บทที่ 187 : มหาสมุทรเถาวัลย์
ไข่นั้นมีขนาดราวๆ กำปั้นและมีสีเทาตุ่น เปลือกของมันมีรอยสลักเรียบง่ายทว่ากลับดูล้ำลึกในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงถือไข่นั้นและรู้สึกราวกับว่ามันเป็นเพียงก้อนหินไร้ซึ่งชีวิต ทว่าหากเขาสงบใจลงและมองมันด้วยดวงตาซ้ายของเขา มันก็ราวกับว่าเขากำลังถือหัวใจที่กำลังเต้นตุบ
หลังจากสังเกตมันอยู่ชั่วขณะ เด็กหนุ่มก็ยังคงไร้ซึ่งหนทางไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด
คราแรกเขาใส่ปราณแท้ของเขาลงไป ทว่ามันไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่าเปลือกของไข่นั้นมีพลังต่อต้านปราณแท้ที่แข็งแกร่ง
เขาพลันจดจำได้ว่าในบันทึกโบราณบางอย่าง มันได้เอ่ยเอาไว้ว่าคนผู้หนึ่งสามารถใช้โลหิตในการเปิดผนึกได้
ทว่านี่เป็นเพียงคำเล่าลือ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่ามันต้องทำเช่นใด
เขานิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นจึงกัดนิ้วและหยดเลือดลงไปบนเปลือกไข่ 2-3 หยด
ไข่นั้นยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ทว่าจ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าเลือดของเขาได้ทำให้ร่องรอยบนเปลือกไข่นั้นงดงามกว่าเดิม
เมื่อเพิ่มความสามารถของสายตาของเขาให้มากขึ้นหลายร้อยเท่า เด็กหนุ่มจึงจับสัญญาณเจือจางของไข่ที่กำลังตอบรับได้
“เลือดของข้าสกปรกเพียงนั้นเลยหรือ?”
จ้าวเฟิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงหนึ่งในพันของเลือดของเขาที่ได้ถูกดูดกลืนไปโดยเปลือกไข่
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงนึกอะไรบางอย่างได้ และตัดสินใจที่จะพยายามทดลองด้วยพลังแห่งสายเลือด
ตามที่ผู้พิทักษ์ศพโลหิตเอ่ยนั้น จ้าวเฟิงมีสายเลือดโบราณที่ทำให้กระทั่งเชื้อสายของลัทธิมารจันทราชาดยังต้องหวาดระแวง ครานี้ จ้าวเฟิงได้หยดสายเลือดที่ปรากฏประกายสีครามจางที่บางเบาราวกับเส้นลวดลงไปบนไข่
มันเข้าไปโดยไร้ซึ่งการต่อต้าน
จ้าวเฟิงยินดียิ่งนัก!
ทว่า ในเสี้ยววินาทีต่อมา สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
หวู่ วิ้งงงง
โลหิตสีครามจางภายในร่างของเขาได้ถูกดูดออก ดูราวกับมันกำลังถูกดูดเข้าสู่หลุมอันไร้ก้นบึ้ง
ไข่สีหม่นนั้นราวกับเด็กแรกเกิดที่กลืนกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม
ในเวลาเพียงสองช่วงลมหายใจสั้นๆ พลังแห่งสายเลือดเกินครึ่งในร่างของจ้าวเฟิงก็ได้ถูกดูดออก ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนแรงหลังจากที่สูญเสียพลังสายเลือดจำนวนมาก
“หยุด! หยุดดดด!”
เด็กหนุ่มผมครามใช้ดวงตาซ้ายพร้อมกับที่นรกสีครามภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขาได้เริ่มหมุนวน
พลังสายเลือดของเขาได้มีต้นกำเนิดมาจากดวงตาซ้าย และจะอย่างไรมันก็ถูกควบคุมโดยเขา จ้าวเฟิงได้ฝืนบังคับในการตัดขาดมันออกจากไข่
วูบ!
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนพื้นด้วยใบหน้าขาวซีดอย่างหมดแรง พลังจิตของเขาเองก็เหลือน้อยเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะตัดขาดการเชื่อมโยงกับไข่แล้ว พลังสายเลือดสีครามเกินกว่าครึ่งก็ยังคงถูกดูดเข้าไปภายในไข่สีเทาอยู่ดี
รอยสลักบนเปลือกไข่ได้มีร่องรอยของโลหิตไหลผ่าน ดูทั้งงดงามและน่าหวาดกลัว
ตึก ตึก! ตึก ตึก!
