Skip to content

King of Gods 330

King Of Gods

บทที่ 330 : สิบอันดับแรกแห่งอาณาจักร

เมื่อคืนสติ จ้าวเฟิงก็ตระหนักได้ว่าแม้เขาจะมาถึงอาณาจักรนภานี้เพียงหนึ่งปี กลับสร้างศัตรูไว้มากมายเพียงนี้

กลุ่มอำนาจที่เขาสร้างความขุ่นเคืองให้มีตั้งแต่ราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภา ตระกูลหลิวแห่งหงหู ตระกูลหลิว รวมทั้งตระกูลเทียนและตระกูลหยุน

ราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภานั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ย ในวันนั้นจ้าวเฟิงจับตัวฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน ทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์ต่อหน้าทุกคน ภายนอกมีคำล่ำลือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ล่วงเกินฉินหวางเฟย

สายตาที่ราชาแห่งอาณาจักรนภามองไปยังจ้าวเฟิงนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

จากนั้นจึงเป็นตระกูลหลิวแห่งหงหู การที่จ้าวเฟิงหนีการแต่งงานมาครั้งนั้นได้สร้างความวุ่นวายขึ้นในอดีต ความโกรธของเจ้าเมืองหงหูแทบจะแผดเผาตนเองตาย สุดท้ายทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้

และทั้งตระกูลหลิวแห่งหงหูกับฉินหวางเฟยต่างก็มาจากตระกูลหลิว ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงได้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ตระกูลหลิวด้วย

การผิดใจกับตระกูลเทียนและตระกูลหยุนเป็นเรื่องที่ไม่นานมานี้

การโจมตีของจ้าวเฟิงวันนั้นแทบจะทำลายอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเทียน ‘เทียนหยุนจือ’ ลง

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังกลายมาเป็นหัวหน้าสาขาพันธารา แทบจะกวาดล้างตระกูลหยุนรองจนล่มสลาย กระทั่งบีบบังคับให้อีกฝ่ายทำสัญญาโลหิตที่ไม่เท่าเทียม

คนผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จในพลังเช่นนี้จำต้องผิดใจกับคนและกลุ่มอำนาจจำนวนมาก สิ่งที่แลกเปลี่ยนไปนั้นไม่อาจจินตนาการ

ทว่า ความจริงแล้วคนที่ทำให้จ้าวเฟิงคาดไม่ถึงคือเทียนหยุนจือ

หากเขาจำไม่ผิด การโจมตีจาก ‘พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา’ ของจ้าวเฟิงครั้งก่อนมีพลังโจมตีทางจิตด้วย ได้ส่งผลต่อต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ของอีกฝ่าย

สำหรับจิตแห่งกระบี่นั้น มันคือการโจมตีพลังจิต เป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็น

ทั้งสองต่อสู้กัน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ผู้ที่จิตใจมั่นคงกว่า คือผู้ที่ชนะ

แน่นอนว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่ง พลังจิตโจมตียังได้รับการสนับสนุนจากพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ย่อมได้รับชัยชนะ

“เทียนหยุนจือ มิคาดเจ้าแม้จะล้มลงกลับลุกขึ้นยืนได้ การหลอมรวมต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่แหลมคมกว่าก่อนหน้ามากนัก”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกวาดมองเทียนหยุนจือเล็กๆ มองออกถึงสภาวะปัจจุบันของอีกฝ่าย

จิตใจของเทียนหยุนจือพลันหนาวเยือกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาซ้ายสีฟ้าเย็นเยียบราบเรียบนั้นเพียงกวาดมองเล็กๆ ต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ที่ถูกทำลายและก่อกำเนิดขึ้นใหม่ก็ราวกับสัมผัสถึงความเย็นเยียบที่มองไม่เห็นบางอย่าง แทบจะไม่อาจขยับได้

“นี่… มันอันใดกัน”

เทียนหยุนจือสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเทียบกับ 1-2 เดือนหน้า สายดวงตาของจ้าวเฟิงในยามนี้ได้สร้างแรงกดดันให้แก่จิตใจของเขามากกว่าเดิม

เพียงเหลือบมองผ่านๆ คราหนึ่งก็แทบจะแช่แข็งจิตแห่งกระบี่ของตน

“น่ากลัวเกินไปแล้ว สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงผู้นี้มีอันใดที่เปลี่ยนแปลงไปกัน หรือเขาปกปิดพลังเอาไว้?”

