บทที่ 199 : การปะทะครั้งแรก
“ศิษย์น้องฉวน!”
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงเพียงเปิดปาก จากนั้นฉวนเฉินก็ล้มลงบนพื้นพร้อมด้วยเสียง ‘ตุบ’ ฝูงชนรอบลานประลองก็นิ่งอึ้ง
หลายคนสูดลมหายใจหนาวเยือก ในครานี้ มิเพียงจ้าวเฟิงแสดงความแข็งแกร่งอันมากมาย เขายังได้นำพาความลึกลับมาด้วย
“น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว! ไม่แม้แต่จะใช้มือของเขาก็สามารถเอาชนะศิษย์พี่ฉวนได้!”
“เป็นไปได้อย่างไร!? ศิษย์พี่ฉวนครองอันดับห้าในบรรดาศิษย์หลักเชียว!”
เหล่าศิษย์สายในเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเคลือบแคลง คนจำนวนหนึ่งกระทั่งคิดว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงการแสดง
“นี่คือความแข็งแกร่งของศิษย์น้องจ้าวหรือ?” หัวใจของหลินฝานกระตุกวูบ
อวิ๋นเมิ่งเซียงและเสี่ยวซุนที่อยู่ด้านข้างนั้นราวกับกลายเป็นหินไป เพียงครึ่งปีก่อนที่พวกเขาได้เข้าร่วมสำนักจันทร์สลายด้วยกัน และบัดนี้จ้าวเฟิงได้มาถึงจุดนี้
องค์หญิงอวิ๋นเมิ่งเซียงเต็มไปด้วยความสลดใจ ตั้งแต่ยามที่จ้าวเฟิงเลือกเส้นทางแห่งผู้ฝึกตนและฝ่ามือวายุอัสนี นางก็ได้ยอมแพ้ในตัวของเด็กหนุ่มไป ทว่าในเวลาเพียงสองเดือน อีกฝ่ายกลับกลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่งและทำลายสถิติหมื่นปี
หลังจากเอาชนะฉวนเฉิน จ้าวเฟิงก็ได้ครองอันดับห้าในศิษย์หลัก เขาได้ทำตามเป้าหมายเดิมสำเร็จแล้ว ทว่าด้วยหยวนจื่อและเป่ยม่อที่อยู่ที่นี่ การประลองจึงไม่จบเพียงเท่านี้
“ต่อไป” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นขณะที่เขาเริ่มวางแผน
ในตอนนั้น หยวนจื่อได้ส่งปราณแท้ของเขาไปรอบร่างของฉวนเฉินเพื่อตรวจสอบว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บมากมาย
“ข้าเอง”
เป่ยม่อกำลังจะขึ้นไป
“ข้าไปก่อนเอง”
หยวนจื่อหยุดเด็กหนุ่ม เขาประเมินความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงไว้ว่าเทียบเท่าเป่ยม่อเป็นอย่างน้อย ทว่าอีกฝ่ายนั้นแปลกประหลาดกว่ามาก ดังนั้นเขาต้องออกไปทดสอบดูก่อน
แผนนี้ไม่ได้นับรวมว่าเขาต้องอับอายหรือไม่ มันเป็นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ในเมื่อเป่ยม่อคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายเพื่อที่จะได้มีโอกาสชนะสูงขึ้น
บนลานประลอง
จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับหยวนจื่อ
อีกฝ่ายนั้นอยู่ในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และเขาเหนือกว่าฉวนเฉินในด้านของพลังและความฉลาด หลังจากที่ชายหนุ่มขึ้นไป เขาก็ไม่ได้กระทำการผลีผลามอันใด
กี้
จ้าวเฟิงเปิดปากก่อนที่คลื่นเสียงจะพุ่งออกไปยังคู่ต่อสู้
หยวนจื่อหัวเราะเสียงเย็นและพลันสร้างชั้นปราณแท้ขึ้นครอบหูของเขา
ในเวลาเดียวกัน จิตใจของเขานั้นก็มิใช่สิ่งที่จะเทียบเคียงกับฉวนเฉินได้
ทั้งพลังฝึกตนของเขายังสูงกว่า การโจมตีด้วยเสียงของจ้าวเฟิงจึงมีพลังหลงเหลือเพียงยี่สิบถึงสามสิบส่วนจากร้อยส่วนเท่านั้น ซึ่งแทบจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ทดสอบดูเท่านั้น
สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือพลังจิต ทว่าเขาไม่มีวิชาหรือมรดกใดๆ เกี่ยวกับมัน
ย่างก้าวสวรรค์คลาย!
