บทที่ 365 : ทะลวงขั้นผู้วิเศษแท้
ในถ้ำก้นแม่น้ำ
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ จ้าวหยูเฟ่ยนั่งอยู่ข้างๆเขา
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองรับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน สังเกตการณ์สถานการณ์ใกล้เคียง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกำแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ เฝ้าอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย กลายเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวไป
เหตุผลที่จ้าวเฟิงสามารถร่วมมือกับโม่เทียนอี้ได้ ความเชื่อใจทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ ‘ตัวเชื่อม’ อย่างจ้าวหยูเฟ่ยเป็นปัจจัย
แน่นอนว่า
จ้าวเฟิงย่อมไม่ยอมมอบชีวิตและสมบัติของเขาให้คนอื่นคอยคุ้มครองดูแลทั้งหมด
เหตุผลที่เขากล้าปล่อยให้โม่เทียนอี้คุ้มกันเขานั้นย่อมมีข้อได้เปรียบอยู่
“จุดสำคัญที่สุดในการบรรลุขั้นผู้วิเศษแท้ ‘หน่อสำนึกรู้’ นั้นข้าได้ผ่านมาแล้ว ยามนี้เพียงแค่ต้องถ่ายเทและเปลี่ยนแปลงแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ไม่จำเป็นต้องเตรียมระดับจิตใจ”
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะปิดเปลือกตาฝึกตน ทว่ายังสามารถแบ่งความสนใจบางส่วนไปสู่โลกภายนอกได้จัดการเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเขายังมีแมวขโมยตัวน้อยคอยป้องกันอยู่เป็นพิเศษ จ้าวหยูเฟ่ยเองก็อาจนับได้เป็นเพื่อนข้างบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน หากจ้าวเฟิงและโม่เทียนอี้ทะเลาะกัน จ้าวหยูเฟ่ยมีโอกาสที่จะปกป้องฝ่ายแรกมากกว่า
ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดคือการทะลวงขั้นของจ้าวเฟิงล้มเหลวแล้วก็ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
ดังนั้นการร่วมมือนี้จึงนับว่าควรค่าแก่การทดลอง
“หยูเฟ่ย นี่คือ ‘วารีเร้นลับ’ ”
จ้าวเฟิงมอบขวดเล็กๆ ให้แก่จ้าวหยูเฟ่ย
วารีเร้นลับที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์และส่วนผสมอื่นๆเหนือกว่าน้ำวิเศษที่สามารถเพิ่มพลังฝึกตนได้ ช่วยให้ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถรับรู้ได้ถึงศาสตร์แห่งฟ้าดิน ทำความเข้าใจหน่อสำนึกรู้ โอกาสที่จะบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้เพิ่มมากขึ้นถึงสามในสิบส่วน
หากเป็นตามเงื่อนไขการร่วมมือ สิ่งที่จ้าวเฟิงต้องจ่ายไปนั้นมากกว่าพวกโม่เทียนอี้ทั้งสาม บางอย่างกระทั่งนับว่าได้ไม่คุ้มเสียอีกด้วย
ทว่า
สุดท้ายแล้ววารีเร้นลับก็ได้ไปตกอยู่ในมือของจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิงจึงไม่สนใจ
นอกจากนั้น คุณสมบัติหลักของวารีเร้นลับยังเป็นการเพิ่มประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ ทำความเข้าใจหน่อสำนึกรู้ สำหรับจ้าวเฟิงแล้วมันไม่นับว่ามีประโยชน์แต่อย่างใด
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เช่นกัน
วารีเร้นลับที่ให้จ้าวหยูเฟ่ยไปตามเงื่อนไขนั้นนับเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่จ้าวเฟิง นี่คือศิลาสายฟ้าเร้นลับ ข้าได้รับมาโดยบังเอิญยามที่เข้าไปยังมรดกของสำนักครั้งก่อน มันเป็นวัสดุธาตุสายฟ้าที่ล้ำค่า”
