Skip to content

King of Gods 313

King Of Gods

บทที่ 313 : ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง (2)

หลังจากผ่านไปหลายวัน

ท่ามกลางมวลเมฆได้ปรากฏบัลลังก์บัวสามสีลอยอยู่ ด้านบนปรากฏร่างของบุรุษและสตรีสองคน

ฝ่ายบุรุษนั้นสวมใส่เสื้อคลุมไหมสวรรค์ลี้ลับสีขาวตัดฟ้า เรือนผมสีฟ้า ดวงตาซ้ายเป็นสีฟ้าใสลึกล้ำ สีหน้าเรียบเฉย นั่งขัดสมาธิอยู่

ข้างกายของเขาเป็นสตรีในอาภรณ์สีชมพูที่พลิ้วไหวอย่างงดงาม รูปลักษณ์ดูมีอายุอยู่ในช่วง 20 ปี

สตรีที่ใส่อาภรณ์สีชมพูนั้นมีนามว่า เตี๋ยเย่ ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ เป็นคนที่เถี่ยหมัวส่งไปให้เป็นผู้ช่วยของจ้าวเฟิง

จากที่เถี่ยหมัวเอ่ยนั้น เตี๋ยเย่ผู้นี้เคยเป็นข้ารับใช้ของจ้าวลัทธิผู้ลึกลับ ไม่ว่าจะเป็นพลังฝึกตน อายุ และประสบการณ์ล้วนไม่อาจชั่งวัดได้จากภายนอก

บุคคลที่พิเศษเช่นนี้กลับได้ไปยังสาขาพันธารากับจ้าวเฟิง ชัดเจนว่าเถี่ยหมัวให้ความสำคัญกับจ้าวเฟิงยิ่งนัก

“หัวหน้าสาขา สาขาพันธารานั้นตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำพันธารา สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยธารน้ำหลากหลาย ภูมิประเทศซับซ้อน กลุ่มอำนาจน้อยใหญ่มีนับร้อย กลุ่มที่มีอำนาจมากหน่อยคือตระกูลหยุนรอง ตระกูลปี้รอง สำนักร้อยบุปผา…”

น้ำเสียงของเตี๋ยเย่นุ่มนวลชัดเจน น่ารัก

‘หนึ่งราชา สามสำนัก สี่ตระกูล’ แห่งอาณาจักรนภาคือแปดขั้วอำนาจ ครอบครองอำนาจเหนือดินแดนแห่งอาณาจักรอย่างมาก

แม้ว่าในเมืองหลวง อำนาจของราชวงศ์จะยิ่งใหญ่ที่สุด ทว่าก็ยังมีอำนาจของลัทธิโลหะเลือดแทรกซึมอยู่

แม่น้ำพันธาราเองก็เหมือนกัน เว้นเสียแต่มีความแตกต่างบางอย่าง

ที่แห่งนี้ นอกจากสาขาของลัทธิโลหะเลือดแล้วยังมีกลุ่มอำนาจอื่น เช่นตระกูลหยุนรอง ตระกูลปี้รอง สำนักร้อยบุปผา และอื่นๆ

กลุ่มอำนาจที่เตี๋ยเย่เอ่ยถึงนั้นนับได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจที่มีชื่อเสียง ตระกูลและสำนักเล็กๆ ไม่ได้ปรากฏอยู่

ในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมา กลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่แม่น้ำพันธาราคือลัทธิโลหะเลือด อยู่ในฐานะเดียวกับตระกูลหลิวแห่งหงหูที่เมืองหงหู

หากเป็นยามก่อนที่เจ้าเมืองหงหูจะบรรลุเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ฐานะของจ้าวเฟิงในยามนี้อาจจะเทียบเคียงได้กับผู้นำตระกูลหลิวและเจ้าเมืองหงหู แน่นอนว่าตระกูลหลิวแห่งหงหูก็นับเป็นตระกูลรองที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีอำนาจ

“สำนักร้อยบุปผา?”

จ้าวเฟิงสนใจเพียงหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่อีกฝ่ายเอ่ยมา

สำนักร้อยบุปผาเป็นสำนักมารที่จอมโจรฉุ่ยเยว่เคยอยู่ในอดีต

หลังจากที่จอมโจรฉุ่ยเยว่สิ้นชีพ สำนักร้อยบุปผาก็ตกต่ำลงทุกวัน ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงเทียบเคียงได้กับตระกูลหยุนรองและตระกูลปี้รอง

“พื้นที่ของสำนักร้อยบุปผาในแม่น้ำพันธาราสามารถนับได้ว่าติดหนึ่งในห้า เป็นสำนักมารที่มักจะสร้างความเสียหายให้กับตระกูลอื่นๆ และล่วงเกินสตรีรูปลักษณ์งดงาม ชื่อเสียงฉาวโฉ่ยิ่งนัก”

สีหน้าของเตี๋ยเย่ใสซื่อ ดวงตาใสกระจ่างส่องประกายวูบ ให้ความร่วมมือกับหัวหน้าสาขาที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัทธิโลหะเลือดเป็นอย่างดี

ยามนี้ที่จ้าวเฟิงได้ครอบครองตำแหน่งหัวหน้าสาขานับว่าทำลายสถิติหลายอย่าง

อย่างแรกคือมีอายุเพียง 16-17 ขวบปี ไม่แม้กระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สองคือพลังฝึกตนยังไม่ถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

เด็กหนุ่มผู้นี้พูดจาน้อยคำนัก มักจะทำสมาธิฝึกตนอยู่บ่อยๆ

บางครั้งก็เป็นเตี๋ยเย่ที่ถ่ายทอดปราณจิตวิญญาณเข้าไปในสามปทุมเผื่อให้มันสามารถบินอยู่ได้

ไม่นาน จ้าวเฟิงก็เข้าใจในสถานการณ์ของแม่น้ำพันธาราขึ้นในระดับหนึ่ง

“หลังจากไปถึงสาขาพันธารา ข้าต้องระวังในเรื่องใด?”

จ้าวเฟิงขอคำปรึกษาอย่างถ่อมตัว

“สาขาพันธารานั้น จากภายนอกมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหกคนและสองรองหัวหน้าสาขา อวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่น มีพลังในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน ครั้งหนึ่งเคยเอาชนะยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ได้ ทั้งยังสามารถทำงานคนเดียวได้ คนทั้งสองนี้คาดหวังในตำแหน่งหัวหน้าสาขามากนัก สิ่งที่เตี๋ยเย่กังวลคือพวกเขาจะไม่ยอมรับท่าน หัวหน้าสาขา…”

เตี๋ยเย่ไม่ได้ปกปิดปัจจัยที่จ้าวเฟิงเสียเปรียบ

จ้าวเฟิงลูบหน้าผากของตนอย่างช่วยไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ แรงกดดันที่ตนเองได้รับจากการเป็นหัวหน้าสาขาพันธาราย่อมมีมิใช่น้อย

เรื่องเร่งด่วนคือเขาต้องบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะให้แรงกดดันที่เขาได้รับลดลงและรักษาชื่อเสียงของเขาเอาไว้

ความเร็วในการบินของสามปทุมว่องไวนัก ใกล้เคียงกับระดับของผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป ทั้งยังรักษาความเร็วได้ดี

ส่วนที่เป็นข้อเสียนั้นคือ แม้ว่าสาปทุมจะขยายออกจนถึงขีดสุดก็เหมาะให้คนเพียง 2-3 คนนั่งเท่านั้น

ทว่าจุดด้อยของมันก็ไม่ได้กลบฝังความยอดเยี่ยมของมัน พลังป้องกัน ความเร็ว และความสามารถในการสนับสนุนของมันแข็งแกร่งนัก ในยามนี้มันนับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในมือของจ้าวเฟิง

จากนั้น

จ้าวเฟิงจึงศึกษาแผนที่ของแม่น้ำพันธารา

ในที่สุด จ้าวเฟิงก็มองเห็นเขตแดนอ่าวแสนซับซ้อน ไปถึง ‘ป้อมพันธารา’

“ฮี่ฮี่ ทั้งป้อมพันธาราและสำนักร้อยบุปผาล้วนอยู่ในเขตแดนของแม่น้ำพันธารา”

ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความตื่นเต้นอยู่เล็กๆ

หลังจากครึ่งเดือน

พวกจ้าวเฟิงทั้งสองก็ได้ไปถึงสาขาพันธารา

การมาถึงของหัวหน้าสาขาคนใหม่ได้สร้างความวุ่นวายขึ้นในสาขาของลัทธิโลหะเลือดในทันที

“หึ หัวหน้าสาขาคนใหม่นี้ เป็นแค่เด็กที่ขนยังไม่แม้แต่จะงอกด้วยซ้ำ”

“ต้องการให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเราเชื่อฟังคำสั่งของเด็กนี่หรือ? ข้าไม่เข้าใจว่ากองบัญชาการโลหะเลือดคิดอันใดอยู่จริงๆ”

เหล่าระดับสูงของสาขาพันธาราเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

รองหัวหน้าสาขาทั้งสองอวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่นที่สีหน้าปรากฏความอับอายขึ้นเล็กๆ

อวิ๋นช่าเป็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีเลือด รูปลักษณ์แข็งกระด้าง บนร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายกระหายเลือด เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปต้องสั่นสะท้าน

เฉินเมิ่งเจิ่นเป็นสตรีที่อยู่ในอาภรณ์สูงศักดิ์สีอ่อน ดูสง่างาม นัยน์ตางดงามส่องประกายไม่พอใจ

ทั้งสองสบตากันคราหนึ่ง

“หัวหน้าสาขาผู้นี้เป็นคนที่รองจ้าวลัทธิแต่งตั้งด้วยตนเอง ทั้งยังยืนยันความคิดของตนแม้จะถูกคัดค้านโดยคนส่วนมาก นี่เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง อย่างที่สองคือเด็กนี่มีคำเล่าลือว่าได้ครอบครองมรดกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ครั้งอยู่ในเมืองหลวงได้จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน สร้างความวุ่นวายให้กับอาณาจักรมากนัก”

เฉินเมิ่งเจิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“หึ แล้วอย่างไร? ที่ได้ครอบครองสมบัติสายธารจันทรานั้นก็เพียงแค่ดวงดีหน่อย การจับตัวฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรองจ้าวลัทธิ มีหรือที่เขาจะล่าถอยมาได้อย่างปลอดภัย?”

อวิ๋นช่าเค้นเสียง

ทุกคนล้วนล่วงรู้ถึงความเป็นมาของหัวหน้าสาขาคนใหม่นี้อย่างชัดเจน

เพื่อที่จะติดตามคน พวกเขาจำต้องหาข้อมูลและนิสัยของหัวหน้าสาขาคนใหม่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา

สำหรับสองรองหัวหน้าสาขานั้น เมื่อความสามารถของคู่ต่อสู้เหมาะสม โอกาสที่จะได้ครอบครองตำแหน่งย่อมมีสูงกว่า

เฉินเมิ่งเจิ่นส่งเสียงผ่านจิตไปพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ถูกแต่งตั้งมาโดยรองจ้าวลัทธิโดยตรง ทั้งยังสร้างชื่อเสียงในอาณาจักรมากนัก พวกเรานับจากนี้ก็ไม่อาจต่อต้านอย่างออกนอกหน้าได้ หรือมิเช่นนั้นหากเรื่องหลุดรอดออกไป…”

อวิ๋นช่าเค้นเสียงเย็น ไม่เอ่ยคำพูดใด

หัวหน้าสาขาผู้นี้มีแรงสนับสนุนจากรองจ้าวลัทธิ แน่นอนว่าย่อมไม่ดีที่จะเอ่ยคำสุดท้ายออกไป

ทว่าในทางลับนั้น ย่อมมีวิธีการหลากหลายให้หยิบใช้

ไม่ช้า สามปทุมของหัวหน้าสาขาคนใหม่ก็ได้ลอยลงมาจากมวลเมฆ

สายตาของคนจากลัทธิโลหะเลือดสาขาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าสีหน้าเรียบเฉยอย่างละเอียด อีกฝ่ายสวมใส่เสื้อคลุมไหมสวรรค์ลี้ลับสีขาวตัดฟ้า ดวงตาซ้ายสีฟ้าส่องประกายลึกล้ำ ราวกับสามารถมองทะลุผ่านจิตใจผู้คน แพร่ไอความเย็นสู่อากาศ