ร่างของหยวนจื่อมิได้เพียงดูเชื่องช้ายามที่ขยับ ทว่าเขาดูราวกับทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเชื่องช้าลง
ฟุ่บ!
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวาบผ่านอากาศ เขานั้นรวดเร็วกว่าหยวนจื่ออย่างชัดเจน ทว่าอีกฝ่ายนั้นได้ทำให้ทุกสิ่งรอบกายเชื่องช้าลง ดังนั้นแล้วเขาจึงมิหวาดกลัว
ฝ่ามือวายุอัสนี!
จ้าวเฟิงพลันใช้วิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขาออกมา ส่งประกายสายฟ้าที่รวมตัวกันคล้ายน้ำวนไปยังอีกฝ่าย
กระบวนท่าทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงพร้อมด้วยเสียง ‘ตูม’
ร่างของหยวนจื่อแข็งเกร็ง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ถูกบังคับให้ล่าถอย
ยามเมื่อเขาปะทะกับอีกฝ่าย ความรู้สึกชาหนึบได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา นอกจากนั้น พลังของฝ่ามือวายุอัสนีของจ้าวเฟิงนั้นก็มากมายกว่าที่คาดนัก
ทุกครั้งที่ทั้งสองปะทะกัน หยวนจื่อจะรู้สึกชาพร้อมกับพลังปั่นป่วนที่ทำให้โลหิตของเขาเดือดพล่าน หากเป็นฉวนเฉินก็อาจจะรับไม่ได้กระทั่งหนึ่งหรือสองครั้ง
เบื้องล่าง สีหน้าของเป่ยม่อเคร่งเครียดขึ้นเล็กๆ พลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมานั้นมีมากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
วายุอัสนีมังกรคลั่ง!
จ้าวเฟิงดันฝ่ามือของเขาออก ลมสีเขียวได้หลอมรวมเข้ากับสายฟ้า เกิดขึ้นเป็นมังกรตัวหนึ่ง
ใจกลางเสียงครืนครางของสายฟ้า ฝ่ามือนั้นก็ถูกดันออก
ร่างของหยวนจื่อแข็งเกร็ง ไม่อาจที่จะหลบหลีกได้ หมายความว่าเขาต้องโคจรปราณแท้ทั้งร่างและรับการโจมตีนั้นตรงๆ
คลื่นกระแทก!
ลูกบอลแสงที่สร้างขึ้นจากปราณแท้ได้ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือของหยวนจื่อ ก่อนที่มันจะระเบิดออก ปะทะเข้ากับมังกรสายฟ้าที่น่าสะพรึง
ตูมมมม
ร่างของทั้งสองพลันถูกกลืนกินด้วยฝุ่นที่ฟุ้งกระจายและไม่อาจมองเห็นได้
ร่างหนึ่งในนั้นยืนนิ่งดั่งภูผา ผมสีครามพลิ้วไหวไปตามสายลม
ทว่าอีกร่างหนึ่งนั้นกลับถูกผลักถอยออกไป
“เขาแข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร? พลังนี้เพียงพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่ห้าได้”
รอยไหม้ปรากฏขึ้นทั่วร่างของหยวนจื่อ
ฟุ่บ!
