Skip to content

King of Gods 234

King Of Gods

บทที่ 234 : ผู้ใดคือราชา (1)

ศิษย์ที่เข้าร่วมที่เหลือล้วนไม่อาจหายใจจากแรงกดดันจากร่างของทั้งสามอัจฉริยะ

ความรู้สึกกดดันแบบนี้มันมิใช่เพียงเรื่องของความแข็งแกร่ง ทว่าเป็นแรงกดดันจากที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของผู้ที่อ่อนแอกว่า

ชางหยูเยว่ หลินทง และจ้าวเฟิง

สามยอดอัจฉริยะได้กลายเป็นสามตัวเต็ง

ในยามนี้

พวกเขาได้ยอมรับถึงความแข็งแกร่งของแต่ล่ะคน และรับรู้ว่าพวกเขาคือคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแก่กันและกัน

“ชางหยูเยว่ เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวของข้าในงานพันธมิตรนี้ มิคาดว่าจะมีอีกหนึ่งคนปรากฏขึ้น”

หลินทงยืนมือไพล่หลัง ดวงตาสีดำทมิฬจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว

เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทว่าเสียงของเขาได้ดังขึ้นในหูของทั้งสามคนผ่านพลังจิต

ชางหยูเยว่ยืนถือดาบสีเขียวของนางไว้ราวกับเทพธิดา

ดวงตาเริ่มที่จะสำรวจใครบางคนเป็นครั้งแรก

ชางหยูเยว่และหลินทงเข้าใจกันค่อนข้างดี และคู่ต่อสู้คนใหม่นี้เป็นคนที่พวกเขาทั้งสองต้องทำความเข้าใจ

เขาทั้งสองยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มผู้นี้

จ้าวเฟิงยืนอย่างเยือกเย็น เรือนผมงดงามทว่าดูชั่วร้ายเล็กๆ ของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม

ภาพนั้นได้ทำให้หัวใจของสตรีหลายคนสั่นสะท้าน

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้หล่อเหลามากนัก แต่ใบหน้าและลักษณะก็ดูแล้วไม่เบื่อ ความสามารถของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่ ทั้งดวงตายังดูลึกล้ำจนไม่อาจหาก้นบึ้งได้

เรือนผมสีเขียวครามบริสุทธิ์ขอเขากระทั่งทำให้สตรีรู้สึกริษยา ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของเขาดูชั่วร้ายเล็กๆ

“แม้ว่าคู่ต่อสู้ของข้าจะแข็งแกร่ง แต่การประลองครั้งนี้ข้าจะต้องเป็นอันดับหนึ่งให้ได้”

ดวงตาของจ้าวเฟิงแหลมคม จิตต่อสู้ที่มองไม่เห็นได้ไหลบ่าออกจากร่างกายของเขา

ในงานพันธมิตร เขาได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และได้เหยียบย่างสู่ยอดหอคอยในที่สุด

ทว่าจิตสังหารที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดได้รุนแรงขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัวนัก

จิตสังหารนี้ไม่ได้มาจากเพียงผู้อาวุโสหยุนไห่เพียงคนเดียว

อัจฉริยะที่มาจากสำนักที่อ่อนแอเช่นสำนักจันทร์สลายย่อมทำให้สำนักอื่นรู้สึกริษยาและเกิดความต้องการชั่วร้าย

ทว่า

จ้าวเฟิงไม่ใช่ทารกอีกต่อไป ปีกของเขาได้งอกออกมาแล้ว เส้นทางแห่งความสำเร็จได้ปรากฏขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว

นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงคนใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญหน้าต่อความริษยาและความต้องการเอาชีวิตทั้งสิ้น

ทั้งชางหยุเยว่และหลินทงต่างก็เผชิญหน้ากับปัญหาจำนวนนับไม่ถ้วน มันเป็นเส้นทางที่พวกเขาต้องข้ามผ่าน

“ให้พายุนั้นรุนแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนเถอะหากข้าได้ครองอันดับหนึ่งและได้รับยา ข้าจะสามารถเข้าสู่นภาที่เจ็ดได้ในทันที”

จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะทุ่มสุดตัว

ในฐานะของอัจฉริยะที่ไร้ที่ติ ทั้งชางหยูเยว่และหลินทงไม่มีวี่แววของการยอมแพ้

ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสามารถเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้หากพวกเขาสามารถได้ครอบครองยาปลดวิญญาณ ทั้งพวกเขายังจะมีโอกาสที่จะเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงภายในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองปี

“อัจฉริยะเหล่านี้ได้รับโอกาสในการเข้าไปยังป่าเมฆาคล้อย งานพันธมิตรนี้อาจเป็นโอกาสให้พวกเขาเปลี่ยนจากอสรพิษเป็นมังกร”

เหล่ายอดฝีมือจากสำนักดาบเมฆาที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงพูดคุยและถอดถอนใจ

อัจฉริยะเช่นชางหยูเยว่ หลินทง และจ้าวเฟิงหากปรากฏขึ้นเพียงหนึ่งคนในรอบหลายร้อยปีก็นับว่าไม่เลวแล้ว

ทว่าในครานี้ ทั้งสามได้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน โชคลาภของพวกเขามีมากมายเพียงใดกัน

ด้านแคว้นมังกรโลหะ

“ดูเหมือนว่าสิบสามแคว้นจะยังคงมีโชคลาภหลงเหลืออยู่บ้าง บางทีมันอาจมาจากยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ของพวกเขา”

สตรีสูงศักดิ์สวมใส่หน้ากากสีเงินแย้มยิ้มบางเบา

ในเวลาเดียวกัน

การตอบสนองของเหล่าระดับสูงของทั้งสิบสามสำนักนั้นแตกต่างกันออกไป มันมีเสียงถอดถอนใจ ความริษยา และความไม่เต็มใจ…

ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเข้าใจสิ่งหนึ่ง

ผู้ชนะจะถูกตัดสินจากสามคนนี้

ด้านสำนักจันทร์สลาย

“ข้ามิคิดเลยว่าเฟิงเอ๋อร์จะมาถึงจุดนี้ได้”

ผู้อาวุโสหนึ่งถอดถอนใจ

เขาได้พึงพอใจแล้วกับการที่จ้าวเฟิงสามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายและกลายเป็นหนึ่งในสี่ดาราได้

ทว่าบัดนี้ จ้าวเฟิง ชางหยูเยว่ และหลินทงได้กลายเป็นสามตัวเต็งที่ได้แข่งขันกันเพื่อเป็นราชาแห่งดารา

เมื่อมองไปยังทั้งสาม โชคลาภได้ถูกมอบให้แก่พวกเขาแล้ว ดวงตาของสวี๋จึเสวี๋ยนและอ้าวเยว่เทียนกลับกลายเป็นหม่นหมอง หมัดกำแน่นด้วยความไม่ยินยอม

พวกเขาไม่คาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะสามารถไปได้สูงเพียงนั้น

เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ใช่ม้ามืด ทว่าเป็นมังกรที่เฝ้ารอวันที่จะโผทะยานออกไป

ลานประลองสุดท้าย

การประลองยังคงดำเนินต่อไป อัจฉริยะที่เหลือทั้งสิบสองคนเข้าประลองกัน

หากผู้ใดชนะทั้งหมด 11 ครั้ง คนผู้นั้นย่อมกลายเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

ครั้งวันต่อมา

การประลองรอบต่อไปได้เริ่มต้นขึ้น

ชางหยูเยว่ หลินทง และจ้าวเฟิงได้แสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาออกมาอีกครั้ง เอาชนะคู่ต่อสู้ในเสี้ยววินาที

คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงในรอบนี้คือเป่ยม่อ

คลื่นวารีสีทมิฬได้ปรากฏขึ้นเป็นม่านป้องกันรอบกายเด็กหนุ่มตระกูลเป่ย

จ้าวเฟิงหยิบคันศรหลัวซุยออกมาโดยไร้ซึ่งคำพูดใด โลหิตสีเขียวครามได้ปรากฏขึ้นจางๆ ศรหลัวซุยที่มีความเร็วเหนือเสียงได้พุ่งออกไปและเคลื่อนไหวอย่างลึกล้ำ

หัวใจของเป่ยม่อสั่นสะท้าน ลูกธนูในสายตาของเขาได้กลายเป็นก้อนกระแสไฟฟ้า

เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเขาได้ตกลงสู่นรกไร้ก้นบึ้ง หิมะและน้ำแข็งรอบกายคำรามลั่น

หากเขาเหม่อลอยไปแม้เพียงครึ่งวินาที ลูกธนูที่มีความเร็วเหนือเสียงก็สามารถตัดสินผู้ชนะได้

ฉึก!