คนระดับกลางและล่างจากสาขาจิตใจหนาวเยือก หลบสายตานั้นไปอย่างไม่รู้ตัว

สายตาของหัวหน้าสาขาคนใหม่นี้น่าหวาดกลัวจนเกินไป ความเย็นชานั้นราวกับสามารถแช่แข็งจิตวิญญาณได้

มีเพียงรองหัวหน้าสาขาทั้งสองที่ไม่ได้ละสายตาไป

“สายเลือดดวงตาไม่ธรรมดา ทว่าน่าเสียดายที่พลังฝึกตนต่ำเกินไป ทั้งอายุและประสบการณ์นับว่าขาดยิ่งนัก”

อวิ๋นช่าเค้นเสียงในลำคอ

สิ่งที่แปลกประหลาดคือข้างกายของหัวหน้าสาขาคนใหม่มีข้ารับใช้ในอาภรณ์สีชมพูอยู่ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้

“เตี๋ยเย่? สาวใช้คนสนิทที่จ้าวลัทธิและรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเชื่อใจที่สุด…”

เมื่อเฉินเมิ่งเจิ่นรับรู้ถึงตัวตนของสาวใช้ในอาภรณ์สีชมพูผู้นั้นก็สูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ เข้าใจถึงความหมายที่แฝงมา

รองจ้าวลัทธิได้ถูกส่งสาวใช้ผู้นี้มาอยู่ข้างกายจ้าวเฟิง ชัดเจนว่าคนผู้นั้นให้ความเชื่อมั่นและยอมรับแก่หัวหน้าสาขาคนใหม่ผู้นี้มากนัก

“คารวะท่านหัวหน้าสาขา”

เมื่อจ้าวเฟิงเผยตราหัวหน้าสาขา ผู้คนที่อยู่ด้านล่างพลันค้อมคำนับลง

ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นอวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่น ภายนอกก็ต้องรักษาความนอบน้อมเอาไว้ ทำความเคารพจ้าวเฟิง

ในยามนี้ จ้าวเฟิงลอยลงจากก้อนเมฆ ราวกับเทพเจ้าที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ต่อต้านกฎเกณฑ์ของโลกโดยสิ้นเชิง

ทว่าเด็กหนุ่มเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดมอบอำนาจนี้ให้แก่ตนเอง ด้วยดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงไม่ยากที่จะเห็นว่าความรู้สึกลึกๆ ของคนเหล่านี้ปฏิเสธที่จะยอมรับในตัวเขา

วันแรกที่เริ่มทำงาน จ้าวเฟิงจำต้องรู้จักคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดสาขาเสียก่อน

เรื่องที่สำคัญบางส่วน รองหัวหน้าสาขาและคนระดับสูงได้เอ่ยบอกแก่หัวหน้าสาขา

“หัวหน้าสาขา เร็วๆ นี้อำนาจของตระกูลหยุนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้มีขั้นมนุษย์แท้คนใหม่ปรากฏตัวขึ้น แม้ว่าผู้นำคนเก่าจะชราแล้ว พลังต่อสู้ในขั้นผู้วิเศษแท้อาจไม่เพียงพอ ทว่าก็ยังคงสร้างแรงคุกคามแก่สาขาพันธาราของเรามากนัก”

“เร็วๆ นี้ คนจากตระกูลหยุนรองได้สร้างปัญหาในเหมืองผลึกเริ่มต้นของเรา ฆ่าคนไปคนหนึ่ง บางทีเรื่องนี้อาจมีเบื้องหลัง ผู้น้อยแนะนำว่าให้ท่านไปตรวจดูด้วยตนเอง ให้ตระกูลหยุนรองรับผิดชอบ”

“รายงานหัวหน้าสาขา สำนักร้อยบุปผา หลายเดือนมานี้ได้เก็บตัวเงียบนัก หลบซ่อนอยู่ในป่า คาดว่าเกี่ยวข้องกับโจรเถาชานเฟ่ยกับสมบัติสายธารจันทราที่พวกมันได้มา”