จ้าวเฟิงเหลือบมองอีกฝ่ายคราหนึ่งก่อนจะปิดเปลือกตา ทำความเข้าใจใน ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ชั้นแรก ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’ ต่อไป

ในจิตวิญญาณเหมันต์ได้ปรากฏวิธีการใช้ขอบเขตจิตวิญญาณในระดับที่ลึกลงไป นำเขาไปยังหนทางแห่งวิญญาณที่เก่าแก่

ในจิตใจของจ้าวเฟิง ความเข้าใจในเคล็ดพลังจิตของเขาได้พัฒนาขึ้นสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง

หลังจากการหลับลึกครั้งก่อน หลังจากที่ดวงตาของเขาวิวัฒนาการ จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าความสามารถของดวงตาเทพเจ้าเพิ่มขึ้น ทว่าไม่รู้ว่าจะใช้ความสามารถนั้นเช่นไร

เคล็ดพลังจิตแต่เดิมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

ทว่าในยามนี้จ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจใน ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้จ้าวเฟิงได้ใช้พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้านี้

เขากระทั่งเคลือบแคลงว่ายามที่เขายังครอบครองดวงตาสีเขียวอยู่นั้น ตนเองยังไม่ได้เผยพลังที่แท้จริงของมันออกมา

ณ ใจกลางลานประลอง บนแท่นสูง

ตำแหน่งคัดเลือกก่อนทั้งสิบคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรทั้งสิบ มีข้อได้เปรียบในการมองการประลองจากลานประลองทั้งแปดได้

เด็กหนุ่มลำดับสี่ได้เริ่ม ‘งีบ’ อีกครั้ง แสดงท่าทีไม่สนใจโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

“จ้าวเฟิงผู้นี้ มิคาดว่าจะยโสโอหังเพียงนี้…”

ดวงตาทั้งสองข้างของจินไท่จือหรี่ตาลงเล็กน้อยปรากฏแสงสีทองเย็นเยียบไปถึงกระดูก

ยามที่จ้าวเฟิงคืนสติเมื่อครู่ เขาได้เอ่ยทักทายอีกฝ่ายก่อน เพื่ออยากจะพูดคุยสัก 1-2 ประโยค มิคาดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบเขา

เมื่อคิดว่ารัชทายาทแห่งราชวงศ์เช่นเขา อัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักร มีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด กลับได้รับการปฏิบัติตนด้วยเช่นนี้

แน่นอนว่า

ทั้งหมดนี่ก็ไม่อาจจะโทษจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวได้

อย่างแรก เขาไม่รู้จักจินไท่จื่อ สองคือคนที่ทักทายเขาไม่ได้มีเพียงจินไท่จื่อเพียงคนเดียว

ที่สำคัญไปกว่านั้น จ้าวเฟิงได้ทุ่มเทกับการทำความเข้าใจ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ทำตัวเช่นฟองน้ำดูดซึมอย่างรวดเร็ว ทว่าเทียนหยุนจือคือคนที่เขาเคยต่อสู้ด้วย จึงได้ให้ความสนใจอีกฝ่าย

ในยามนี้

ณ ตำแหน่งสำคัญของเมืองหลวง การประลองของทั้งแปดลานประลองได้เริ่มต้นขึ้น

นอกจากสิบดาราแห่งอาณาจักรแล้ว ผู้ที่มาท้าทายตำแหน่งอัจฉริยะที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรก็มีไม่มากนัก

คนส่วนมากที่เข้าร่วมอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง มีขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและนภาที่เจ็ดจำนวนน้อยคน

ทว่าสำหรับ ‘จินไท่จื่อ’ ที่เป็นผู้นำของสิบตำแหน่งคัดเลือกก่อน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของคนรุ่นใหม่ในอาณาจักร การประลองของพวกที่อยู่เบื้องล่างนั้นไม่ได้เข้ามาอยู่ในสายตา

จ้าวเฟิงที่เลือกจะ ‘งีบ’ ไปนั้น ในทางกลับกันได้มีสติอยู่ตลอดเวลา

ยิ่งการประลองดำเนินไปเท่าใดก็มักจะได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้น