ร่างที่รวดเร็วราวสายฟ้าฟาดพลันเข้าใกล้ร่างของหยวนจื่อโดยที่ทั่วทั้งร่างอยู่ภายใต้สายฟ้าที่ยังหลงเหลืออยู่
นั่นคือวิชาเคลื่อนไหวอันนใดกัน? มันรวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร!?
หัวใจของหยวนจื่อสั่นสะท้าน ทว่าเขาไม่มีเวลาให้หลบและกระเด็นลอยออกไปจากหนึ่งฝ่ามือของจ้าวเฟิง
พรวด!
หยวนจื่อกระอักเลือดออกมาคำโตกลางอากาศก่อนจะกระเด็นออกจากลานประลองไป
ภายในสิบกระบวนท่า หยวนจื่อที่อยู่ในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ได้พ่ายแพ้ลง
เหล่าผู้ชมส่งเสียงโต้เถียงกันขึ้นอีกครั้ง มันมิใช่เพียงแค่ศิษย์ที่ชมอยู่ มันยังมีสมาชิกอื่นๆ ของสำนักด้วย
“ต่อไป” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ในการเอาชนะหยวนจื่อได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาต้องใช้พลังของเขามากกว่าเก้าสิบส่วนจากร้อยส่วน ไม่นับรวมดวงตาซ้ายและพลังแห่งสายเลือด
หลังจากเอาชนะหยวนจื่อ ลำดับของจ้าวเฟิงบัดนี้ก็ได้อยู่ที่อันดับสามของศิษย์หลัก
“เป็นพลังที่รุนแรงอันใดเช่นนี้! เมื่อใดกันที่ฝ่ามือวายุอัสนีแข็งแกร่งเพียงนี้? กระทั่งข้ายังรู้สึกอยากที่จะฝึกฝนมัน”
“จ้าวเฟิงจะเอาชนะศิษย์แห่งผู้อาวุโสหยุนไห่ทั้งหมดหรือ?”
ฝูงชนพูดคุยกัน
ในบรรดาผู้ชมนั้นได้รวมถึงรองหัวหน้าตำหนักหลี่ด้วย
“รองหัวหน้าตำหนัก เมื่อใดกันที่ฝ่ามือวายุอัสนีมีพลังมากมายเช่นนี้?” ผู้คุมกฎผู้หนึ่งอุทานออกมา
“ฝ่ามือวายุอัสนีได้ถูกทำให้สมบูรณ์แบบแล้วโดยแน่ สำนึกแห่งสายฟ้าบริสุทธ์มากกว่าเดิม มิแปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสหนึ่งรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์หลัก มันคงเป็นเพราะสาเหตุนี้”
ประกายแสงแล่นวูบในแววตาของรองหัวหน้าตำหนักหลี่
“มิแปลกใจเลย! หากมิเป็นเพราะเหตุนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งย่อมไม่รับศิษย์หลักอีกคนที่ฝึกฝนวิชาฝ่ามือวายุอัสนี” ผู้คุมกฎตระหนักขึ้นได้
“ดูเหมือนว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของจ้าวเฟิงนั้นจะไม่เพียงแข็งแกร่ง เมื่อเขานั้นสามารถพัฒนาและทำให้ฝ่ามือวายุอัสนีสมบูรณ์ได้ หรือนี่จะมีความเกี่ยวข้องกับการทดสอบ?” รองหัวหน้าตำหนักหลี่พึมพำกับตนเอง
ในตอนนี้เอง เหลือเพียงแค่จ้าวเฟิงที่อยู่บนลานประลอง
“เจ้าพักก่อน แล้วเราจะต่อสู้กันอย่างยุติธรรม” เป่ยม่อเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
เขารู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นได้ใช้พลังไปจำนวนหนึ่งในการเอาชนะหยวนจื่อและฉวนเฉิน จ้าวเฟิงเข้าใจว่าเป่ยม่อนั้นต้องการที่จะต่อสู้กันอย่างยุติธรรมและไม่เอาเปรียบ
ภาพนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าผู้ชม ความมั่นใจของเป่ยม่อได้ทำให้ทุกคนเฝ้ารอการประลองที่จะมาถึง
ไม่ช้า
พลังของจ้าวเฟิงก็ได้กลับมาสู่จุดสูงสุด เด็กหนุ่มเอ่ยว่า
“เสร็จแล้ว เป่ยม่อ เรามีข้อตกลงกันก่อนที่เราจะเข้าร่วมสำนักจันทร์สลาย และนี่คือสัญญานั้น”
“จริง ข้าได้รอการประลองนี้มานานนัก เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด และเจ้าควรค่าที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
เป่ยม่อเดินขึ้นไปบนลานประลอง
เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น ฝูงชนก็ตะลึงงัน
คนจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองรู้สึกสงสัย
“ความสัมพันธ์ของทั้งสองคืออันใดกัน?”