รองหัวหน้าสาขาและผู้อาวุโสหลายคนเอ่ยรายงาน

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากันเล็กๆ เรื่องบางเรื่องนั้นเขารู้สึกว่าเป็นการจงใจสร้างเรื่องหรือการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

อย่างน้อย แม่น้ำพันธาราในรุ่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของสาขาพันธาราอย่างเปิดเผย

“นับแต่ตอนนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตน เรื่องเล็กใหญ่ก็มอบให้กับเตี๋ยเย่จัดการไปก่อน”

จ้าวเฟิงเอ่ยออกมาก่อนจะลุกขึ้นเข้าไปในที่พักของตนเอง

มันดูเหมือนว่าเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ เด็กหนุ่มไร้ซึ่งความสนใจโดยสิ้นเชิง

สถานการณ์นี้ได้ทำให้อวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่นลอบยินดีอยู่ในใจ

หัวหน้าสาขาคนใหม่นั้นไม่กล้ายุ่งย่ามเรื่องงาน เช่นนั้นอำนาจส่วนมากของสาขาก็ยังคงอยู่ในมือของพวกเขา

ทว่ายังคงมีคนที่ยากจะรับมือ สาวใช้เตี๋ยเย่

สาวใช้ผู้นี้ใช้อำนาจในฐานะของหัวหน้าสาขา สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวบางส่วนในสาขา กระทั่งพบข้อผิดพลาดที่เกิดจากความเลิ่นเล่อ

“หัวหน้าสาขาคนใหม่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่น่ากลัวแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือการรับมือกับสาวใช้ผู้นี้”

ความคิดของอวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่นเปลี่ยนไปหาเตี๋ยเย่แทน

เตี่ยเย่นั้นไม่ใช่เพียงแค่ผู้ช่วยของจ้าวเฟิง ทว่ายังเป็นสาวใช้คนสนิทของรองจ้าวลัทธิ

จ้าวเฟิงใช้เวลาส่วนมากในการฝึกตนอย่างสบายๆ

บัดนี้ ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างของเขาบริสุทธิ์ยิ่งนัก ความสามารถในการหลอมรวมกับไอสวรรค์อัสนีเพิ่มขึ้นทุกวัน

ในยามนี้ที่เขานั่งขัดสมาธิ ท้องฟ้าเหนือโถงหลักได้ปรากฏร่องรอยของไอสวรรค์อัสนีรวมตัวกันขึ้น

การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น สำหรับจ้าวเฟิงไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด

เขาเพียงต้องการเวลาสักหน่อยในการรวบรวม ‘แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ’ ของตนเองในจุดตันเถียน

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนั้นคือแหล่งกำเนิดปราณจิตวิญญาณ ในเวลาเดียวกันก็คือบริเวณที่กักเก็บอายุขัยและแก่นแท้ของร่างกายมนุษย์

เวลาผ่านไป 4-5 วัน

ความบริสุทธิ์ของปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงสูงขึ้นเรื่อยๆ ในร่างของเด็กหนุ่มยามนี้ปรากฏปราณในรูปแบบของเหลว ก่อตัวเป็นสายฝนหยดลงมาในจุดตันเถียน

ปราณแท้ในรูปแบบหยาดฝนเหล่านี้สามารถเทียบเท่าได้กับปราณจิตวิญญาณแล้ว ทว่ามันยังนับว่าบริสุทธิ์กว่า

ไอสวรรค์อัสนีที่หมุนวนอยู่เหนือศีรษะของจ้าวเฟิงรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายในร่างของเด็กหนุ่ม ชะล้างจุดตันเถียนของร่างกาย ทำให้กายเนื้อและปราณครึ่งจิตวิญญาณหลอมรวมกันโดยสมบูรณ์

“เหลือเพียงขั้นสุดท้าย”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ปราณแท้รูปสายฝนที่หยดลงมาในร่างกายเริ่มหลอมรวมกันและถูกชำระล้างอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปช้าๆ ราวกับกำลังก่อเป็นแหล่งน้ำเล็กๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version