“เจียนซานเฟิงสมแล้วที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือ หนึ่งในสิบดาราของอาณาจักรอันดับสี่ ไม่พ่ายแพ้สักครั้ง”

“หลิวฉินซินผู้นั้นเองก็น่าตกใจ ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์งดงาม ทว่าความแข็งแกร่งก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน”

ผู้ครอบครองสิบตำแหน่งคัดเลือกก่อนเอ่ยพูดคุยกัน

ผู้ที่สามารถเข้ามาในสายตาของอัจฉริยะเช่นพวกเขานั้นมีเพียง 2-3 คนเท่านั้น

หนึ่งในนั้นคือเจียงซานเฟิงและหลิวฉินซินที่แข็งแกร่ง ชนะติดต่อกันสิบครั้ง ไม่พ่ายแพ้

ความแข็งแกร่งและพลังฝึกตนของเจียงซานเฟิงนั้นทุกคนล้วนรับรู้อย่างชัดเจน ‘คัมภีร์เพลิงอัสดง’ แข็งแกร่งเกินไป จากพลังของมันสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนได้อย่างง่ายดาย

ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะคนใดที่เผชิญหน้ากับเจียงซานเฟิง ส่วนมากจะยอมแพ้ด้วยตนเอง

“เจียงซานเฟิงแข็งแกร่งเกินไป มันไม่ชัดเจนว่าเหตุใดลัทธิโลหะเลือดจึงให้เจ้าเด็กนี่มาแทนที่ตำแหน่งคัดเลือกก่อนของเขา”

“ลัทธิโลหะเลือดมีระบบชนชั้นที่เข้มงวดชัดเจน จ้าวเฟิงนั่นคือหัวหน้าสาขา เป็นบุคคลระดับสูง หากเจียงซานเฟิงเจอเขาบางทีอาจต้องค้อมคำนับ”

อัจฉริยะจากทุกกลุ่มอำนาจเอ่ยพูดคุยเกี่ยวกับ ‘จุดน่าสงสัย’ นี้

พลังความสามารถของเจียงซานเฟิงที่แสดงออกมาเหนือกว่าที่คาดคิด แทบจะเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้

คนหลายคนปรากฏความสงสัย อัจฉริยะที่แข็งแกร่งเช่นนั้นทว่ากลับไม่ได้รับตำแหน่งคัดเลือกก่อน

ทว่าคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดยังคงปิดปากเงียบด้วยรู้เรื่องราวเบื้องหลังดี

จ้าวเฟิงและเจียงซานเฟิงนั้นก่อนหน้าได้ประลองกัน ทว่าเรื่องราวเมื่อหลายวันก่อนนั้นไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป

นอกจากนี้

ความสามารถของหลิวฉินซินก็อาจกล่าวได้ว่า ‘น่าตกใจ’ นับเป็นม้ามืดตัวใหญ่

เรือนร่างขาวราวหิมะ ใบหน้าราบเรียบงดงามดูสงบนิ่งและทรงสเน่ห์ ราวกับภาพวาดของเทพธิดา ยามเคลื่อนไหวราวกับปรากฏเสียงดนตรีแสนไพเราะดังขึ้น

ยามที่โจมตี รูปแบบการโจมตีของนางนั้นเมื่อเทียบกับวันที่ลงมือในเมืองหงหูนับว่าแตกต่างมากนัก

“มรดกหนทางแห่งสำเนียงมีรูปแบบที่งดงามนัก ราวกับสามารถหยิบยืมสำเนียงแห่งสายลมขับขานเป็นทำนองของปักษา”

สาวงามในชุดสีขาวจากสำนักเจี่ยนจงปิดดวงตางดงามของนางลง ใบหน้าปรากฏความชื่นชมหลงใหลขึ้น

ฉากนี้ได้ทำให้คนระดับสูงของสำนักเจี่ยนจงคนอื่นๆ ชะงักไปไม่น้อย

“ความรู้ในหนทางแห่งสำเนียงของฉินเซียนจื่ออาจกล่าวได้ว่าในอาณาจักรนับเป็นที่หนึ่ง เทียบได้กับฉินหวางเฟย ความรู้ในหนทางแห่งสำเนียงของเด็กผู้นี้มีมากมายเพียงนั้นเชียว?”

