Skip to content

King of Gods 381

King Of Gods

บทที่ 381 : เหยียบย่ำ

รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบท่ามกลางดินแดนที่มืดมิดราวกับเทพเจ้าทั้งสิบที่เหยียดหยามทั้งอดีตและปัจจุบัน เหนือกว่าเทพเซียนปีศาจอื่นๆ ในภูเขารูปปั้นศิลาไป

หลังจากที่หยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ยเลือก รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้ก็ได้หม่นแสงลงอย่างเงียบงัน

อันดับแรกและอันดับสองได้ดับแสงลงจนหมดสิ้น กลับสู่ห้วงการหลับลึก

อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเกียรติยิ่งนักเมื่อมันเป็นรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สูงมากกว่าหกร้อยหลาเป็นอย่างน้อย

สามอันดับแรกสูงมากถึงเก้าร้อยหลา ใกล้เคียงหนึ่งพันหลา ส่วนอีกเจ็ดรูปหลายตัวสูงมากถึงเจ็ดแปดร้อยเมตร

อันดับหนึ่งและสองหายไปแล้ว เป้าหมายของจ้าวเฟิงจึงเป็นอันดับสาม

เด็กหนุ่มคิดว่าการเชื่อมต่อกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์อันดับสามย่อมง่ายดาย

ทว่าผลลัพธ์คือไม่มีปฏิกิริยา

เจตจำนงในรูปปั้นศิลาครองสวรรค์เต็มไปด้วยอำนาจหยิ่งยโส แม้ตวาดก็สั่นสะท้านฟ้าดิน สูงศักดิ์อย่างไม่ธรรมดา ย่อมดูแคลนมดปลวกชนรุ่นหลังที่มาหา

“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพรสวรรค์สายเลือดของข้าไม่อาจเทียบได้กับหยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ย?”

จ้าวเฟิงไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนไปลองกับรูปปั้นที่สูงเป็นอันดับสี่

ล้มเหลว

รูปปั้นที่ห้าก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

ยังคงเป้นความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง

จ้าวเฟิงได้รับความเสียหายอย่างมาก

กล่าวตรงๆ เขามีวาสนามังกรของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ สายเลือดยอดเยี่ยม อย่างน้อยยังนับได้ว่าเป็นสายเลือดโบราณ โอกาสสำเร็จเมื่อเทียบกับซินอู๋เหินควรจะสูงกว่า

จนกระทั่งถึงรูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่เก้าและสิบจึงมีปฏิกิริยาเล็กๆ

แต่ว่าเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาของสองรูปปั้นศิลาครองสวรรค์นี้กลับไม่มีการตอบสนองกับจ้าวเฟิง ยังคงเงียบงัน

หลังจากที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง จ้าวเฟิงที่มักจะทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่นง่ายดายก็ปรากฏความรู้สึกหลากหลายขึ้นมา

ทว่าเมื่อคิดว่าซินอู๋เหินเองก็ทำไม่สำเร็จก็นับว่าเท่าเทียม

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนร่างของจ้าวเฟิง นัยน์ตาทั้งคู่ของมันจับจ้องไปยังรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ สีหน้าปรากฏความสูงส่งขึ้นมาประการหนึ่ง

ในยามนี้

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้า หยูเทียนฮ่าว ชื่อเฉิงเทียน ปิงเว่ยเซียนจื่อ และตันไถ่หลันเยว่ ทั้งสี่คนต่างได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามาหมดแล้ว

อัจฉริยะเซียนมังกรเกินกว่าครึ่งเองก็ได้ครอบครองพลังเหล่านั้น

จ้าวเฟิงเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่ ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำล้วนเป็นจุดสนใจ

“จ้าวเฟิงผู้นี้เป็นอันใดกัน? ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเช่นนั้นหรือ?”

อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนสายตาส่องประกายระริก กระทั่งเผยสีหน้ายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นออกมา

ใช่แล้ว

ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ จ้าวเฟิงได้พุ่งทะยานขึ้นราวกับดาวหาง สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเทพเจ้าที่แปลงกายมา เป็นม้ามืดอันดับหนึ่ง เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใหม่ ได้ครอบครองวาสนาไว้มากจนเกินไป

ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่ปรากฏความริษยาอยู่ในใจ

“ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าหลายคน หลังจากที่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังก็ได้เข้าสู่ขั้นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้”

“เฮ้ หากจ้าวเฟิงไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา บางทีพลังอาจจัดอยู่เพียงในยี่สิบอันดับแรก”

อัจฉริยะหลายคนลอบมองทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของจ้าวเฟิงอย่างลับๆ

