บทที่ 214 : ชี้แนะ
เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวเฟิงเอ่ย เหล่าผู้ชมมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป พลันเข้าใจถึงสาเหตุที่จ้าวหยูเฟยท้าประลองเด็กหนุ่มในทันที
มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าจ้าวเฟิงนั้นทรงพลังเพียงใดก่อนหน้าในการที่จะสามารถสร้างภาพฝังลึกเพียงนั้นในหัวใจของจ้าวหยูเฟย
ผู้อื่นอาจไม่เข้าใจเส้นทางของจ้าวเฟิงว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง
ทว่าจ้าวหยูเฟยได้เป็นพยานให้กับปาฏิหาริย์ของเด็กหนุ่มมาหลายครั้ง
นางได้เห็นจ้าวเฟิงเอาชนะนาง และไม่ว่านางจะพยายามมากมายเพียงใด นางก็ไม่อาจไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน
ในรุ่นเดียวกัน
ยามที่เหล่าอัจฉริยะเข้าปะทะกัน ตำนานได้ถูกสร้างขึ้น
ทว่าเมื่อยามที่อัจฉริยะผู้หนึ่งแข็งแกร่งเกินไป มันก็กลายเป็นเรื่องเศร้าโศกของผู้มากความสามารถคนอื่น
อย่างน้อยในเมืองประกายอรุณและตำหนักกว่างจวิ้น จ้าวเฟิงก็เป็นเช่นนั้น เป็นดั่งสัตว์ประหลาดที่ได้เอาชนะอัจฉริยะในรุ่นนี้คนแล้วคนเล่า
จ้าวหลินหลง จ้าวหยูเฟย เฟิงหยินเยว่ หนานกงฟาน หยางชิงชาน และกระทั่งเป่ยม่อ… ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะก่อนหน้า
ทว่าโชคร้ายนัก
จ้าวหยูเฟยได้เห็นทุกสิ่ง
ในใจของนาง ภาพของเด็กหนุ่มผู้เยือกเย็นและมั่นใจได้ฝังลึก กลายเป็นผู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้
บัดนี้ เด็กสาวเองก็ได้เติบโตขึ้น ทั้งพรสวรรค์ของนางได้ถูกค้นพบแล้ว
เมื่อพบกันอีกครั้ง พลังฝึกตนของนางได้เหนือกว่าของจ้าวเฟิงสำเร็จ
ทว่า
เมื่อทั้งสองพบกัน จ้าวหยูเฟยก็ตระหนักได้ว่านางก็ยังคงเป็นตัวนางคนเก่า และจ้าวเฟิงก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่อาจเอาชนะได้คนนั้น
มันคือสิ่งที่เป็นดั่งหนามทิ่มแทงใจของนาง
ในฐานะของอัจฉริยะและมีพรสวรรค์เทียบเท่าร่างจิตวิญญาณดิน นางมีศักดิ์ศรีของนาง และนางไม่ยินยอมให้มีหนามแทงใจเช่นนี้
“ศิษย์พี่จ้าวเฟิง ข้ารอการประลองนี้มานานเหลือเกิน”
จ้าวหยูเฟยแย้มยิ้ม
อย่างน้อย ในจุดเริ่มต้นของการประลอง ความกล้าและความมั่นใจของนางก็ได้ถึงจุดที่สามารถก้าวข้ามหนามที่ทิ่มแทงใจอยู่ได้
รอยยิ้มของจ้าวหยูเฟยได้ทำให้สติศิษย์ผู้อื่นเกือบจะลอยหลุดไป
หัวใจของอ้าวเยว่เทียนปรากฏรอยริษยาเบาบาง เหตุใดผู้ที่เป็นหนามแทงใจของจ้าวหยูเฟยจึงไม่เป็นเขา?
หรือเป็นว่าเขา หนึ่งในสี่ดารา ไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับตัวโง่งมในนภาที่สี่ผู้หนึ่ง?