เด็กหนุ่มได้ยินถึงเสียงหัวใจเต้นจากภายในส่วนลึกของไข่ราวกับว่าชีวิตใหม่ได้ถูกสรรค์สร้างขึ้น
หลังจากรอเป็นระยะเวลานาน ไข่สีเทาก็หยุดเคลื่อนไหว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นมีแค่กลิ่นอายของชีวิตที่ได้แข็งแกร่งขึ้น
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้นและดื่มไวน์จิตวิญญาณเข้าไปอึกใหญ่รวมทั้งสมุนไพรอีกบางส่วน ไม่ช้าจึงได้จมจ่อมลงในความรู้สึกเร่าร้อนประการหนึ่ง
… เขาได้ใช้สิ่งแลกเปลี่ยนไปจำนวนมากในการฟื้นฟูพลังสายเลือดของเขา
“ยังคงเหลือเวลาอีกห้าวันก่อนที่ความยากของการทดสอบจะมากขึ้น”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเวลากำลังจะหมดลง
จากสิ่งที่เกิดขึ้น ความยากจะเพิ่มขึ้นอีกระดับในทุกๆ สิบวัน
เขาได้ใช้เวลาห้าวันในการครอบครองไข่นี้ เหลือเวลาอีกห้าวันในการเตรียมการ
ทว่าการฟื้นฟูพลังแห่งสายเลือดของเขานั้นเชื่องช้าเกินกว่าที่เขาคาดไว้
แม้ว่าเขาจะได้กินสมุนไรไปจำนวนมาก และปราณแท้ของเขาได้เต็มเปี่ยมเสียจนพลังฝึกตนของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สาม การฟื้นฟูของพลังสายเลือดของเขาก็ยังคงเชื่องช้า
ในขณะที่กำลังฟื้นฟูอยู่นั้น จ้าวเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับแหวนที่อยู่ข้างกายเขา
รอยโลหิตที่สลักบนเปลือกไข่ได้จางหายไป รอยแตกเล็กๆ ที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้ปรากฏขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดออกไปจากสายตาของจ้าวเฟิง ทว่าเด็กหนุ่มนั้นกำลังตั้งใจฟื้นฟูพลังสายเลือดของเขา และไม่ได้ให้ความสนใจกับไข่สีเทา
ในเสี้ยวพริบตา เวลาได้ผ่านพ้นไปสามวัน
พลังจิตของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง และพลังสายเลือดของเขาก็ได้ฟื้นฟูขึ้นเสียเป็นส่วนมากแล้ว
“ยังคงเหลือเวลาอีกสองวันจนกว่าจะเริ่มการไล่ล่าครั้งใหม่”
จ้าวเฟิงนำไข่สีเทาใส่เข้าไปในกำไลมิติของเขาและไม่ได้สังเกตเห็นถึงรอยแตกเล็กจ้อยบนเปลือกไข่
สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือการเตรียมการสำหรับการไล่ล่าครั้งต่อไป
สี่ชั่วโมงต่อมา
จ้าวเฟิงได้ไปถึงยังจุดกำเนิดของแม่น้ำงูมังกรเหมันต์ บ่อน้ำเยือกแข็ง
สายลมใกล้เคียงกับบ่อน้ำเยือกแข็งนั้นราวกับคมมีดที่หนาวเหน็บ
จ้าวเฟิงมาในครานี้เพื่อดูว่าบ่อน้ำนั้นจะสามารถรองรับสัตว์อสูรโลหะทมิฬอีกตัวได้หรือไม่
หลังจากผ่านไปสักพัก จ้าวเฟิงจึงส่ายศีรษะ ผลลัพธ์นั้นยังคงเหมือนคราวที่แล้ว
1.สถานที่ที่ผลึกน้ำตาสีน้ำเงินลึกลับอยู่นั้นได้ถูกครอบครองไปโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬสองตัวแรกแล้ว
2.หากเขาใช้หยาดน้ำตาอีกครั้ง อุณหภูมิจะลดลงจนถึงจุดที่กระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่และห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ยากที่จะต้านทาน
แผนเดิมมิอาจใช้ได้
“ข้าต้องคิดแผนอื่น” จ้าวเฟิงพึมพำ
ไม่ช้าเขาก็นึกถึงราชาสัตว์อสูรเหยาในป่าหอคอยได้
“ราชาสัตว์อสูรเหยาในป่าหอคอยน่าจะสามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้ และด้วยศรน้ำแข็งของข้า ข้าจะสามารถฆ่ามันได้ แต่มันอันตราย…”
เด็กหนุ่มเข้าไปภายในป่า ทว่าหลังจากค้นหาอยู่หลายชั่วโมง เขาก็ยังคงไม่อาจหาราชาสัตว์อสูรเหยาพบ
ในสถานที่แห่งหนึ่งในป่า จ้าวเฟิงมองเห็นหลุมไหม้สีดำบนพื้น มันดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นที่นี่