“สำนักชีพจรแห่งสำเนียงหลอมรวมกับการต่อสู้ กระทั่งการเคลื่อนไหวสีหน้ายังงดงาม ราบเรียบ มีความสูงศักดิ์บริสุทธิ์ ไม่ใส่ใจในความเป็นไปของโลก”

“จริงๆ แล้วข้าคิดว่ารูปแบบปราณของสตรีผู้นี้เมื่อเทียบกับฉินหวางเฟยแล้วนับว่าอยู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ทว่ากลับมีความเกี่ยวเนื่องกันบางอย่าง”

ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง

หลิวฉินซินสงบนิ่ง ราวกับสนใจเพียงฟังบทเพลงโบราณนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหลงใหล จิตใจเบิกบาน

“แม่นางหลิว ท่านคือสาวงามในฝันของข้า แม้จะพ่ายแพ้แต่จิตใจกลับเบิกบานเงียบสงบ มีความสุขนัก”

หลังจากที่นายน้อยในชุดขาวผู้หนึ่งพ่ายแพ้ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ เอ่ยขึ้นอย่าง เสียดาย

หลิวฉินซินแย้มยิ้มงดงาม หลังจากที่เอ่ยตอบไปตามมารยาทก็พลิ้วกายถอยหลัง

ระหว่างการประลองนั้น สายตาของนางจับจ้องไปยังคนสองคนมากที่สุด

คนแรกคือฉินหวางเฟย คนที่สองคือจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงกำลัง ‘งีบ’ ไม่แสดงความสนใจต่อนาง

ฉินหวางเฟยเป็นสตรีร้อยท่าที รอยยิ้มบางเผยขึ้นบนใบหน้างดงาม มองหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า

สายตาของสตรีทั้งสองสบกันหลายครั้ง ราวกับปรากฏการต่อสู้ที่มองไม่เห็นขึ้น

หลังจากสองวัน การประลองก็ถึงรอบสิบคนสุดท้าย

หลิวฉินซินและเจียงซานเฟิงชนะติดต่อกันไม่พ่ายแพ้ ทว่ายังไม่เคยประลองกัน

“หากเป็นเหตุการณ์ปกติ เมื่อหลิวฉินซินและเจียงซานเฟิงเผชิญหน้ากัน น่าจะมีโอกาสชนะห้าถึงหกส่วน นอกจากนั้นฉินซินยังปกปิดพลังสายเลือดเอาไว้ รวมทั้งท่าไม้ตายทั้งสอง”

เจ้าเมืองหงหูลอบผงกศีรษะ

ทว่ายามที่สายตาของเขามองไปยังจ้าวเฟิง คิ้วก็พลันมุ่นเข้าหากัน

เขามีความเข้าใจต่อลัทธิโลหะเลือด หนึ่งในขั้วอำนาจนี้อยู่ในระดับหนึ่ง

ลัทธิโลหะเลือดนับว่าทรงพลังและมีสถานะเป็นเกียรติยศ หากจ้าวเฟิงมีสถานะก็เพียงพอแค่ให้เชื่อฟังยอมทำตามคำสั่ง ยากที่จะแทนที่ตำแหน่งคัดเลือกก่อนของเจียงซานเฟิงได้

นอกจากนั้นปฏิกิริยาของลัทธิโลหะเลือดระดับสูงยังมีน้อยนัก

“หรือว่าที่จ้าวเฟิงชนะ ‘เทียนหยุนจือ’ ได้เพราะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นจอมโจรฉุ่ยเยว่ กระทั่งเจียงซานเฟิงผู้นี้ก็ถูกเขาโจมตีจนพ่ายแพ้ด้วย?”