อ้าวเยว่เทียนกรีดร้องแก่ความอยุติธรรมอยู่ภายในใจ
อย่างน้อยในหัวใจของจ้าวหยูเฟยอ้าวเยว่เทียนก็มิได้แข็งแกร่งเสียจนไม่อาจเอาชนะได้
ความจริงแล้ว
ความรู้สึกของจ้าวหยูเฟยต่อจ้าวเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความนับถือ ชื่นชม และความรู้สึกผูกพันจะอย่างไรก็ตาม ไม่มีสตรีคนใดมิชมชอบบุรุษที่แข็งแกร่ง
ทว่าจ้าวหยูเฟยในยามนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน
ภายใต้สายตาของทุกคน
จ้าวเฟิงเริ่มครุ่นคิด เรือนผมสีเขียวครามพลิ้วไหวยามต้องลม
จ้าวหยูเฟยเฝ้ารอ หากจ้าวเฟิงไม่ยอมรับคำท้าประลอง มันก็ไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถกระทำได้
นอกจากนั้น หากจ้าวเฟิงไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขายามต่อสู้ หนามในใจของนางก็ไม่อาจแก้ไข
จ้าวเฟิงเองก็รู้
เหล่าศิษย์เริ่มที่จะถกเถียงกัน
“มีอันใดเกี่ยวกับอดีตของจ้าวเฟิงผู้นี้กัน? เขาเอาชนะเทพธิดาหมอกม่วงในอดีต ผู้ที่มีพรสวรรค์เทียบเท่ากับร่างจิตวิญญาณดินได้อย่างไร?”
“ร่างผันแปรนั้นแตกต่างและพิเศษ บางทีพรสวรรค์ของจ้าวหยูเฟยอาจยังไม่ถูกค้นพบ นอกจากนั้น ทรัพยากรของพวกเขาก็มีอย่างจำกัด”
ไม่ช้า
“หยูเฟย ข้าไม่อาจตอบรับคำท้าประลองของเจ้าได้”
จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขึ้น
ปฏิเสธการประลอง?
ฝูงชนล้วนประหลาดใจ ไม่ว่าศิษย์ผู้ใดล้วนต้องการประลองกับเทพธิดาหมอกม่วง กระทั่ง อ้าวเยว่เทียนก็ยังอยากกระทำเช่นนั้น
“เหตุใดกัน? หรือศิษย์พี่จ้าวเฟิงหวาดกลัวว่าความมั่นใจของข้าจะแหลกสลายลงยามเมื่อข้าพ่ายแพ้? อย่ากังวลไป ข้ามิได้อ่อนแอเพียงนั้น นอกจากนั้น ข้ายังเก็บพลังบางส่วนเอาไว้ในการประลองก่อนหน้า”
จ้าวหยูเฟยเอ่ยอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าตัวแทนจากทั้งสามสำนักล้วนนิ่งอึ้ง
จ้าวหยุเฟยได้รั้งพลังบางส่วนไว้ก่อนหน้า มิใช่นั้นหมายความว่าพลังที่แท้จริงของนางนั้นเหนือกว่าเป่ยม่อและเหมาเฟย เทียบเท่าได้กับหยางก่านหรือ?
“เพราะเจ้าไม่มีโอกาสชนะ และบัดนี้มิใช่เวลา”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
อันใดนะ!?
คนจากสามสำนักตะลึงงัน
“เป็นเด็กเหลือขอที่จองหองอันใดเช่นนี้”
“เหอะๆ ข้าคิดว่าเขานั้นราวกับมุสิกขลาดเขลาเกินกว่าจะสู้”
เหล่าศิษย์จากสำนักวิญญาณจันทร์เผยความเหยียดหยามออกมาและเริ่มด่าทอเด็กหนุ่ม
หัวใจของจ้าวหยูเฟยสั่นสะท้าน ใบหน้าขาวซีดยามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
นางเข้าใจจ้าวเฟิง อีกฝ่ายจะไม่เอ่ยสิ่งใดที่เขาไม่มั่นใจออกมา
“โอกาสที่ข้ากับเจ้าจะชนะอยู่ที่ห้าสิบต่อห้าสิบ ทว่าโชคร้ายนัก… เพราะหนามในใจเจ้า เจ้าไม่อาจต่อต้านพลังโจมตีจิตของข้าได้ ในด้านพลังป้องกัน เจ้าไม่กระทั่งแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ที่อ่อนแอกว่าเจ้าเหล่านั้น”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์อย่างเยือกเย็น
“โง่เง่า!”
“ตัวโง่งมจองหอง เจ้าคิดหรือว่าเจ้าสามารถประลองกับหยูเฟยจนเสมอได้?”
ศิษย์จากสำนักวิญญาณจันทร์ด่าทอเสียงลั่น
ทว่ายามเมื่อจ้าวหยูเฟยได้ยินเช่นนั้น นางกลับไร้ซึ่งข้อสงสัย
ในอดีต นางมักจะพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายอยู่เสมอ
โอกาสชนะห้าสิบห้าสิบนั้นสูงสำหรับนางมากแล้ว
โชคร้ายนัก
การโจมตีพลังจิตที่แปลกประหลาดของจ้าวเฟิงนั้นสามารถทำร้ายนางอย่างแสนสาหัสได้
เพราะหนามในใจนางคือตัวจ้าวเฟิงเอง จะทำอย่างไรถึงจะต่อต้านวิชาพลังจิตของเขาได้
“ดังนั้นจึงมิใช่เวลาที่เราจะประลองกัน หากเป็น… เรารอจนกระทั่งถึงงานสิบสามสำนักพันธมิตรในอีกครึ่งปีเป็นอย่างไร?”
