Skip to content

King of Gods 165

King Of Gods

บทที่ 165 : สัตว์อสูรโลหะทมิฬ

ศิษย์ยอดฝีมือทั้งสิบยืนเป็นแถวตรงบนขั้นบันได จ้าวสำนักและผู้อาวุโสอีกสี่คนนั้นมีกลิ่นอายที่อ่อนแรง หลังจากฟื้นตัวได้เล็กน้อย สายตาของพวกเขาก็ได้จับจ้องไปยังร่างของศิษย์ทั้งสิบที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง

จ้าวสำนักจันทร์สลายยิ้มและผงกศีรษะของนางไปยังหลันเสี่ยวหยวนอย่างให้กำลังใจ ผู้อาวุโสหนึ่งยังคงเยือกเย็นขณะที่เขามองไปยังหยางก่านและจ้าวเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ผู้อาวุโสเสวี่ย ผู้อาวุโสไฮ่หยุน และแม่เฒ่าหลิวเยว่ต่างมีศิษย์ของตนเองเข้าร่วม และจ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าการทดสอบยอดนภานั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสของสำนัก

ในกลุ่มนั้น ดวงตาของกวานเฉินส่องประกายเย็นวาบขณะที่เขามองไปยังจ้าวเฟิง ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มผมครามได้กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงกักเก็บความโกรธของเขาเอาไว้ และเฝ้ารอโอกาสนี้ การทดสอบยอดนภา

การทดสอบนี้เต็มไปด้วยอันตรายและรางวัล และมันมีบางครั้งที่มีคนตาย สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไม่อาจแม้แต่จะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน

วิ้งงงง

ทางเข้าของตำหนักจันทร์สลายสั่นเล็กๆ พร้อมกับที่ ‘ประตูสีเขียว’ ได้ปรากฏขึ้นจากแสงสว่างสีขาว จากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ประตูนั้นก็มั่นคง

“ทางเข้าเสถียรแล้ว และมันจะปิดลงโดยอัตโนมัติเมื่อคนสิบคนได้เข้าไป” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยเตือน

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทั้งสิบต่างใช้วิชาเคลื่อนไหวของพวกเขาและกลายเป็นเงาพร่าเลือนพุ่งลอดผ่านประตูสีเขียวนั้นไป

ฟุ่บ!

วินาทีที่จ้าวเฟิงผ่านประตูไป เขาก็รู้สึกได้ถึงความชาหนึบที่แพร่ไปทั่วร่าง

วินาทีต่อมา

ทุกคนได้ร่อนลงบนถนนสีทองดำที่กว้างสิบหลา ในสถานที่มืดหม่นนี้ สายตาของทุกคนได้ถูกจำกัด แม้ว่าพวกเขาจะล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ตาม

ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น จ้าวเฟิง!

แสงสลัวนี้ไม่ได้ส่งผลต่อเขาเท่าใดนัก

“เหตุใดเราจึงขยับไม่ได้?”

ศิษย์ยอดฝีมือทั้งสิบรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาช้าหนึบหรือแข็งค้าง และไม่อาจที่จะควบคุมร่างกายของพวกเขาได้

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

ในแสงมืดสลัวนั้น แสงสว่างจำนวนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นและกลายเป็นตราสิบอันก่อนจะหลอมรวมเข้ากับร่างของพวกเขาด้วยเสียง ‘ฟุ่บ’

ในเวลาเดียวกันก็ได้ปรากฏเสียงขึ้นในศีรษะของพวกเขา

“การทดสอบยอดนภาเริ่มต้นขึ้นแล้ว และตรายอดนภาที่เพิ่งจะหลอมรวมเข้ากับร่างของพวกเจ้านั้นจะใช้บันทึกคะแนนของพวกเจ้า”

ทั้งกลุ่มได้ถูกบอกถึงเรื่องนี้มาก่อนที่พวกเขาจะเข้ามายังตำหนัก ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ประหลาดใจอันใด