จ้าวหยูเฟ่ยมอบศิลาสีม่วงที่ปรากฏลวดลายบางอย่างให้แก่จ้าวเฟิง
ศิลาสายฟ้านี้เต็มไปด้วยพลังอัสนีที่กระเพื่อมไหว ทำให้ปราณจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงรับรู้และตื่นเต้นสั่นสะท้าน
“มิคาดว่าในหินนี้จะมีเสวียนอ้าวอัสนีอยู่ มันต้องใช้ศิลาสายฟ้าที่เต็มไปด้วยพลังสายฟ้าแรงสูง ผ่านการดูดกลืนพลังสายฟ้าของฟ้าดินและแก่นแท้อัสนีจำนวนมหาศาล กระทั่งมีเสวียนอ้าวของอัสนีอยู่ในระดับหนึ่ง…”
เมื่อจ้าวเฟิงได้รับหินนี้ก็รู้สึกยินดีอย่างมาก
ในด้านของคุณค่านั้น ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ ที่จ้าวหยูเฟ่ยมอบให้กับจ้าวเฟิงไม่อาจนับว่าด้อยไปกว่าวารีเร้นลับได้แม้แต่น้อย
ภาพนี้ย่อมตกอยู่ในสายตาของโม่เทียนอี้
ในยามนี้ ‘ความบริสุทธิ์ของสายสัมพันธ์ในวัยเยาว์’ ของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหลากหลายซับซ้อน
ในโลกแห่งสำนัก แม้จะเป็นในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ล้วนแล้วแต่เข้าหากันด้วยผลประโยชน์และการเข่นฆ่าไม่นับเป็นเรื่องแปลกตา
โม่เทียนอี้คุ้นเคยกับการอยู่อย่างเดียวดายนานแล้ว
ทว่าระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยนั้นไร้ซึ่งแผนการเล่ห์เหลี่ยมใดๆ จะอย่างไรทั้งคู่ก็เติบโตขึ้นมาด้วยกันอย่างสนิทสนม
“ก่อนหน้ามีศิษย์ลุงผู้หนึ่งเอ่ยขอแลกเปลี่ยนกับศิลาสายฟ้าเร้นลับนั่นกับหยูเฟ่ย ข้าจำได้ว่าศิษย์น้องหยูเฟ่ยบอกไปว่าศิลาสายฟ้าเร้นลับนี้ได้ขายออกไปแล้ว มิคาดว่าจะยังเก็บไว้อยู่”
บุรุษหน้าเหลืองเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา สายตาสั่นระริก คาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ย
อย่าได้บอกข้าเชียวว่าคนทั้งสองนี้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน?
ถ้ำที่ก้นแม่น้ำเงียบสงบ
จ้าวเฟิงกำ ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ แก่นแท้สายฟ้าบริสุทธิ์ภายในไหลเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่อง ผ่านการกระตุ้นของเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีไปหนึ่งหรือสองส่วน
แต่เดิมเด็กหนุ่มเองก็กังวลว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ ‘มรดกอัสนี’ ของตนเองนั้นจะถูกกลืนกินไปโดยแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ บัดนี้เมื่อมี ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ สถานการณ์จึงดีขึ้นบ้าง
สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจและยินดีคือ ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ นั้นมีเสวียนอ้าวของสายฟ้าที่ใกล้เคียงกับไอสวรรค์อัสนีของฟ้าดินยิ่งนัก เมื่อโคจรมรดกอัสนีก็สามารถดูดกลืนแก่นแท้บริสุทธิ์เหล่านั้นเข้ามาได้
เสวียนอ้าวสายฟ้าของ ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ ได้พัฒนาและเติมเต็มความเข้าใจในสายฟ้าให้แก่จ้าวเฟิง
ในสมอง
หอคอยมรดกอัสนีชั้นที่สองได้ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ชั้นที่สามเองก็ปรากฏสัญลักษณ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยไม่รู้ตัว มรดกอัสนีชั้นที่สองของจ้าวเฟิงก็ได้ถูกฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด
ตามคำอธิบายของมรดกอัสนี ชั้นที่สามจำต้องมีพลังฝึกตนใน ‘ขั้นนายเหนือแท้’ จึงจะสามารถทำความเข้าใจได้
รอบกายของจ้าวเฟิงได้ปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าสีเขียวขึ้นจางๆ ดูราวกับถูกล้อมรอบไปด้วยจิตวิญญาณ ทว่ามันกลับไม่ส่งผลต่อแมวขโมยตัวน้อย
เวลาผ่านไปเล็กน้อย
จ้าวเฟิงดูดกลืนเสวียนอ้าวในศิลาสายฟ้าเร้นลับอย่างไม่หยุดยั้ง ในเวลาเดียวกันก็ได้ถ่ายเทและดัดแปลงแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ด้วย
ดังนั้นแล้ว แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง ธาตุสายฟ้าจึงยังแข็งแกร่งกว่าอยู่
นอกจากนั้น อีกด้านหนึ่ง
จ้าวหยูเฟ่ยได้รับ ‘วารีเร้นลับ’ ก็ราวกับได้รับคำอวยพรจากสวรรค์ รับรู้ถึงเสวียนอ้าวไอสวรรค์ฟ้าดินได้อย่างชัดเจน
สถานการณ์ของจ้าวหยูเฟ่ยนั้นคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจ้าวเฟิง
ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าพลังฝึกตน ระดับของปราณจิตวิญญาณจึงไม่เพียงพอ
ทว่าหลังจากที่พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยย้อนคืนมันก็มีการเชื่อมต่อกับไอสวรรค์สูงมาก ปราณจิตวิญญาณในร่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก เลือดเนื้อสามารถหลอมรวมไอสวรรค์ได้ ปราณจิตวิญญาณที่กักเก็บไว้มีมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
อีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่สำนึกรู้ทางจิตวิญญาณเพียงพอ จ้าวหยูเฟ่ยสามารถเพิ่มระดับพลังฝึกตนขึ้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงรับรู้ได้ทั้งหมดเพียงกวาดมองครั้งเดียว
อาจกล่าวได้ว่าระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยนั้นนับเป็นเป็นสิ่งที่เติมเต็มกันได้พอดี
จ้าวเฟิงจดจำถึงกฎของการเติมเต็มหยินหยางใน ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ขึ้นได้กะทันหัน
หากใช้วิธีนี้ ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงจะสามารถเติมเต็มจ้าวหยูเฟ่ยได้ และปราณจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ของจ้าวหยูเฟ่ยเองก็สามารถเติมเต็มเด็กหนุ่มได้
ทว่าความคิดนี้ได้แล่นผ่านไปเพียงเสี้ยวพริบตา ไม่ได้ครุ่นคิดจริงจัง เหมือนเช่นที่จอมโจรฉุ่ยเยว่เคยเอ่ยไว้ว่าแม้ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ จะน่าอัศจรรย์ มีวิธีการใช้ไร้ที่สิ้นสุด เคล็ดวิชาทรงพลัง ทว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นที่สุด
เวลาที่จ้าวหยูเฟ่ยและจ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนนั้น พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองเองได้ทำหน้าที่ผู้คุ้มกันอย่างเต็มที่
บางครั้งจะมีอัจฉริยะที่ไม่ระวังเข้ามาใกล้บริเวณนี้ พวกโม่เทียนอี้ก็จะออกไปจัดการไล่ผู้อื่นออกไปก่อน
วาสนามังกรบนร่างของจ้าวเฟิงใหญ่โตยิ่งนัก หากเข้ามาใกล้ย่อมง่ายที่จะพบเห็น
ด้วยความแข็งแกร่งของพวกโม่เทียนอี้ทั้งสองและวาสนามังกรที่ทรงพลัง อัจฉริยะที่เข้ามาใกล้ก็มักจะถอยห่างออกไป
ตราบเท่าที่ไม่เจอกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ใด
ปัญหาที่โม่เทียนอี้กังวลเพียงอย่างเดียวนั้นคือ จะทำอย่างไรหาก ‘ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้’ คนอื่นมา?