จ้าวเฟิงให้คำตอบในที่สุด
“งานสิบสามสำนักพันธมิตร ข้าจะรอวันนั้น…”
จ้าวหยูเฟยผงกศีรษะ ความคาดหวังปรากฏในแววตา
เวลาครึ่งปีนั้นเพียงพอสำหรับนางในการหาหนทางต่อต้านพลังโจมตีทางจิตของจ้าวเฟิง
นอกจากนั้น
งานสิบสามสำนักพันธมิตรนั้นคือเวทีที่แท้จริง และสี่ดารานั้นคือจุดสูงสุดที่ไม่อาจเอื้อม
หากสามารถต่อสู้กับจ้าวเฟิงและกับยอดอัจฉริยะคนอื่นบนเวทีนั้น รวมทั้งแสดงความสามารถให้คนในรุ่นเดียวกันได้เห็น นั่นก็นับว่าเพียงพอต่อการรอคอยแล้ว
มันคือความฝันของอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วน
“สัญญา”
จ้าวเฟิงถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็ยืดเวลาออกไปได้
เขาไม่ต้องการสู้กับจ้าวหยูเฟยในตอนนี้
หากจ้าวหยูเฟยไม่มีหนามในใจ นางอาจสามารถต่อสู้กับเขาได้ด้วยพลังสายเลือดที่เขาไม่รู้จักนั่น และอาจกระทั่งบีบบังคับให้เขาใช้หนึ่งในท่าไม้ตายของเขาได้ มันเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
นอกจากนั้น ยามเมื่อจ้าวเฟิงใช้พลังจิตโจมตี จ้าวหยูเฟยย่อมไม่อาจป้องกันได้
มันเป็นความจริงที่ไม่ได้หลอกลวงเลย
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิชาในด้านนี้ล่าช้าไปเสียหน่อย เขาก็ยังคงรู้เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับมัน หากเขารู้ถึงจุดอ่อนของศัตรู และใช้พลังจิตโจมตี จะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
เมื่อจ้างเฟิงและจ้าวหยูเฟยออกไป งานประลองจึงได้สิ้นสุดลง
เด็กหนุ่มผมสีเขียวครามตาเดียวได้ให้ความรู้สึกลึกลับแก่ทุกคน
หลังจากงานประลองสิ้นสุดลง งานสามสำนักยังไม่ได้จบลงทั้งหมด
ต่อไป
คืองานน้ำชาที่ทุกคนจะเอ่ยแนะนำผู้อื่น เหล่าศิษย์ จะเอ่ยคำชี้แนะ เพื่อพัฒนาพลังความสามารถต่อไป
หลังจากงานประลองจบลง ผ่านการประลองและได้รับการชี้แนะ ศิษย์ทุกคนจะได้พัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
รวมทั้งจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ
จะอย่างไรก็ตาม นอกจากอ้าวเยว่เทียนแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่จะบดขยี้ผู้อื่นทั้งหมดลงได้
อ้าวเยว่เทียนเริ่มการชี้แนะ ไมว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง พลังฝึกตน และความรู้ เขาเหนือกว่าผู้อื่นมากนัก
ด้วยอ้าวเยว่เทียนไม่ใช่คนที่นุ่มนวลหรือรักษาน้ำใจคน เวลาเอ่ยวิจารณ์จึงใช้คำพูดตรงๆ และไม่ไว้หน้าผู้ใด
เหมาเฟยและอีกสองคนจากสำนักจันทร์เงินได้รับคำชี้แนะจาก อ้าวเยว่เทียน
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของศิษย์พี่ อ้าว เราได้เรียนรู้มากแล้ว”
เหมาเฟยถ่อมตนยิ่งนัก อ้าวเยว่เทียนคือผู้ที่เอาชนะเขาในหนึ่งหรือสองกระบวนท่า และมีสิทธิที่จะสั่งสอนเขาจริงๆ
หลังจากนั้น
อ้าวเยว่เทียน วิจารณ์ทั้งสามคนจากสำนักจันทร์สลาย
สำหรับหยางกาน อ้าวเยว่เทียนได้เอ่ยคำว่า ‘ไม่เลว’ ที่หาได้ยาก
“ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หยาง ท่านอาจติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของงานสิบสามสำนักพันธมิตร”
อ้าวเยว่เทียนเอ่ยเสริม
เพียงแค่ยี่สิบอันแรก?
เหล่าศิษย์ล้วนนิ่งอึ้งแปลกใจ จะอย่างไรก็ตาม ความสามารถของหยางกานก็น่าตื่นตะลึง และกระทั่งเอาชนะเหมาเฟยได้
“หึ ในงานพันธมิตรคราก่อน เจ็ดสิบถึงแปดสิบในร้อยส่วนของยี่สิบอันดับแรกล้วนเป็นคนของยอดสำนักทั้งสาม”
ร่องรอยความเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอ้าวเยว่เทียน
หยางก่านหัวเราะ “ข้าเคยได้ยินเช่นกัน สามยอดสำนัก สำนักดาบเมฆา วิหารโบราณ และสำนักเซวียนเจินเมิ่นล้วนมีประวัติความเป็นมายาวนานและมีพลังอันแข็งแกร่ง ในบรรดาดาราก่อนๆ ไม่มีสำนักอื่นใดมีสิทธิที่จะครอบครองตำแหน่ง ครานี้ ศิษย์น้องอ้าวได้เป็นหนึ่งในสี่ดาราและสร้างชื่อเสียงแก่สามสำนักเราแล้ว”
เหล่าศิษย์ล้วนตื่นเต้นยามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ศิษย์ที่เติบโตขึ้นในยอดสำนักทั้งสามล้วนเป็นยอดฝีมือ
มันไม่ง่ายเลยที่อ้าวเยว่เทียนจะกลายเป็นหนึ่งในดารา
สี่ดารา: ชางหยูเยว่ หลินทง สวี๋จึเสวี๋ยน อ้าวเยว่เทียน
สี่ดารายืนอยู่เหนืออัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนในสิบสามสำนัก
และจ้าวเฟิงต้องยอมรับว่าอ้าวเยว่เทียนมีความสามารถที่จะดูแลคนรุ่นใหม่ของทั้งสามสำนัก
แม้ว่าเขาจะใช้ท่าไม้ตาย จ้าวเฟิงก็อาจไม่สามารถเอาชนะอ้าวเยว่เทียนได้ นอกจากนั้น ในฐานะของหนึ่งในสี่ดารา เป็นไปไม่ได้ที่อ้าวเยว่เทียนจะไม่มีท่าไม้ตายเป็นของตนเอง
ความแข็งแกร่งที่อ้าวเยว่เทียนเผยออกมานั้นเป็นเพียงยอดปลายของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
โชคดีนัก จ้าวเฟิงไม่มีความคิดใดๆ ในการประกาศศักดา และอ้าวเยว่เทียนก็ดูแคลนเกินกว่าที่จะประลองกับจ้าวเฟิงในยามนี้
ในสายตาของอ้าวเยว่เทียน งานสามสำนักนั้นเป็นเพียงพิธีการหนึ่ง และมีเพียงสามดาราเท่านั้นที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
จากนั้น
อ้าวเยว่เทียนจึงเอ่ยชี้แนะต่อเป่ยม่อและจ้าวเฟิง
“เจ้ายังไม่เข้าใจแก่นแท้ของสายน้ำ”
อ้าวเยว่เทียนเหลือบมองไปยังเป่ยม่ออย่างเย็นชา
กระทั่งอัจฉริยะเช่นเป่ยม่อยังถูกดูถูก
เด็กหนุ่มสกุลเป่ยได้รับมรดกธาราทมิฬ ที่มีสำนึกรู้แห่งน้ำ
มันคือจุดแข็งของเป่ยม่อ ทว่าอ้าวเยว่เทียนหยิ่งผยองเกินกว่าที่จะมองมัน สามารถเห็นได้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด
จ้าวเฟิงจดจำถึงเทพสงครามจันทราของอ้าวเยว่เทียนที่นอกจากมีสำนึกรู้ของแสงจันทร์แล้ว ยังมีสำนึกรู้ของสายน้ำอยู่ด้วยอย่างช่วยไม่ได้
เป่ยม่อมีสีหน้าไร้อารมณ์และไม่เอ่ยสิ่งใด แม้จะจะคัดค้านก็ไร้ซึ่งประโยชน์
สุดท้ายจึงถึงคราววิจารณ์จ้าวเฟิง
“สำหรับเจ้า…”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของอ้าวเยว่เทียน
“สายฟ้าคือหนึ่งในกฎที่ทรงพลังที่สุด การใช้อย่างลวกๆ ของเจ้านั้นเป็นเช่นการเล่นกับไฟ สำหรับวิชาพลังจิตของเจ้า มันไม่อาจนับเป็นอันใดได้ต่อหน้าวิหารโบราณ หากโชคร้าย เขาอาจจะมองเจ้าเพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้เจ้าก็พ่ายแพ้ได้แล้ว”