“ยิ่งคนผู้หนึ่งอยู่นานเท่าใด ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น จำนวนของการทดสอบที่ผ่านพ้นรวมทั้งความสามารถของพวกเขาในการทดสอบล้วนส่งผลต่อคะแนนของพวกเจ้า และคะแนนรวมสุดท้ายจะตัดสินถึงรางวัล” น้ำเสียงเย็นชืดของกลไกดังขึ้นอีกครั้งราวกับว่ามันได้ประกาศกฎขึ้น

ในตอนนั้นเองที่จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าความรู้สึกชาหนึบบนร่างได้หายไป ทำให้เขาสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง

“การทดสอบแรก: นรกแห่งความตาย เวลาสามวัน” น้ำเสียงเย็นชืดเอ่ยขึ้นก่อนจะจางหายไป

ทุกคนยืนอยู่บนถนนสีทองดำและไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใด ถนนนั้นถูกสร้างขึ้นจากวัสดุแข็งแกร่งที่ให้ความรู้สึกหนาวเย็น ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งกลุ่มรวมกันก็ไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้

สองฝั่งฟากของถนนนั้นเป็นนรกลึกพร้อมกับเสียงโหยหวนของสายลมที่สามารถเปลี่ยนแปรไปได้ทุกครา

จ้าวเฟิงคำนวณว่านอกจากศิษย์หลักทั้งสามที่สามารถป้องกันสายลมได้ชั่วขณะ คนที่เหลือล้วนแล้วแต่จะถูกกระชากเป็นชิ้นในเสี้ยววินาที สถานที่ปลอดภัยแห่งเดียวนั้นคือทางสีทองดำนี้

สันหลังของเด็กหนุ่มผมครามพลันหนาวเยือกเมื่อเขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

จากทางมืดสนิทเบื้องหลัง น้ำเสียงที่สั่นสะท้านดวงวิญญาณได้ดังขึ้น ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวก็ได้แพร่กระจายออก

นั่นคืออันใดกัน?

ทุกคนรวมทั้งศิษย์หลักทั้งสามได้หมุนตัวกลับไป ทว่ากลับเห็นเพียงร่างเลือนรางของบางอย่าง

โอ้ สวรรค์…

จ้าวเฟิงหันหลังกลับและตะลึกไปกับสิ่งที่เห็นในเสี้ยววินาที

“วิ่ง!”

เด็กหนุ่มพลันเอ่ยบอกกับหลินฟ่านก่อนที่จะพุ่งตัวออกไป ชายหนุ่มสกุลหลินได้ติดตามจ้าวเฟิงไปโดยไร้ซึ่งความลังเล

กวานเฉินและคนอื่นๆ ล้วนงุนงง ทว่าเสียงฝีเท้าโลหะที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังพวกเขาได้เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายของมันก็ได้กดดันพวกเขา ทำให้ร่างแข็งเกร็ง

ในบรรดาคนทั้งสิบนั้น มีบางคนที่ได้ติดตามจ้าวเฟิงไปตามสัญชาตญาณและวิ่งออกไป

เคร้ง! เคร้ง!

ในความมืดนั้น สัตว์อสูรโลหะสีดำสูงสามหลาได้ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาสีเขียวคู่หนึ่งเบิกกว้าง มันยังมีปีกสีเขียวเข้มคู่หนึ่งบนหลังของมันซึ่งกว้างกว่าสิบหลา

“มันคืออันใดกัน?”

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน

“ทุกคนวิ่ง! กลิ่นอายของสัตว์อสูรนั่นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง” หยางก่านอุทาน

กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเขาที่อยู่ในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ไร้หนทางเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ผลลัพธ์ของการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นคือการถูกฆ่าในเสี้ยววินาที

ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธมันได้ และสายตาของจ้าวเฟิงนั้นดีที่สุด หลังจากที่เขาเห็นสัตว์อสูรโลหะทมิฬ เขาก็วิ่งออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลในทันที

วิ่งไปข้างหน้า

มันไม่มีหนทางอื่น

เบื้องหลังพวกเขาคือสัตว์อสูรโลหะทมิฬ และสองฟากฝั่งคือนรก

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ศิษย์หลักทั้งสามมีความเร็วมากที่สุด และในเสี้ยวพริบตา พวกเขาก็ได้เลยผ่านจ้าวเฟิงไป

สีหน้าของหลินฟ่านแปรเปลี่ยนไป ทว่ามันไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาสามารถทำได้

ในบรรดาทั้งสิบที่เข้าร่วมนั้น สามศิษย์หลักคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงฝีเท้าของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้นราวกับเชื่องช้า ทว่าความเร็วของมันนั้นไม่ใช่แบบนั้น มันสามารถก้าวได้เกินครั้งล่ะสิบเมตร

น้ำเสียงฝีเท้าหนักลึกและกลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้หัวใจของทุกคนกระตุก เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“พวกเราจะถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีที่เราถูกจับโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬนี่” กวานเฉินคิดด้วยความหวาดกลัว

ในสถานการณ์เข้าตาจนเช่นนี้ เขาจะไปให้ความสนใจกับจ้าวเฟิงได้อีกเช่นไร?

สิ้นหวัง! ความตาย!

ทุกคนเริ่มพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูงสุดของพวกเขา

“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดจึงไม่วิ่งให้เร็วขึ้น?”

หลินฟ่านวิ่งไปข้างๆ จ้าวเฟิง ทว่าเขากลับพบว่าความเร็วของอีกฝ่ายนั้นยังคงเดิม

ดวงตาแหลมคมของเด็กหนุ่มผมครามเหลือบไปด้านหลังก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ท่านไม่ได้ยินหรือว่ารอบแรกนั้นจะยาวนานสามวัน?”

หลินฟ่านชะงักไปในคราแรก จากนั้นสีหน้าของเขาจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงพร้อมกับที่ชายหนุ่มสูดลมหายใจเย็นเยียบ

“ท่านวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ได้ตลอดสามวันเช่นนั้นหรือ?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น

“เป็นไปไม่ได้ ข้าสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้เพียง 2 ชั่วโมง” หลินฟ่านส่ายศีรษะ

หากเขาเร่งความเร็วของเขาไปจนถึงขีดสุด เขานั้นกระทั่งรวดเร็วกว่าม้า ทว่าเขาจะใช้พลังงานมากเกินไป และการทดสอบแรกนั้นกินเวลาสามวัน

“การทดสอบจะไม่ส่งสัตว์อสูรที่สมบูรณ์ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงออกมาฆ่าพวกเรา หรือมิเช่นนั้นท่านคิดหรือว่าเราจะมีโอกาสรอด?” เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวยังคงเอ่ยถาม

“ไม่มีทาง” หลินฟ่านเอ่ยโดยไร้ซึ่งความลังเล

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ใดในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พวกเขาย่อมไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย แม้ว่าพวกเขาทั้งสิบจะร่วมมือกัน พวกเขาก็จะถูกฆ่าในกระบวนท่าเดียว

“ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬเบื้องหลังเรานั้นอยู่ที่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ สิ่งที่พวกเราต้องทำนั้นมีเพียงการคงความเร็วนี้ไว้และอย่าถูกจับได้ในเวลาสามวัน จากนั้นเราจะผ่านการทดสอบแรกได้สำเร็จ” จ้าวเฟิงเอ่ยคำตอบของเขา

สายตาของเขานั้นยอดเยี่ยมที่สุด และเขารู้ถึงความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬนั้น

ทุกสิ่งของมันได้เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเว้นเสียแต่ความเร็วของมัน และความเร็วของมันนั้นต่ำกว่าทุกคนที่นี่

เป็นเช่นนี้เอง!

หลินฟ่านพลันควบคุมความเร็วของตนเพื่อประหยัดพลัง ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกนับถือเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเขามากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความเยือกเย็นของจ้าวเฟิงและการควบคุมของเด็กหนุ่มนั้นได้เข้าสู่ระดับที่ไม่น่าเชื่อแล้ว

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงกระทบของโลหะได้แผ่วเบาลงอย่างช้าๆ

จ้าวเฟิงและหลินฟ่านต่างคงความเร็วของตนไว้ และเพราะเขานั้นรวดเร็วกว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬเพียงเล็กน้อย ระยะห่างระหว่างพวกเขากับมันจึงเพิ่มขึ้นตามเวลา

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

แฮ่ก! แฮ่ก!

หลิวเยว่เอ๋อร์และซุนหยวนเฮาด้านหน้ากำลังพักอยู่ที่พื้น ฟื้นฟูพลังของตน ด้วยความเร็วที่พวกเขาใช้นั้น พลังที่ใช้ไปจึงมากมายนัก

“พวกเจ้าทั้งสองไม่ถูกจับได้โดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬแม้ว่าพวกเจ้าจะวิ่งช้าเพียงนั้น?”

คิ้วของหลิวเยว่เอ๋อร์มุ่นเข้าหากันขณะที่นางเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“ฮะฮะ ความเร็วของเรามากกว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬเพียงเล็กน้อย เอิ่ม อีกสักพักหนึ่งเจ้าโง่นั่นก็จะตามมาทัน” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง

หลังจากหยุดไปเล็กน้อย เขากับหลินฟ่านก็ยังคงวิ่งต่อไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าพวกเขาเพียงแค่หยุดชมทิวทัศน์

“นั่น… เป็นไปได้หรือ?”

หลิวเยว่เอ๋อร์และซุนหยวนเฮามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อถือ ทว่าเสียงฝีเท้าได้ดังขึ้นในเสี้ยววินาที

“วิ่ง!”

ทั้งสองเห็นเงาดำใหญ่โตที่ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงที่เกือบจะทำให้เลือดของพวกเขาแข็งตัวจากเบื้องหลัง

การทดสอบแรก – นรกแห่งความตาย – เวลา: 3 วัน

เวลาครึ่งวันผ่านไป และศิษย์เบื้องหน้าไม่อาจวิ่งได้นานก่อนที่พลังของพวกเขาจะหมดลง แม้ว่าพวกเขาจะมียาที่ฟื้นฟูพลังงานของพวกเขา พวกมันก็ไม่ดีต่อร่างกายหากใช้อย่างต่อเนื่อง

จ้าวเฟิงและหลินฟ่านเป็นคนแรกที่ค้นพบว่าสัตว์อสูรนั้นทำงานเช่นไร และพวกเขาได้ใช้พลังที่น้อยที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่มากที่สุด ศิษย์คนอื่นๆ ได้วิ่งเพียงชั่วครู่ จากนั้นจึงต้องนั่งลงและฟื้นฟูพลัง แต่เมื่อพวกเขาเพียงแค่ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ สัตว์อสูรโลหะทมิฬก็จะตามมาทันอีกครั้ง

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นคนโง่ และไม่ช้าทุกคนก็พบทางที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในการรับมือกับสัตว์อสูรนั้น

วันที่สอง

ศิษย์จำนวนหนึ่งเริ่มรู้สึกเหนื่อย ทว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬเบื้องหลังพวกเขานั้นไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อมันเป็นเพียงเครื่องกลไกและไม่ได้ถูกสรรค์สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อ

ในยามนี้ ภาพของสองฟากฝั่งได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในคราแรก จ้าวเฟิงไม่เข้าใจว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นกระทั่งเขาพบกับโครงกระดูกที่นอนอยู่ในห้องที่พังทลาย

โครงกระดูกนั้นราวกับว่ามันได้อยู่ในห้องนั้นมาเป็นเวลายาวนาน ทว่ากระดูกยังคงเปล่งประกายจางๆ ข้างๆ มันนั้นได้ปรากฏของจำนวนหนึ่งขึ้น กองผลึกเริ่มต้น ดาบไม้ไผ่ที่แตกหัก เครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่ง และตำราโบราณจำนวนหนึ่ง…

ศิษย์หลักทั้งสามล้วนอยู่ที่นี่และกำลังจ้องมองมัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version