บทที่ 381 : เหยียบย่ำ
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ทั้งสิบท่ามกลางดินแดนที่มืดมิดราวกับเทพเจ้าทั้งสิบที่เหยียดหยามทั้งอดีตและปัจจุบัน เหนือกว่าเทพเซียนปีศาจอื่นๆ ในภูเขารูปปั้นศิลาไป
หลังจากที่หยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ยเลือก รูปปั้นศิลาครองสวรรค์เหล่านี้ก็ได้หม่นแสงลงอย่างเงียบงัน
อันดับแรกและอันดับสองได้ดับแสงลงจนหมดสิ้น กลับสู่ห้วงการหลับลึก
อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเกียรติยิ่งนักเมื่อมันเป็นรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สูงมากกว่าหกร้อยหลาเป็นอย่างน้อย
สามอันดับแรกสูงมากถึงเก้าร้อยหลา ใกล้เคียงหนึ่งพันหลา ส่วนอีกเจ็ดรูปหลายตัวสูงมากถึงเจ็ดแปดร้อยเมตร
อันดับหนึ่งและสองหายไปแล้ว เป้าหมายของจ้าวเฟิงจึงเป็นอันดับสาม
เด็กหนุ่มคิดว่าการเชื่อมต่อกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์อันดับสามย่อมง่ายดาย
ทว่าผลลัพธ์คือไม่มีปฏิกิริยา
เจตจำนงในรูปปั้นศิลาครองสวรรค์เต็มไปด้วยอำนาจหยิ่งยโส แม้ตวาดก็สั่นสะท้านฟ้าดิน สูงศักดิ์อย่างไม่ธรรมดา ย่อมดูแคลนมดปลวกชนรุ่นหลังที่มาหา
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพรสวรรค์สายเลือดของข้าไม่อาจเทียบได้กับหยูเทียนฮ่าวและจ้าวหยูเฟ่ย?”
จ้าวเฟิงไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนไปลองกับรูปปั้นที่สูงเป็นอันดับสี่
ล้มเหลว
รูปปั้นที่ห้าก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
ยังคงเป้นความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง
จ้าวเฟิงได้รับความเสียหายอย่างมาก
กล่าวตรงๆ เขามีวาสนามังกรของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ สายเลือดยอดเยี่ยม อย่างน้อยยังนับได้ว่าเป็นสายเลือดโบราณ โอกาสสำเร็จเมื่อเทียบกับซินอู๋เหินควรจะสูงกว่า
จนกระทั่งถึงรูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่เก้าและสิบจึงมีปฏิกิริยาเล็กๆ
แต่ว่าเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาของสองรูปปั้นศิลาครองสวรรค์นี้กลับไม่มีการตอบสนองกับจ้าวเฟิง ยังคงเงียบงัน
หลังจากที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง จ้าวเฟิงที่มักจะทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่นง่ายดายก็ปรากฏความรู้สึกหลากหลายขึ้นมา
ทว่าเมื่อคิดว่าซินอู๋เหินเองก็ทำไม่สำเร็จก็นับว่าเท่าเทียม
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนร่างของจ้าวเฟิง นัยน์ตาทั้งคู่ของมันจับจ้องไปยังรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ สีหน้าปรากฏความสูงส่งขึ้นมาประการหนึ่ง
ในยามนี้
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้า หยูเทียนฮ่าว ชื่อเฉิงเทียน ปิงเว่ยเซียนจื่อ และตันไถ่หลันเยว่ ทั้งสี่คนต่างได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามาหมดแล้ว
อัจฉริยะเซียนมังกรเกินกว่าครึ่งเองก็ได้ครอบครองพลังเหล่านั้น
จ้าวเฟิงเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่ ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำล้วนเป็นจุดสนใจ
“จ้าวเฟิงผู้นี้เป็นอันใดกัน? ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเช่นนั้นหรือ?”
อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนสายตาส่องประกายระริก กระทั่งเผยสีหน้ายินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นออกมา
ใช่แล้ว
ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ จ้าวเฟิงได้พุ่งทะยานขึ้นราวกับดาวหาง สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเทพเจ้าที่แปลงกายมา เป็นม้ามืดอันดับหนึ่ง เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใหม่ ได้ครอบครองวาสนาไว้มากจนเกินไป
ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่ปรากฏความริษยาอยู่ในใจ
“ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าหลายคน หลังจากที่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังก็ได้เข้าสู่ขั้นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้”
“เฮ้ หากจ้าวเฟิงไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา บางทีพลังอาจจัดอยู่เพียงในยี่สิบอันดับแรก”
อัจฉริยะหลายคนลอบมองทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของจ้าวเฟิงอย่างลับๆ
จ้าวเฟิงยังคงสงบนิ่ง เผชิญหน้ากับภูเขารูปปั้นศิลา สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่
เมื่อมองไปยังสีหน้าของจ้าวเฟิง ผู้คนต่างก็อดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่าจ้าวเฟิงเพียงแค่ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา
“หึ จ้าวเฟิงผู้นี้ใช้วิธีการชั่วร้ายไร้ยางอายในการขึ้นมาสูงถึงระดับของผู้ถูกเลือก บัดนี้ไม่ได้รับเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามานับว่าเป็นเคราะห์กรรมแล้ว”
บนใบหน้างดงามราวหยกของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ปรากฏจิตสังหารเย็นเยียบและความเยาะเย้ยขึ้น
เบื้องหลังนางคือเงาเทพธิดาหิมะขนาดยักษ์ที่อยู่บนแท่นดอกบัวน้ำแข็ง สร้างความเย็นเยียบที่แช่แข็งทุกสิ่งขึ้นในอากาศ
ในระยะหนึ่งลี้รอบกายของปิงเว่ยเซียนจื่อคือโลกแห่งความหนาวเย็น เพียงแค่ใช้ความเย็นของอาณาเขตนี้ก็สามารถแช่แข็งผู้ฝึกตนขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้แล้ว
นางไม่รู้ว่าเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาของนางนั้น ครั้งหนึ่งคือสิ่งที่จ้าวเฟิงไม่ต้องการ
“เปิดทางให้ข้า”
ปิงเว่ยเซียนจื่อตวาด ร่างกลับกลายเป็นเงาที่ส่องประกายแสงเย็นเยียบพุ่งวูบตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิง
ทุกที่ที่นางเหยียบย่างได้ปรากฏคลื่นความเย็นพัดหวนออกไปทั่วทุกทิศทาง
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรตื่นตะลึง ทว่าก็ยังคงหลีกทางให้
แม้ว่าอัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนจะได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลามา พลังเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ทว่าพลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้โดยพื้นฐานนักว่าแข็งแกร่งอยู่แล้ว เจตจำนงที่ได้รับเองก็แข็งแกร่งกว่า กระทั่งสามารถฆ่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั่วไปได้ในเสี้ยววินาที
อัจฉริยะเซียนมังกรคนสองคนตอบสนองช้าเกินไป เข้าปะทะอย่างมั่นใจ ทว่าได้ถูกแช่แข็งโดยคลื่นความเย็นในทันที
อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งสองสีหน้าแข็งค้าง แม้ต้องการจะเอ่ยพูดแต่กลับพบว่าร่างกายถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ในระยะเวลาสั้นๆ กระทั่งเงาเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเบื้องหลังยังปรากฏความแข็งเกร็งขึ้น
“ผู้ถูกเลือก สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นผู้ถูกเลือก”
“บางทีผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้อาจไม่มีใครสามารถต่อต้านพลังความเย็นมหาศาลของปิงเว่ยเซียนจื่อได้”
อัจฉริยะจำนวนมากมองไปยังร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อที่ทะยานร่างไปด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ดีแล้ว เป้าหมายของนางคือพี่จ้าวเฟิง”
สีหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยเปลี่ยนแปลงไป ราวกับปักษาวิญญาณที่ถลาบิน ไล่ตามไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เงาเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาเบื้องหลังนางคือภูตผีเสื้อ กลุ่มแสงไหลเวียนงดงาม ท่าทียิ่งใหญ่ ในด้านนี้มีเพียงเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาของหยูเทียนฮ่าวที่สามารถเทียบเคียงได้
หลังจากที่ได้ครอบครองพลังที่ข้ามผ่านกาลเวลา ขอบเขตจิตวิญญาณและความเข้าใจในการฝึกตนของจ้าวหยูเฟ่ยก็พลันเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ พลังฝึกตนได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้สำเร็จ
ในด้านความเร็ว จ้าวหยูเฟ่ยไม่ด้อยไปกว่าปิงเว่ยเซียนจื่อ
สองสาวงามได้พุ่งตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความรวดเร็ว
นี่ได้ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนมองไปด้วยความอึ้งตะลึง
คนที่ฉลาดย่อมรับรู้ได้ถึงจิตสังหารบนร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อ
เชื่อมโยงไปยังความแค้นระหว่างจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อที่เริ่มขึ้นตั้งแต่รอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่จนกระทั่งถึงยามนี้
ใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของจ้าวเฟิงตรงๆ
ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา พลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า เสียสติคิดเข่นฆ่าโดยไม่สนว่าจะต้องเสียสิ่งใด ย่อมสร้างอันตรายอย่างมากให้แก่จ้าวเฟิง
“ล้มเหลว ดูเหมือนว่ากลิ่นอายบนรูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่สามกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ อาจจะหายไปได้ตลอดเวลา”
สายตาจ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ ล้มเหลวซ้ำๆ
ในยามนี้
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบเจือจาง จิตใจพลันหนาวเยือก
สายตาของเด็กหนุ่มกวาดมอง เห็นปิงเว่ยเซียนจื่อที่เบื้องหลังปรากฏเงาที่ข้ามผ่านกาลเวลา นำพาบรรยากาศเย็นเยียบรอบกายมาพร้อมกับพุ่งตรงมาหาเขาโดยไม่สนสิ่งอื่นใด
“พลังของปิงเว่ยเซียนจื่อเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวอย่างสมบูรณ์ การโจมตีครั้งหนึ่งของนาง ข้าคงต้องใช้สามกระบวนท่าในการแก้ไข”
ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความร้อนรนขึ้น
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจที่จะลองพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
หากล้มเหลวอีกครั้ง ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงล่าถอยยังสามารถเลือกเจตจำนงของรูปปั้นศิลาอื่นๆ ได้
ในยามนี้ แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงหวนคืนสู่สามัญ เข้าสู่ขอบเขตลึกลับ ราวกับหลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน
“แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหวนคืนสู่สามัญ หลอมรวมกับฟ้าดิน”
ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏพลังอำนาจที่ไม่อาจมองเห็นออกมา ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ความคิดจิตสำนึกลึกล้ำอย่างไม่อาจหยั่งถึง
ทุกสตินึกคิดของจ้าวเฟิงเพ่งไปยังเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า
เมื่อทุกสิ่งไปรวมกันอยู่ที่ดวงตาเทพเจ้า เด็กหนุ่มก็เริ่มการเชื่อมต่อความคิดที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองกับรูปปั้นศิลาครองสวรรค์
ตุบ ตุบ ตุบ
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันเต้นตุบ ส่งกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา พร้อมกับสตินึกคิดที่แทรกซึมเข้าไป
จากนั้น
บนลานประลองลอยฟ้า มรดกสายเลือดของอัจฉริยะหลายคนพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบาย รวมทั้งปิงเว่ยเซียนจื่อที่กำลังเข้าใกล้มาด้วย
ปิงเว่ยเซียนจื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ทว่าไม่ใส่ใจ ยังคงมุ่งหน้าตรงไปเข่นฆ่าจ้าวเฟิงต่อไป
ในสายตาของนาง เด็กหนุ่มผมฟ้าที่เป็นเพียงจุดเล็กๆ กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ใกล้ ใกล้เข้าไปอีก
“กลิ่นอายของยุคบรรพกาล… อย่าได้บอกข้าว่าเป็น…”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ดังขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง สร้างความตื่นตะลึงให้แก่เด็กหนุ่ม
หากลองสังเกตดูดีๆ จะพบว่ารูปปั้นศิลาครองสวรรค์รูปที่สามที่หม่นแสงลงได้เริ่มที่จะส่องแสงขึ้นอีกครั้ง
รูปปั้นศิลาครองสวรรค์ที่สามมีรูปลักษณ์เหมือนเอเลี่ยน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงินอมดำ ดวงตาสีดำลึกล่ำคู่นั้นราวกับก้นบึ้งของหลุมดำ ในมือถือง้าวมังกรสีเขียว ใต้เท้าปรากฏร่างของมังกรปีศาจพร้อมเปลวเพลิงสีดำที่ลุกโชน รอบกายปรากฏดอกบัวสีเขียวงดงามท่ามกลางควันดำทมิฬ
เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันดูราวกับราชาปีศาจที่มองสรวงสวรรค์ด้วยความหยามหยัน
รูปปั้นราชปีศาจนี้ได้ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับมาจากสถานที่ที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่างใด
ในวินาทีนั้น กลิ่นอายของรูปปั้นศิลาในภูเขารูปปั้นศิลาพลันหยุดชะงัก ราวกับกำลังทำความเคารพราชาปีศาจอยู่
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงได้เชื่อมต่อกับความนึกคิดของรูปปั้นราชาปีศาจได้สำเร็จ
“ฮ่า… เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ว่ายุคแห่งบรรพกาลจะสิ้นสุดไป ทว่าพลังสายเลือดแห่งความบ้าคลั่งยังคงไหลเวียนอยู่ในฟ้าดิน… ไม่มีข้อยกเว้นใดเลยหรือ? สามารถได้ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตัวตนเช่นนั้น มันจะเป็นเกียรติมากมายเพียงใดกัน”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเย็นเยียบดังก้องขึ้นในจิตใจของจ้าวเฟิง
“มา”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ว่าปิงเว่ยเซียนจื่อได้เข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งลี้แล้ว ไม่อาจที่จะชักช้าได้อีกต่อไป
แม้ว่าเขาจะรู้ว่ารูปปั้นราชาปีศาจนั่นอาจจะ ‘รับรู้ตนเอง’ เป็นผู้อื่น แต่ตราบเท่าที่สามารถได้ครอบครองเจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลาของอีกฝ่ายได้ เหตุใดจะไม่ยอมไหลตามน้ำไปกัน
“เจ้าตัวเลวร้ายจ้าวเฟิง ตายซะ”
ปิงเว่ยเซียนจื่อตวาด ใบหน้าเย็นชา ในมือขาวปรากฏฟินิกซ์หิมะขนาดหลายสิบหลาที่ราวกับมีชีวิตขึ้น แพร่บรรยากาศเย็นเยียบราวกับจะแช่แข็งฟ้าดินออกมา ทำให้ระยะหนึ่งลี้รอบกายถูกแช่แข็ง
ในยามนั้น รอบกายของนางในระยะหนึ่งลี้ก็ได้กลับกลายเป็นดินแดนน้ำแข็งไป
วิชาธาตุน้ำแข็งที่น่าพรั่นพรึ่งเช่นนี้ได้ทำให้เหล่าอัจฉริยะที่เห็นภาพนั้น รวมทั้งยอดฝีมือผู้อาวุโสด้านนอกบางคนต้องเปลี่ยนสีหน้าไป
“พลังของปิงเว่ยเซียนจื่อในยามนี้บางทีอาจเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำได้แล้ว”
“เจตจำนงที่ข้ามผ่านกาลเวลา เจ้าของรูปปั้นศิลาเหล่านี้เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน”
นอกลานประลองได้ตื่นตะลึงไปกับพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งที่ปิงเว่ยเซียนจื่อแสดงออกมา
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างได้มีความเย็นเยียบมหาศาลกัดกิน โลหิตทั่วทั้งร่างราวกับจับตัวแข็งในเสี้ยววินาที ลมหายใจที่พ่นออกมาปรากฏเป็นไอหมอก
ในยามนี้
ครืนนน เปรี้ยง
เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่สูงกว่าเก้าร้อยหลาได้พุ่งมายังลานประลองลอยฟ้าจากความว่างเปล่า
เงาที่ยิ่งใหญ่เกินผู้ใดนั้นราวกับราชาปีศาจ ใต้ฝ่าเท้าปรากฏกลุ่มหมอกควันสีทมิฬ มังกรปีศาจส่งเสียงคำรามแผ่วเบา ดอกบัวเขียวงดงามรอบกายส่งควันสีดำออกมา ครอบคลุมท้องฟ้าปิดป้องดวงอาทิตย์อย่างโอหัง
“สวรรค์… นั่นมันตัวอะไรกัน”
“หนึ่งในเจ้าของรูปปั้นศิลาครองสวรรค์ ยามยังมีชีวิตอยู่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเทพเจ้าในยุคโบราณ”
ผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงในใจตื่นตะลึงสั่นสะท้าน
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนลมหายใจติดขัด ราวกับถูกปกคลุมด้วยเงาบางอย่าง เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลามาเบื้องหลังสั่นสะท้าน
“นั่น นั่นมัน”
ฟินิกซ์หิมะตัวใหญ่หลายสิบหลาของปิงเว่ยเซียนจื่อถลาร่อน สร้างพายุคลื่นความเย็นมุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง
แม้ว่าการโจมตีของนางจะถูกส่งออกไปแล้ว ทว่ากลับชะงักแข็งด้วยอำนาจของปีศาจที่ไม่อาจเทียบเคียง เจตจำนงที่แข็งแกร่งได้ทำให้ความคิดที่จะขัดขืนของนางถดถอยลง
“ไสหัวไป”
จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ว่าเจตจำนงของเขาสูงส่งเทียบเคียงราวกับสวรรค์ บนร่างได้ส่งพลังวิญญาณออกมา ทำลายความเย็นบนร่างไป
ร่างของจ้าวเฟิงกลายเป็นเพียงเสี้ยวเงาพร่าเลือน ฝ่าเท้าหนึ่งถีบไปยังท้องน้อยของปิงเว่ยเซียนจื่อในเสี้ยวพริบตา
ปิงเว่ยเซียนจื่อกระอักเลือดพรวดออกมากลางอากาศ
ไม่ต้องรอให้นางตกถึงพื้น เงานั้นก็ขยับวูบอีกครั้ง
เปรี้ยง ผวะ
เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่เบื้องหลังปรากฏเงาปีศาจอันยิ่งใหญ่ไม่อาจเทียบได้ทิ้งตัวลงจากฟ้า กระทืบลงที่ช่วงล่างของหญิงสาว