จ้าวเฟิงยังคงสงบนิ่ง เผชิญหน้ากับภูเขารูปปั้นศิลา สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่

เมื่อมองไปยังสีหน้าของจ้าวเฟิง ผู้คนต่างก็อดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่าจ้าวเฟิงเพียงแค่ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา

“หึ จ้าวเฟิงผู้นี้ใช้วิธีการชั่วร้ายไร้ยางอายในการขึ้นมาสูงถึงระดับของผู้ถูกเลือก บัดนี้ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามานับว่าเป็นเคราะห์กรรมแล้ว”

บนใบหน้างดงามราวหยกของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ปรากฏจิตสังหารเย็นเยียบและความเยาะเย้ยขึ้น

เบื้องหลังนางคือเงาเทพธิดาหิมะขนาดยักษ์ที่อยู่บนแท่นดอกบัวน้ำแข็ง สร้างความเย็นเยียบที่แช่แข็งทุกสิ่งขึ้นในอากาศ

ในระยะหนึ่งลี้รอบกายของปิงเว่ยเซียนจื่อคือโลกแห่งความหนาวเย็น เพียงแค่ใช้ความเย็นของอาณาเขตนี้ก็สามารถแช่แข็งผู้ฝึกตนขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้แล้ว

นางไม่รู้ว่าเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาของนางนั้น ครั้งหนึ่งคือสิ่งที่จ้าวเฟิงไม่ต้องการ

“เปิดทางให้ข้า”

ปิงเว่ยเซียนจื่อตวาด ร่างกลับกลายเป็นเงาที่ส่องประกายแสงเย็นเยียบพุ่งวูบตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิง

ทุกที่ที่นางเหยียบย่างได้ปรากฏคลื่นความเย็นพัดหวนออกไปทั่วทุกทิศทาง

เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรตื่นตะลึง ทว่าก็ยังคงหลีกทางให้

แม้ว่าอัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนจะได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามา พลังเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ทว่าพลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้โดยพื้นฐานนักว่าแข็งแกร่งอยู่แล้ว เจตจำนงที่ได้รับเองก็แข็งแกร่งกว่า กระทั่งสามารถฆ่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั่วไปได้ในเสี้ยววินาที

อัจฉริยะเซียนมังกรคนสองคนตอบสนองช้าเกินไป เข้าปะทะอย่างมั่นใจ ทว่าได้ถูกแช่แข็งโดยคลื่นความเย็นในทันที

อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งสองสีหน้าแข็งค้าง แม้ต้องการจะเอ่ยพูดแต่กลับพบว่าร่างกายถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่งเงาเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเบื้องหลังยังปรากฏความแข็งเกร็งขึ้น

“ผู้ถูกเลือก สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นผู้ถูกเลือก”

“บางทีผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้อาจไม่มีใครสามารถต่อต้านพลังความเย็นมหาศาลของปิงเว่ยเซียนจื่อได้”

อัจฉริยะจำนวนมากมองไปยังร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อที่ทะยานร่างไปด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ดีแล้ว เป้าหมายของนางคือพี่จ้าวเฟิง”

สีหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยเปลี่ยนแปลงไป ราวกับปักษาวิญญาณที่ถลาบิน ไล่ตามไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า

เงาเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเบื้องหลังนางคือภูตผีเสื้อ กลุ่มแสงไหลเวียนงดงาม ท่าทียิ่งใหญ่ ในด้านนี้มีเพียงเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาของหยูเทียนฮ่าวที่สามารถเทียบเคียงได้

หลังจากที่ได้ครอบครองพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลา ขอบเขตจิตวิญญาณและความเข้าใจในการฝึกตนของจ้าวหยูเฟ่ยก็พลันเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ พลังฝึกตนได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้สำเร็จ

ในด้านความเร็ว จ้าวหยูเฟ่ยไม่ด้อยไปกว่าปิงเว่ยเซียนจื่อ

สองสาวงามได้พุ่งตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความรวดเร็ว

นี่ได้ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนมองไปด้วยความอึ้งตะลึง

คนที่ฉลาดย่อมรับรู้ได้ถึงจิตสังหารบนร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อ

เชื่อมโยงไปยังความแค้นระหว่างจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อที่เริ่มขึ้นตั้งแต่รอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่จนกระทั่งถึงยามนี้

ใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิงตรงๆ

ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า เสียสติคิดเข่นฆ่าโดยไม่สนว่าจะต้องเสียสิ่งใด ย่อมสร้างอันตรายอย่างมากให้แก่จ้าวเฟิง

“ล้มเหลว ดูเหมือนว่ากลิ่นอายบนรูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่สามกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ อาจจะหายไปได้ตลอดเวลา”

สายตาจ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ ล้มเหลวซ้ำๆ

ในยามนี้

จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบเจือจาง จิตใจพลันหนาวเยือก

สายตาของเด็กหนุ่มกวาดมอง เห็นปิงเว่ยเซียนจื่อที่เบื้องหลังปรากฏเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลา นำพาบรรยากาศเย็นเยียบรอบกายมาพร้อมกับพุ่งตรงมาหาเขาโดยไม่สนสิ่งอื่นใด

“พลังของปิงเว่ยเซียนจื่อเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวอย่างสมบูรณ์ การโจมตีครั้งหนึ่งของนาง ข้าคงต้องใช้สามกระบวนท่าในการแก้ไข”

ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความร้อนรนขึ้น

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจที่จะลองพยายามเป็นครั้งสุดท้าย

หากล้มเหลวอีกครั้ง ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงล่าถอยยังสามารถเลือกเจตจำนงของรูปปั้นศิลาอื่นๆ ได้

ในยามนี้ แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงหวนคืนสู่สามัญ เข้าสู่ขอบเขตลึกลับ ราวกับหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน

“แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหวนคืนสู่สามัญ หลอมรวมกับฟ้าดิน”

ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏพลังอำนาจที่ไม่อาจมองเห็นออกมา ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ความคิดจิตสำนึกลึกล้ำอย่างไม่อาจหยั่งถึง

ทุกสตินึกคิดของจ้าวเฟิงเพ่งไปยังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า

เมื่อทุกสิ่งไปรวมกันอยู่ที่ดวงตาเทพเจ้า เด็กหนุ่มก็เริ่มการเชื่อมต่อความคิดที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์

ตุบ ตุบ ตุบ

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันเต้นตุบ ส่งกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา พร้อมกับสตินึกคิดที่แทรกซึมเข้าไป

จากนั้น

บนลานประลองลอยฟ้า มรดกสายเลือดของอัจฉริยะหลายคนพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบาย รวมทั้งปิงเว่ยเซียนจื่อที่กำลังเข้าใกล้มาด้วย

ปิงเว่ยเซียนจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ทว่าไม่ใส่ใจ ยังคงมุ่งหน้าตรงไปเข่นฆ่าจ้าวเฟิงต่อไป

ในสายตาของนาง เด็กหนุ่มผมฟ้าที่เป็นเพียงจุดเล็กๆ กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ใกล้ ใกล้เข้าไปอีก

“กลิ่นอายของยุคบรรพกาล… อย่าได้บอกข้าว่าเป็น…”

น้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ดังขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง สร้างความตื่นตะลึงให้แก่เด็กหนุ่ม

หากลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่ารูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่สามที่หม่นแสงลงได้เริ่มที่จะส่องแสงขึ้นอีกครั้ง

รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สามมีรูปลักษณ์เหมือนเอเลี่ยน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงินอมดำ ดวงตาสีดำลึกล่ำคู่นั้นราวกับก้นบึ้งของหลุมดำ ในมือถือง้าวมังกรสีเขียว ใต้เท้าปรากฏร่างของมังกรปีศาจพร้อมเปลวเพลิงสีดำที่ลุกโชน รอบกายปรากฏดอกบัวสีเขียวงดงามท่ามกลางควันดำทมิฬ

เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันดูราวกับราชาปีศาจที่มองสรวงสวรรค์ด้วยความหยามหยัน

รูปปั้นราชปีศาจนี้ได้ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับมาจากสถานที่ที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างใด

ในวินาทีนั้น กลิ่นอายของรูปปั้นศิลาในภูเขารูปปั้นศิลาพลันหยุดชะงัก ราวกับกำลังทำความเคารพราชาปีศาจอยู่

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิงได้เชื่อมต่อกับความนึกคิดของรูปปั้นราชาปีศาจได้สำเร็จ

“ฮ่า… เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่ายุคแห่งบรรพกาลจะสิ้นสุดไป ทว่าพลังสายเลือดแห่งความบ้าคลั่งยังคงไหลเวียนอยู่ในฟ้าดิน… ไม่มีข้อยกเว้นใดเลยหรือ? สามารถได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวตนเช่นนั้น มันจะเป็นเกียรติมากมายเพียงใดกัน”

น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเย็นเยียบดังก้องขึ้นในจิตใจของจ้าวเฟิง

“มา”

จ้าวเฟิงรับรู้ได้ว่าปิงเว่ยเซียนจื่อได้เข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งลี้แล้ว ไม่อาจที่จะชักช้าได้อีกต่อไป