“แผนนี้ถูกใช้ไปแล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์พี่หยาง! ในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ราชาสัตว์อสูรเหยาย่อมมีปัญญาสูง และแผนเดิมย่อมยากที่จะสำเร็จอีกครั้ง”
จ้าวเฟิงปฏิเสธแผนการนี้อีกครั้ง
เด็กหนุ่มออกจากป่าหอคอยสูงอย่างไร้ซึ่งความลังเล ก่อนจะไปถึงใกล้ๆ มหาสมุทรเถาวัลย์
มหาสมุทรเถาวัลย์นั้นก็นับเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเกาะพรมแดนนภา
เขาแทบจะสูญเสียชีวิตไปในครั้งที่แล้วที่มาที่นี่
“หากข้าเห็นถูกต้อง มันมี ‘ราชาเถาวัลย์’ อยู่ที่ใจกลางมหาสมุทรเถาวัลย์และมีความแข็งแกร่งที่น่าไหลือเชื่อ มันดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของทั้งมหาสมุทร”
จ้าวเฟิงหยุดยืนห่างออกไปและได้ข้อสรุปนี้ออกมาหลังตากสังเกตอยู่เป็นเวลานาน
หากเขาถูกต้อง ทั้งมหาสมุทรเถาวัลย์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ‘ราชาเถาวัลย์’
หากเป็นเช่นนั้น สถานที่แห่งนี้ก็ย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่น่าพรั่นพรึงที่สุดอย่างแน่นอน
เหตุผลที่เขาเอ่ยว่า ‘หนึ่งใน’ นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่กระทั่งน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าแล้ว
ยามที่เขาสำรวจเกาะพรมแดนนภาเป็นครั้งแรกนั้น จ้าวเฟิงได้ค้นพบภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาขนาดใหญ่ที่ตามจริงแล้วเป็น ‘สัตว์ประหลาดภูเขา’ ที่กำลังหลับลึก
เขาไม่อาจแม้กระทั่งคาดเดาถึงความแข็งแกร่งของมัน ทว่าจากกลิ่นอายที่ล้ำลึกของมัน มันดูเหมือนว่าจะสามารถฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้อย่างง่ายดายราวกับการเหยียบย่างลงไปบนมดปลวก
จนกว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ถึงที่สุด จ้าวเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะไปรบกวน ‘สัตว์ประหลาดภูเขา’ นั้น
ดังนั้นแล้ว เขาจึงเลือกที่จะมายังมหาสมุทรเถาวัลย์แทน เขาได้มาที่นี่ก่อนหน้าครั้งหนึ่งและค่อนข้างคุ้นเคยเล็กน้อย
ในวันต่อมา เด็กหนุ่มก็ได้สำรวจพื้นที่ใกล้ๆ มหาสมุทรเถาวัลย์ด้วยดวงตาซ้ายของเขา
ในครานี้ มีคนเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ในทั่วทั้งเกาะพรมแดนนภา จ้าวเฟิงและเป่ยโม่ย
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเห็นอีกคนหลายครั้งจากไกลๆ ทว่าเป่ยโม่ยกำลังตั้งใจวิ่งหนีและไม่พบจ้าวเฟิง
“ดวงของเจ้าหมอนี่เพียงยอดเยี่ยมเกินไป… เขากำลังใส่เสื้อพิเศษและมีน้ำเต้านั่น…”
จ้าวเฟิงเดาะลิ้น
เป่ยโม่ยสามารถทนทานต่อการไล้ล่าของสองสัตว์อสูรโลหะทมิฬจนถึงยามนี้ได้
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และการไล่ล่าครั้งที่สามก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ทั้งจ้าวเฟิงและเป่ยโม่ยต่างเตรียมตัวไว้แล้ว
ในวันที่สามสิบแปดของการทดสอบ
วิ้ง! วิ้ง!
ประตูสีขาวสว่างปรากฏขึ้นที่ด้านซ้ายและขวาของจ้าวเฟิงพร้อมกัน และภายในของพวกมันก็ได้ปรากฏร่างเลือนลางที่มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงปลดปล่อยออกมา
“อันใดกัน!? มันมีมากกว่าหนึ่ง!”
เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายสองกลิ่นอาย
จากนั้นสัตว์อสูรโลหะทมิฬสองตัวจึงปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปสิบหลาจากทางซ้ายและขวาของร่างของเขา
หนี!