เจ้าเมืองหงหูรู้สึกยินดีและกังวลไปพร้อมกัน

แม้ว่าเขาจะโกรธเกลียดจ้าวเฟิง ทว่าในใจก็ยังหวังว่าจะได้มีลูกเขยที่มากพรสวรรค์เช่นนี้อยู่

เพียงแต่จ้าวเฟิงกลายเป็นหัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือด ค่อยๆ เดินไปในเส้นทางตรงกันข้ามกับตระกูลหลิวหลักโดยสิ้นเชิง

“เช่นนั้นเราจะให้สิบคนที่ชนะต่อเนื่องท้าประลองสิบดาราผู้ครองตำแหน่งคัดเลือกก่อน”

น้ำเสียงดังใสกระจ่างดังขึ้นทั่วทั้งลานประลอง

บรรยากาศเดือดพล่าน

บนแท่น จินไท่จื่อและดาราผู้ครองตำแหน่งคัดเลือกก่อนคนอื่นๆ ยืนขึ้น มุมปากปรากฏรอยยิ้ม ต้อนรับช่วงเวลาสำคัญ

ทว่าในสิบตำแหน่งคัดเลือกก่อนที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ยังคงนั่งงีบอยู่ที่เดิม

คนอื่นๆ ยืน มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังนั่งอยู่

ชายชราขั้นผู้วิเศษแท้ที่ดำเนินการประลองคิ้วมุ่นเข้าหากัน ไม่เคยเห็นเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาก่อน นับว่าน่าเหลือเชื่อโดยแท้

ไม่ช้า

คนที่ชนะติดกันสิบครั้ง สุดยอดอัจฉริยะทั้งสิบนำโดยเจียงซานเฟิงและหลิวฉินซินได้ยืนอยู่ใต้แท่น

“พวกเจ้าทั้งสิบคน ทุกคนมีโอกาสท้าประลองสองครั้ง หากพ่ายแพ้สองครั้งติดต่อกันจะเสียโอกาสในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร”

ชายชราขั้นผู้วิเศษแท้เอ่ยเสียงราบเรียบ

ครับ/ค่ะ

คนที่ชนะติดต่อกันสิบครั้ง สิบอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเหล่านี้มีท่าทีตื่นเต้น

นี่คือเวลาที่สำคัญที่สุด ท้าประลองสิบดารารุ่นเก่าของอาณาจักร ไม่เพียงแค่จะแสดงถึงพลัง ทว่ายังได้เข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรด้วย

“ผู้ใดจะท้าประลองก่อน”

ชายชราขั้นผู้วิเศษแท้เปิดปากพูด

“ข้าก่อน”

นายน้อยชุดขาว น้ำเสียงไพเราะใสกระจ่างเดินออกไป

“นายน้อยแห่งตระกูลปี้หลัก ปี้เจียงชิง”

“ฮี่ฮี่ นายน้อยปี้ผู้นี้อารมณ์อ่อนไหวราวสายลม หลงใหลหลิวฉินซิน สาวงามของหนทางแห่งสำเนียง ไม่อาจที่จะหลุดพ้นได้”

ผู้คนทั้งข้างบนและข้างล่างลานประลอง สีหน้าปรากฏความยินดีอย่างมาก

จะอย่างไรนายน้อยตระกูลปี้ผู้นี้ก็มีรูปลักษณ์ดูดี พรสวรรค์โดดเด่น นอกจากนั้นจิตใจที่ชื่นชมสาวงามนั้น ผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่มี?

ปี้เจียงชิงยืนอยู่ด้านล่างแท่น สายตากวาดมองจินไท่จื่อ หวังเสี่ยวก้วย เทียนหยุนจือ และยอดอัจฉริยะคนอื่นๆ ของอาณาจักร

อันดับหนึ่งและสอง เขาครุ่นคิด นับว่าไม่มีหวัง

จินไท่จื่อพลังฝึกตนและสายเลือดแข็งแกร่งที่สุด เป็นผู้ที่ยังไม่เคยพ่ายแพ้

อันดับสอง หวังเสี่ยวก้วย เป็นคนเสียสติที่แท้จริง พลังมักแข็งแกร่งขึ้นอย่างกะทันหัน ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเทียนหยุนจือยังพ่ายแพ้ให้แก่เขา

อันดับสาม เทียนหยุนจือ ก่อกำเนิดต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ พลังต่อสู้แข็งแกร่ง

อันดับสี่ เด็กหนุ่มผมฟ้าที่กำลัง ‘งีบ’ พลังของมันนั้นแข็งแกร่ง คราหนึ่งเคยจับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน มีคำเล่าลือว่าได้สืบทอดมรดกของวายร้าย ‘จอมโจรฉุ่ยเยว่’ อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version