เหล่าผู้ที่รู้ความจริงมีเพียงฉวนเฉินและหยวนจื่อ
ในเวลาเดียวกัน
อาคารสูงเหนือภูเขา
“ซูหลัน ซูหลัน อัจฉริยะสองคนไปเป็นศิษย์ของเจ้าได้อย่างไรกัน?” ผู้อาวุโสหยุนไห่พึมพำกับตนเอง
บนลานประลอง
จ้าวเฟิงและเป่ยม่อมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวยโส
เงาทมิฬธาราเหนือ!
ร่างของเป่ยม่อพุ่งวูบพร้อมกับที่ร่างที่สร้างขึ้นจากน้ำจะปรากฏขึ้น ร่างจริงของเขาพลันกลมกลืนไปกับร่างเหล่านั้น ทำให้ยากที่จะแยกแยะจริงปลอม
โดยไม่ใช้ดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงไม่อาจแม้แต่จะเห็นว่าร่างใดคือร่างจริง
“เป็นวิชาที่ล้ำลึกอันใดเช่นนี้” จ้าวเฟิงถอนหายใจด้วยความชื่นชม
เป่ยม่อนั้นเป็นยอดอัจฉริยะโดยแท้
ย่างก้าวมัจฉามายาไร้เงา!
ร่างของจ้าวเฟิงเลือนรางลง ภาพมายาที่แตกต่างออกไปพลันปรากฏขึ้น พยายามที่จะหลอกลวงประสาทสัมผัสของคู่ต่อสู้
บนลานประลองได้ปรากฏร่างจำนวนมากพุ่งวูบวาบ ทำให้สายตาของผู้ที่มองอยู่พร่าเลือน
ย่างก้าวเงามัจฉามายานั้นถูกสร้างขึ้นโดยจ้าวเฟิงด้วยการหลอมรวมวิชาเคลื่อนไหวจำนวนมากเข้ากับภาพมัจฉามายา
ในความเป็นจริง วิชานี้เป็นเพียงแค่ระดับพื้นฐาน ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้ถูกเรียกว่าย่างก้าวมัจฉามายาประกายอัสนี
ทว่าจ้าวเฟิงยังทำความเข้าใจมรดกอัสนีได้ไม่มากพอ และย่างก้าวมัจฉามายาประกายอัสนียังคงไม่สมบูรณ์ เด็กหนุ่มจึงใช้มันเพียงเล็กน้อยในการเอาชนะหยวนจื่อ
เด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะใช้สายฟ้ามากนักเมื่อมันจะเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาได้รับมรดกอัสนี เขาทำได้เพียงใช้ฝ่ามือวายุอัสนีปิดบังเท่านั้น
สี่มาตรเหนือทมิฬ!
ระลอกคลื่นสีน้ำเงินได้สาดซัดออกไป มันราวกับน้ำนับหมื่นกิโลกำลังโถมเข้าหาจ้าวเฟิง
วายุอัสนีทำลายล้าง!