จ้าวเฟิงใช้พลังสายเลือดของเขา แปรเปลี่ยนกลายเป็นโปร่งใสและพลิ้วกายไปยังสถานที่เหนือมหาสมุทรเถาวัลย์
แผนการต่อสู้ได้ถูกจำลองเป็นพันครั้งในสมองของเขาเพื่อที่จะรองรับความเปลี่ยนแปลง
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวนั้นคือมันมีสัตว์อสูรโลหะทมิฬสองตัวแทนที่จะเป็นหนึ่งในครานี้
ฟุ่บ ฟุ่บ
สัตว์อสูรทั้งสองกระพือปีกของมันและส่งการโจมตีของมันตรงมายังร่างของจ้าวเฟิง
เรือนผมสีครามของเด็กหนุ่มพลิ้วไหวไปตามสายลมขณะที่เขาสังเกตมหาสมุทรเถาวัลยืเบื้องล่าง ร่างของเขากลับกลายเป็นมัจฉาที่แหวกว่ายผ่านช่องว่าง บางคราใช้พลังสายเลือดของเขาร่วมกับ ‘กระบวนท่าวายุเพลิง’ ในการทำลายเถาวัลย์บางส่วนเพื่อสร้างเส้นทางให้กับตนเอง
เมื่อยามที่จ้าวเฟิงได้สำรวจเกาะพรมแดนนภาก่อนหน้า เขาได้รับรู้ว่าเถาวัลย์เหล่านี้ได้มีพลังต่อต้านฝ่ามือวายุอัสนีของเขาเล็กน้อย
เป็น ‘กระบวนท่าวายุเพลิง’ ที่สามารถต่อกรกับเถาวัลย์เหล่านี้ได้
จ้าวเฟิงใช้กระบวนท่าเคลื่อนไหวมัจฉามายาของเขาจนถึงขีดสุด และใช้ดวงตาซ้ายในการสำรวจรอบกาย ทำให้ไม่ได้รับอันตรายใด
ทว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬที่ไล่ล่าเด็กหนุ่มนั้นมีขนาดใหญ่ ทั้งยังไม่คล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นเขา
ไม่ช้าสัตว์อสูรทั้งสองก็ได้ถูกรัดพันไปด้วยเถาวัลย์จำนวนมาก ทว่าเพราะพวกมันอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง การโจมตีของมันจึงได้ฉีกกระชากเถาวัลย์นับร้อยนับพันในคราเดียว
จะอย่างไรจ้าวเฟิงก็ไม่ได้คาดหวังให้เถาวัลย์ธรรมดาสามารถรั้งสัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้อยู่แล้ว
เป้าหมายของเขาคือการล่อสัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสองไปยังใจกลาง และแผนการนั้นก็กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
สัตว์อสูรโลหะทมิฬได้ตกลงสู่ใจกลางของมหาสมุทรเถาวัลย์
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ
จ้าวเฟิงนำคันศรโหลวฮัวและยิงศรน้ำแข็งออกไปสามสี่ดอกใกล้ๆ ร่างของสัตว์อสูรทั้งสอง
สัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสองไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากศรน้ำแข็ง ทว่ามันทำให้ทั่วทั้งร่างของพวกมันฝืดค้างขึ้นเล็กน้อยในช่วงเวลาสำคัญ
กรี๊ซซ! ฟุ่บ ฟุ่บ
จากใจกลางของมหาสมุทรเถาวัลย์ได้ปรากฏเสียงหวีดหวิวขึ้นพร้อมกับที่เถาวัลย์สีเขียวเข้มนับสิบที่มีความหนาราวกับถังได้ฟาดผ่านอากาศ
“อู…”
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกราวกับทั่วทั้งมหาสมุทรเถาวัลย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิต เถาวัลย์ทุกเส้นที่แหวกฝ่าอากาศมานั้นล้วนมีพลังเทียบเท่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
โชคดีที่เขาได้วางแผนล่าถอยไว้ก่อนหน้า และในความจริงนั้น การโจมตีของราชาเถาวัลย์นั้นก็เพ่งเล็งไปเพียงแค่ที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสองที่คุกคามมันเท่านั้น
เมื่อจ้าวเฟิงล่าถอยออกมาครึ่งลี้ สัตว์อสูรโลหะทมิฬทั้งสองก็ได้ถูกกลืนกินไปในมหาสมุทรเถาวัลย์และไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป
ฟู่ววว
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจยาวอย่างโล่งอก
ทว่า
ก่อนที่เขาจะได้สงบใจลง เขาก็ได้รู้สึกว่ามีบางอย่างวุ่นวายอยู่ที่ข้อมือซ้ายของเขา
อันใดกัน!
จ้าวเฟิงสะดุ้งอย่างผวาพร้อมกับที่เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นที่หน้าผาก
เมื่อมองไปยังต้นกำเนิด การเคลื่อนไหวนั้นดูเหมือนจะมาจากกำไลมิติของเขา…