ลูกศรได้เฉี่ยวผ่านหัวไหล่ของเป่ยม่อ แช่เข็งร่างของเขา ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกชาหนึบก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“ศรพลังจิต…”

เป่ยม่อแย้มยิ้มขมขื่น

เขาต้องยอมรับว่าเขาไม่อาจต่อต้านศรดอกนั้นได้แม้แต่น้อย

อย่างแรก เขาไม่อาจเมินเฉยต่อการโจมตีพลังจิตของจ้าวเฟิงได้

อย่างที่สอง ความเร็วของธนูดอกนั้นนับว่าน่าสะพรึงหลังจากที่ได้มรดกอัสนีกับพลังสายเลือดหลอมรวมเข้าไป

ศรนี้สามารถทะลวงผ่านการป้องกันของผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้

การเคลื่อนไหวอันไร้ขีดจำกัด ธนูและศร เคล็ดพลังจิต และพลังสายฟ้าของอีกฝ่ายได้ทำให้เขารู้สึกจนใจ

หลังจากประลองอีกสี่ห้าครั้ง ชางหยูเยว่ หลินทง และจ้าวเฟิง สามราชาดาราก็ยังคงไร้พ่าย

นอกเสียจากพวกเขาจะเผชิญหน้ากันเอง

ทั้งมันยังเป็นเวลาที่เหล่าผู้ชมเฝ้ารอ

การประลองมีทั้งหมดสิบเอ็ดรอบ ต่อให้เป็นหนึ่งดาราก็ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากันเองได้

ในที่สุด

ในรอบที่หก สองดาราก็ได้เผชิญหน้ากัน

“ชางหยูเยว่ ปะทะ หลินทง”

ในวินาทีที่เสียงของผู้ตัดสินสิ้นสุดลง ฝูงชนก็ต่างตื่นเต้น

พลังของชางหยูเยว่และหลินทงได้ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขา ทั้งสองคือคนที่เอาชนะคู่ต่อสู้ในเสี้ยววินาที

ชางหยูเยว่คือยอดดาราที่ได้บดขยี้อัจฉริยะแห่งสิบสามสำนักลงภายใต้ฝ่าเท้าของนาง

เหล่าผู้ที่อยู่ในรุ่นเดียวกับนางล้วนเศร้าสร้อย บุรุษเหล่านี้ล้วนพ่ายแพ้ให้แก่สตรีผู้หนึ่ง และต้องแหงนหน้ามองนาง

ในยามนี้ คู่ต่อสู้ของชางหยูเยว่เองก็แข็งแกร่งยิ่งนัก

ตั้งแต่เริ่มจนบัดนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันเนตรลบสวรรค์ของหลินทงได้

เขาลำบากเพียงการมองครั้งหนึ่งเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้

พลังของชางหยูเยว่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ทว่ามิใช่กับหลินทง มันเป็นเรื่องยากนักที่จะป้องกันการโจมตีของเขา

“เริ่ม”

ผู้ตัดสินในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโบกมือ

เช้ง!

วินาทีที่สิ้นคำ เสียงของดาบและประกาศแสงก็ได้ครอบคลุมลานประลอง

ทว่าในเวลาเดียวกัน เนตรลบสวรรค์ของหลินทงเองก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นแล้ว

ในดวงตาราวนรกลึกล้ำของหลินทงได้ปรากฏจุดสีแดงขึ้น

พลังลึกลับที่มองไม่เห็นได้ไหล่บ่าไปทุกแห่ง ไม่มีผู้ใดที่สามารถป้องกันมันได้

ดาบของชางหยูเยว่ถูกชักออกมาเพียงครึ่งหนึ่งก่อนจะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

มันหมายความว่าความจริงแล้วนั้นการโจมตีพลังจิตนั้นรวดเร็วกว่าการโจมตีทางกายภาพ อย่างน้อยหากทั้งสองมีพลังฝึกตนในระดับเดียวกัน

ในยามนี้ ทุกคนเพ่งสายตาจับจ้องไปยังลานประลอง

การปะทะของสองดารานั้นง่ายดายยิ่ง

ไม่แน่ว่าในหนึ่งวินาที หรือหนึ่งกระบวนท่าก็สามารถตัดสินผู้ชนะได้

คนจากสำนักดาบเมฆาและวิหารโบราณล้วนจับจ้องไปยังลานประลองอย่างตั้งใจ

สองสำนักนี้ครอบครองอันดับหนึ่งและสองของสำนักที่ทรงพลังที่สุดในสิบสามสำนักตามลำดับ

ศิษย์ของพวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือแนวหน้าในงานพันธมิตร

ทว่าสถานการณ์ของชางหยูเยว่ดูไม่ดีนักเมื่อการโจมตีของหลินทงได้ไปถึงเร็วกว่าหนึ่งก้าว

คิ้วของชางหยูเยว่มุ่นเข้าหากันเล็กน้อยขณะที่นางดิ้นรน ทว่านางยังคงตอบโต้

ดาบสีเขียวในมือของนางสั่นสะท้านเล็กๆ

แสงสีดำแดงปรากฏขึ้นบนร่างของหลินทงพร้อมกับที่มันต่อต้านดาบของชางหยูเยว่

แม้ว่าดาบของอีกฝ่ายนั้นจะหยุดอยู่กลางอากาศ การตอบโต้ตามสัญชาตญาณก็ได้ทำให้นางเหวี่ยงมันลงไปยังคู่ต่อสู้ แม้ว่าพลังของมันจะลดลงอย่างมาก

ทว่าแม้กระนั้น รอยแผลลึกรอยหนึ่งก็ยังปรากฏขึ้นบนหัวไหล่ของหลินทง ทำให้เด็กหนุ่มต้องครางออกมาเล็กๆ นางจึงฉวยเอาช่องว่างนั้นเอาไว้

ดวงตาของชางหยูเยว่พลันส่องประกายวาบพร้อมกับที่นางชักดาบออกอีกครั้ง

“ไม่ดีแล้ว!”

สีหน้าของเหล่าคนรุ่นเก่าจากวิหารโบราณแปรเปลี่ยนไป

พลังโจมตีของชางหยูเยว่นั้นเหนือกว่าอัจฉริยะทุกคนที่อยู่ที่นี่ มันเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง

กระทั่งจ้าวเฟิงและหลินทงก็ยังต้องยอมรับในจุดนี้

พลังของชางหยูเยว่นั้นไม่อาจคำนวณได้

นางไม่ได้มีพลังสายเลือด ทว่ายังคงมาถึงระดับนี้ได้ มันได้แสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของดาบของนาง

หลินทงสูดลมหายใจลึก สะบัดผ้าคลุมสีดำพร้อมกับที่แสงสีแดงของเนตรลบสวรรค์ของเขาได้สว่างจ้ามากขึ้น ดูล่อลวงกว่าเก่า

แสงในดวงตาของชางหยูเยว่มืดหม่นลงอีกครั้ง พลังน่าพรั่นพรึงที่ควบรวมกันที่ดาบของนางได้ค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับที่มือราวหยกของนางลดต่ำลงอย่างช้าๆ

เหงื่อเย็นเยียบไหลโชกใบหน้าของหลินทง

ทุกครั้งที่ครั้งที่แสงในดวงตาของชางหยูเยว่หม่นลง มือของนางก็จะลดลงทีล่ะชุ่นด้วยความพยายามของหลินทง

“ไม่ดีแล้ว!”

สีหน้าของคนจากสำนักดาบเมฆาเคร่งเครียด

ยิ่งแสงในดวงตาของชางหยูเยว่หม่นลงเท่าใด มือที่จับดาบของนางก็ลดลงเท่านั้น วินาทีที่มันลดลงจนสุด มันจะเป็นวินาทีที่นางพ่ายแพ้

วิ้ง!

ดาบสีเขียวพลันส่งเสียงครางหึ่ง มือของชางหยุเยว่ได้ยกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่พลังของนางควบรวมกัน

ในยามนี้ ทุกสิ่งล้วนเงียบงัน

ลำคอของผู้ชมทุกคนตีบตัน

มันไม่มีการแสดงวิชาที่งดงาม ทว่าการปะทะกันที่มองไม่เห็นระหว่างทั้งสองสามารถตัดสินผุ้ชนะได้ทุกวินาที

ชนะหรือพ่ายแพ้นั้นอยู่เพียงระหว่างหนึ่งความคิด

ชางหยูเยว่อาจสามารถต่อต้านและเอาชนะหลินทงได้ในหนึ่งดาบ

ทว่ามันก็มีโอกาสที่หลินทงจะลากชางหยูเยว่ลงสู่นรกไร้ก้นบึ้ง

ทุกๆ วินาทีของการปะทะกันนั้นราวกับการเดินบนลวดกลางอากาศ

ชัยชนะและพ่ายแพ้

ผู้ใดกันที่จะได้ครอบครองชัยชนะ?

เวลาดูราวกับหยุดนิ่ง

การปะทะกันระหว่างสองดารานั้นเป็นเพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น

ทว่า

กระบวนท่าเดียวนั้นยังคงไม่สิ้นสุดลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version