สายฟ้าและสายลมได้รวมตัวกันบนฝ่ามือของจ้าวเฟิง มันมีพลังที่จะทำลายทุกสิ่งอย่าง
พลังทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
แคร่กกกก!
แรงระเบิดมีรัศมีกว่าสิบหลา พลังนั้นแทบจะเทียบเท่าได้กับพลังของนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
“พลังอันใดกัน!”
เหล่าผู้คุมกฎรอบลานประลองตะลึง นอกจากหัวหน้าศิษย์แล้ว มิมีศิษย์สายในผู้ใดที่จะสามารถหยุดยั้งสัตว์ประหลาดทั้งสองนี้ได้
วายุอัสนีมังกรคลั่ง!
ธาราทมิฬเปิดภูเขา!
กระบวนท่าที่กระทั่งทรงพลังกว่าเดิมได้กระแทกเข้าหากัน ร่างทั้งสองได้เข้าไปปะทะกัน
เมื่อถึงเวลาหนึ่ง
ร่างทั้งสองได้ลอยขึ้นสูงในอากาศนับร้อยเมตรและปะทะกันนับสิบกระบวนท่า
จ้าวเฟิงมีสีหน้าดุดันเล็กๆ และโคจรฝ่ามือวายุอัสนีของเขาที่มีสำนึกของมรดกอัสนีหลอมรวมอยู่ด้วยเล็กน้อย
ทว่าพลังป้องกันของเป่ยม่อนั้นเหนือกว่าที่คาดมากนัก น้ำสีน้ำเงินได้ดูดกลืนความเสียหายส่วนมากเข้าไป
กระทั่งคนที่แข็งแกร่งเช่นจ้าวเฟิงก็ไม่อาจที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของเป่ยม่อไปได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถเห็นได้แล้วอีกฝ่ายนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเพียงใด
“มรดกอันใดกันที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำและโดดเด่นในการป้องกัน?”
จ้าวเฟิงประเมินว่าหากไม่ใช่พลังแห่งสายเลือดของเขา เขาก็ไม่อาจที่จะเอาชนะได้
แน่นอนว่าเป่ยม่อก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน ทุกครั้งที่เขาปะทะกับจ้าวเฟิง แขนขาของเขาจะชาไปเล็กน้อย และหลังจากได้รับผลเช่นนี้อย่างต่อเนื่องก็นับว่าย่ำแย่ยิ่ง
เพียงแค่ยามที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองได้รุนแรงขึ้น ปราณแท้ของทั้งสองก็ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากหนึ่งร้อยกระบวนท่า ทั้งสองก็หอบหายใจ แทบจะทรงตัวไม่อยู่
ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวเฟิงเป็นผู้กุมความได้เปรียบและกดดันเป่ยม่อ ทว่าเขาไม่อาจที่จะทะลวงการป้องกันของอีกฝ่ายไปได้
“นี่คงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว” จ้าวเฟิงคิด
“เอาล่ะ การต่อสู้จบลงอย่างเสมอ”
รองหัวหน้าตำหนักหลี่ปรากฏตัวขึ้นและหยุดการประลองลง ทั้งสองคืออัจฉริยะของสำนักและไม่ควรเกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ
“เสมอ”
หยวนจื่อพ่นลมหายใจออก หากจ้าวเฟิงชนะ มันจะหมายความว่าศิษย์ของผู้อาวุโสหยุนไห่ทั้งหมดพ่ายแพ้
เป่ยม่อมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะจากไปพร้อมกับอีกสองคน
“เป็นพลังโจมตีที่รุนแรงอันใดเช่นนี้”
วินาทีที่เป่ยม่อกลับไปยังที่พัก โลหิตก็ได้ไหลย้อยลงที่มุมปากของเขา เขาไม่อาจรับการโจมตีอันบ้าคลั่งของจ้าวเฟิงได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าพลังป้องกันของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด