึกตนในนภาที่สี่ได้
หลังจากพักผ่อนไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาจึงเริ่มจับคู่ต่อสู้
รอบที่สี่ได้เริ่มต้นขึ้นในที่สุด
แม้ว่ารอบนี้จะไม่ใช่รอบสุดท้าย มันก็เป็นรอบที่สำคัญมาก
จ้าวเฟิงแอบมองแผ่นกระดาษในมือเขาอย่างช่วยไม่ได้ เด็กหนุ่มถอนหายใจและส่ายศีรษะ… มันไม่ใช่หลิวเยว่เอ๋อร์