แม้ว่าเขาจะรู้ว่ารูปปั้นราชาปีศาจนั่นอาจจะ ‘รับรู้ตนเอง’ เป็นผู้อื่น แต่ตราบเท่าที่สามารถได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาของอีกฝ่ายได้ เหตุใดจะไม่ยอมไหลตามน้ำไปกัน

“เจ้าตัวเลวร้ายจ้าวเฟิง ตายซะ”

ปิงเว่ยเซียนจื่อตวาด ใบหน้าเย็นชา ในมือขาวปรากฏฟินิกซ์หิมะขนาดหลายสิบหลาที่ราวกับมีชีวิตขึ้น แพร่บรรยากาศเย็นเยียบราวกับจะแช่แข็งฟ้าดินออกมา ทำให้ระยะหนึ่งลี้รอบกายถูกแช่แข็ง

ในยามนั้น รอบกายของนางในระยะหนึ่งลี้ก็ได้กลับกลายเป็นดินแดนน้ำแข็งไป

วิชาธาตุน้ำแข็งที่น่าพรั่นพรึ่งเช่นนี้ได้ทำให้เหล่าอัจฉริยะที่เห็นภาพนั้น รวมทั้งยอดฝีมือผู้อาวุโสด้านนอกบางคนต้องเปลี่ยนสีหน้าไป

“พลังของปิงเว่ยเซียนจื่อในยามนี้บางทีอาจเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำได้แล้ว”

“เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา เจ้าของรูปปั้นศิลาเหล่านี้เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน”

นอกลานประลองได้ตื่นตะลึงไปกับพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งที่ปิงเว่ยเซียนจื่อแสดงออกมา

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างได้มีความเย็นเยียบมหาศาลกัดกิน โลหิตทั่วทั้งร่างราวกับจับตัวแข็งในเสี้ยววินาที ลมหายใจที่พ่นออกมาปรากฏเป็นไอหมอก

ในยามนี้

ครืนนน เปรี้ยง

เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่สูงกว่าเก้าร้อยหลาได้พุ่งมายังลานประลองลอยฟ้าจากความว่างเปล่า

เงาที่ยิ่งใหญ่เกินผู้ใดนั้นราวกับราชาปีศาจ ใต้ฝ่าเท้าปรากฏกลุ่มหมอกควันสีทมิฬ มังกรปีศาจส่งเสียงคำรามแผ่วเบา ดอกบัวเขียวงดงามรอบกายส่งควันสีดำออกมา ครอบคลุมท้องฟ้าปิดป้องดวงอาทิตย์อย่างโอหัง

“สวรรค์… นั่นมันตัวอะไรกัน”

“หนึ่งในเจ้าของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ ยามยังมีชีวิตอยู่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเทพเจ้าในยุคโบราณ”

ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงในใจตื่นตะลึงสั่นสะท้าน

บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนลมหายใจติดขัด ราวกับถูกปกคลุมด้วยเงาบางอย่าง เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเบื้องหลังสั่นสะท้าน

“นั่น นั่นมัน”

ฟินิกซ์หิมะตัวใหญ่หลายสิบหลาของปิงเว่ยเซียนจื่อถลาร่อน สร้างพายุคลื่นความเย็นมุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง

แม้ว่าการโจมตีของนางจะถูกส่งออกไปแล้ว ทว่ากลับชะงักแข็งด้วยอำนาจของปีศาจที่ไม่อาจเทียบเคียง เจตจำนงที่แข็งแกร่งได้ทำให้ความคิดที่จะขัดขืนของนางถดถอยลง

“ไสหัวไป”

จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ว่าเจตจำนงของเขาสูงส่งเทียบเคียงราวกับสวรรค์ บนร่างได้ส่งพลังวิญญาณออกมา ทำลายความเย็นบนร่างไป

ร่างของจ้าวเฟิงกลายเป็นเพียงเสี้ยวเงาพร่าเลือน ฝ่าเท้าหนึ่งถีบไปยังท้องน้อยของปิงเว่ยเซียนจื่อในเสี้ยวพริบตา

ปิงเว่ยเซียนจื่อกระอักเลือดพรวดออกมากลางอากาศ

ไม่ต้องรอให้นางตกถึงพื้น เงานั้นก็ขยับวูบอีกครั้ง

เปรี้ยง ผวะ

เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่เบื้องหลังปรากฏเงาปีศาจอันยิ่งใหญ่ไม่อาจเทียบได้ทิ้งตัวลงจากฟ้า กระทืบลงที่ช่วงล่างของหญิงสาว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version