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้า หนึ่งกระบวนท่าไร้ทางต้าน ตราบเท่าที่ไม่เผชิญหน้ากันเองนับว่าไร้ซึ่งเทียมทาน
โดยปกติแล้ว หากโม่เทียนอี้ได้เผชิญหน้ากับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ก็จำต้องล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ทว่าบัดนี้เขาจำต้องทำหน้าที่คุ้มกันจ้าวเฟิง
แม้ว่าจะไม่คิดถึงจ้าวเฟิง ก็ยังมีศิษย์น้องร่วมสำนักของเขาที่เป็นศิษย์ของผู้สูงศักดิ์เช่นเดียวกัน ไม่อาจปล่อยให้เผชิญอันตรายโดยไม่สนใจได้
“จ้าวเฟิงผู้นี้ต้องวางแผนไว้ก่อนแล้วเป็นแน่ ลากศิษย์น้องหยูเฟ่ยเข้ามาร่วมด้วย”
โม่เทียนอี้รู้ว่าตนเองไม่มีทางถอย
จ้าวเฟิงและสำนักเทียนหยวนราวกับถูกผูกมัดให้เดินทางร่วมกันแล้ว
วันที่สองที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตน ใกล้แดนแม่น้ำก็ได้ปรากฏอัจฉริยะยอดฝีมือชั้นแนวหน้าผู้หนึ่งขึ้น
หากเป็นอัจฉริยะยอดฝีมือชั้นแนวหน้าทั่วไปอย่างฉินคุนอู๋และเซี่ยเซียนชาง โม่เทียนอี้ยังสามารถรับมือได้อยู่
แต่อัจฉริยะยอดฝีมือชั้นแนวหน้าผู้นี้ไม่ใช่อัจฉริยะทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในสามตระกูลดวงตา ตระกูลถัวป๋า — ถัวป๋าฉี
ถัวป๋าฉีได้สร้างการสั่นสะเทือนให้กับงานชุมนุมเซียนมังกร กระทั่งเหนือกว่าหนึ่งขั้นเมื่อเทียบกับโม่เทียนอี้
ท้องฟ้าเหนือแม้น้ำ พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองและทายาทตระกลูถัวป๋าได้เผชิญหน้ากันห่างออกไป
ใบหน้าของถัวป๋าฉีเต็มไปด้วยความดูถูก ไม่หวาดกลัวระดับพลังขั้นผู้วิเศษแท้ของพวกโม่เทียนอี้ทั้งสอง
‘เนตรคมสวรรค์’ ของเขานั้น เมื่อใช้ออกจะส่งคมมีดที่ไม่อาจมองเห็นไปโจมตียังเป้าหมายในเสี้ยววินาที แทบไม่อาจหลบหลีกได้
ทันใดนั้น บรรยากาศของทั้งสองฝั่งก็พลันตึงเครียดขึ้น
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเยื่อแสงโปร่งใสเฝ้ามองสถานการณ์ต่อไปอย่างสนอกสนใจและคาดหวัง
เหล่าผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมและผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงล้วนรู้ว่าโม่เทียนอี้คือผู้คุ้มกันของจ้าวเฟิง
ครืนน เปรี้ยง
ในยามนั้นเอง น้ำในแม่น้ำพลันท่วมท้นไปด้วยกลิ่นอายทรงพลัง เงามังกรทองปรากฏขึ้นจางๆ ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
ร่างกายและจิตใจของถัวป๋าฉีหนาวเยือก รู้สึกราวกับนัยน์ตาเย็นเยียบได้จับจ้องมาที่ตัวมันจากมุมมืด
เมื่อมองไปยังเงามังกรทองนั้นอีกครั้ง ถัวป๋าฉีก็พอคาดเดาได้ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป ในสีหน้าย่ำแย่นั้นยังปรากฏความนับถืออยู่ลึกล้ำ
ฟุบ
ถัวป๋าฉีไม่รั้งอยู่นานไปกว่านั้น หมุนตัวจากไป
เมื่อเผชิญหน้ากับเงามังกรตัวที่หก ผู้เป็นเจ้าของมีสายเลือดดวงตาที่ทรงพลังเช่นกัน ถัวป๋าฉีไม่กล้าลงมือ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ายังมีพวกโม่เทียนอี้ทั้งสองคนอีกด้วย
การประลองระหว่างจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อนั้น ถัวป๋าฉีก็ได้เห็นมาแล้ว
ข่าวที่เนตรวิญญาณหนานจื่อพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง ถัวป๋าฉีก็รู้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว ในใจเขาจึงหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างลึกล้ำ เลือกที่จะหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฟิ้วว
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กๆ
‘เนตรคมสวรรค์’ ของถัวป๋าฉีผู้นั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก นับว่าไม่อาจป้องกันได้
ก่อนหน้า กระทั่งยอดฝีมือชั้นแนวหน้าก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่หนึ่งการมองของถัวป๋าฉี
เมื่อเผชิญหน้ากับถัวป๋าฉี ในใจโม่เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างมาก
“ยังดีที่เงามังกรตัวที่หกนั้นมีพลังที่น่ากลัวไม่น้อย”
บุรุษหน้าเหลืองจ้องไปยังใต้สายน้ำ รู้สึกตื้นตันขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวเฟิงกลับไปยังถ้ำ ฝึกฝนต่อไป
เพราะได้สร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ เอาไว้ก่อนหน้า กระบวนการทะลวงขั้นผู้วิเศษแท้ของเด็กหนุ่มจึงค่อนข้างง่าย มีเพียงแค่การถ่ายเทเปลี่ยนแปลงปราณจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง สามารถหยุดถอยออกมาเมื่อใดก็ได้
เมื่อมียอดอัจฉริยะคนใดเข้ามาใกล้และไม่ต้องการที่จะล่าถอยไปแต่โดยดี จ้าวเฟิงจะปลดปล่อยปราณออกไปบางส่วนอย่างข่มขู่
นอกจากห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะท้าทายการร่วมมือกันของจ้าวเฟิงและพวกโม่เทียนอี้
เวลาผ่านพ้นไปถึงวันที่สามอย่างรวดเร็ว
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงบริสุทธิ์ขึ้นและขยายขึ้น พลังฝึกตนเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด
ห่างเพียงแค่กระดาษบางๆ คั่น จ้าวเฟิงก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ได้
“ความเร็วการพัฒนาของเจ้าหมอนี่รวดเร็วเกินไปแล้ว”
โม่เทียนอี้ลอบตื่นตะลึง
เขาคิดว่าการทะลวงขั้นสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ของจ้าวเฟิงอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนแต่บัดนี้ดูเหมือนเพียง 4-5 วันก็คงสำเร็จแล้ว
“วันนี้เป็นวันสุดท้าย พวกเจ้าจงคุ้มกันให้ดี”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก รวบรวมพลังมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อทำการทะลวงขั้น
ความจริงแล้ว
ที่จ้าวเฟิงและพวกโม่เทียนอี้กบดานอยู่ที่นี่ อัจฉริยะหลายคนในมิติก็ล่วงรู้และนับสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม
บริเวณแม่น้ำนี้ ยากนักที่จะมีผู้ใดเข้าใกล้
ทว่า
ในวันนี้ เบื้องหน้าพลันปรากฏกลิ่นอายทรงพลังขึ้น จากที่ไกลๆ สามารถเห็นเงามังกรทองที่ส่องสว่างสูงกว่าสองหลาได้
ไม่ดีแล้ว มีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เข้ามาใกล้”
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองรู้สึกหนาวเยือกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันรีบบอกให้จ้าวเฟิงรู้อย่างเร่งรีบ
“ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็นปิงเว่ยเซียนจื่อ”
สีหน้าของจ้าวเฟิงย่ำแย่ลง
เด็กหนุ่มเปิดดวงตาเทพเจ้า มองผ่านกระแสน้ำขึ้นไปดูสถานการณ์
กลางอากาศห่างออกไปได้มีปักษาขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น บนหลังปรากฏสตรีร่างสูงในชุดสีอ่อน มือถือแส้หลากสี เส้นไหมร่ายรำในอากาศ ดวงตากระจ่างใสไร้ซึ่งความหม่องหม่นส่องประกายราวกับผิวน้ำ
“ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้… ตันไถ่หลันเยว่”
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองชะงักนิ่งไร้ซึ่งเสียงใด