บทที่ 387 : มรดกนิรนาม
ลานประลองชางกู่
ชั้นเมฆสูงเกือบจะถูกมรดกงดงามยิ่งใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักครอบคลุมไปทั้งหมด มีพลังที่ครอบคลุมท้องนภาอยู่เล็กๆ อากาศของลานประลองชางกู่สั่นสะท้านเล็กๆ ปรากฏความไม่เสถียรขึ้น
เมื่อมองจากที่ไกลๆ ภาพมรดกนั้นราวกับภาพกระจกน้ำที่กระเพื่อมไหวไม่มั่นคง ราวกับภาพมิติอีกมิตินั้นเป็นภาพมายา ความจริงแล้วกลับไม่ธรรมดา กลิ่นอายดูเป็นความจริงนัก
“เปรี้ยง!”
มรดกที่แข็งแกร่งเช่นมรดกความลับสวรรค์กลับถูกเงามรดกลึกลับนั้นกระแทกอย่างรุนแรง
มรดกเล็กๆ ใกล้ๆ ได้กระจายหายไปในทันที
เฮือก!
การเปลี่ยนแปลงนั้นได้สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกร
ฟุ่บ!
เก้าผู้สูงศักดิ์แทบจะผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ใบหน้าตื่นตระหนกมองไปยังมรดกนิรนาม
ภาพมรดกนั้น ในประวัติศาสตร์ของทวีปบุปผาครามไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
“ด้วยพลังของทวีปบุปผาคราม จะเป็นไปได้อย่างไรที่ภาพมรดกที่แข็งแกร่งเพียงนั้นจะปรากฏขึ้น”
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงที่มักจะเยือกเย็นอยู่เสมอสีหน้าได้ขาวซีดลง
ตั้งแต่ลานประลองชางกู่จัดการงานชุมนุมเซียนมังกรด้วยตนเอง สหัพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้สูญเสียการควบคุมมันไป
ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทิศทางที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
มรดกที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนี้มีที่มาอย่างไรกัน?
แล้วเหตุใดจู่ๆ จึงมายังทวีปบุปผาคราม?
“รองหัวหน้าสหพันธ์ กลิ่นอายของมรดกนี้พิเศษนัก มีความเชื่อมต่อกับไอสวรรค์สูงมาก ดังนั้นจึงมาถึงยังทวีปบุปผาครามได้แม้จะยากลำบาก”
ผู้สูงศักดิ์เคราขาวที่เชี่ยวชาญในด้านของค่ายกล หลังจากที่เพ่งสังเกตก็รีบเอ่ยออกมาอย่างเร่งรีบ
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าคาดเดาว่าด้วยเหตุผลบางอย่างได้ดึงดูดให้มรดกนิรนามนั่นมายังที่แห่งนี้
เรื่องนี้
สายตาของผู้ฝึกตนเฒ่าไป๋หยุนมองไปยังจ้าวหยูเฟ่ยอย่างไม่ละสายตา สีหน้าปะปนไปด้วยความกระวนกระวายและตื่นเต้น
จ้าวหยูเฟ่ยนั่งขัดสมาธิ เบื้องหลังปรากฏปีกแสงกึ่งโปรงใสขี้น ส่องประกายหลากสีขึ้นจางๆ
เมื่อแมวขโมยตัวน้อย ‘ช่วย’ จ้าวหยูเฟ่ยผ่านอันตรายไปได้ พลังฝึกตนของนางก็คงที่ การเปลี่ยนแปลงของสายเลือดก็เริ่มมั่นคง
“มีเพียงแค่สายเลือด ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ที่จะมีพลังดึงดูดมรดกนิรนามเช่นนี้ ในทางกลับกัน สายเลือดอื่นๆ รวมทั้งสามสายเลือดดวงตานับว่าไม่อาจเทียบได้”
ผู้ฝึกตนเฒ่าไป๋หยุนมั่นใจในเรื่องนี้
เขาได้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะมรดกสายเลือดในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณนั้นจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนอย่างมาก เมื่อถูกเปิดเผยออกไป ไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักเทียนหยวนเลย กระทั่งสหพันธ์แสงศักดิ์สิทธิ์ และกระทั่งทั่วทั้งทวีปบุปผาครามก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้
ฟุ่บ!
มรดกความลับสวรรค์สิ่งกลิ่นอายแปลกประหลาดออกมา ส่องประกายวูบ จางหายไปท่ามกลางเงาของมรดกนิรนามนั้น
“มรดกนิรนามนั่น อย่าบอกข้านะว่าเป็นเพราะหยูเฟ่ย…”
จ้าวเฟิงไม่ได้รับรู้ถึงการหายไปของมรดกความลับสวรรค์ ทว่ากำลังตื่นตะลึงไปกับการปรากฏขึ้นของสิ่งที่เหนือไปกว่าสี่มหามรดก
อย่าได้บอกข้าว่า
ในโลกใบนี้ ยังมีมรดกที่แข็งแกร่งกว่ามรดกความลับสวรรค์อีก
“ดูเหมือนว่าต้นเหตุจะมาจากจ้าวหยูเฟ่ย”
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงมองไปยังผู้ฝึกตนเฒ่าไป๋หยุนอย่างลึกล้ำ อีกฝ่ายคืออาจารย์ของจ้าวหยูเฟ่ย
มรดกนี้กระทั่งกระแทกมรดกความลับสวรรค์ออกไปได้ ทำให้มันหายไป อาจกล่าวได้ว่ามันกระทั่งแข็งแกร่งกว่ามรดกความลับสวรรค์?”
ผู้อาวุโสปี้เยว่เอ่ยอย่างประหลาดใจ
“มันไม่แน่หรอก ไม่ว่าจะเป็นในทวีปนี้ หรือในแดนยู่ไว่ มรดกความสวรรค์ก็นับเป็นนามที่สะท้านสะเทือนผู้คน ทวีปบุปผาครามอย่างมากก็สามารถรักษา ‘มรดกความลับสวรรค์’ ให้ปรากฏขึ้นได้ไม่นาน แต่มรดกนิรนามนั่นมีระดับสูงกว่า ชัดเจนว่ามันเหนือกว่าที่ทวีปจะรองรับได้ ทว่ากลับสามารถมาถึงได้ สามารถเห็นถึงความพิเศษของมันได้”
ผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉินเอ่ยขึ้น
บุตรชายของเขา หยูเทียนฮ่าวเพิ่งจะเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ไม่นาน
เกี่ยวกับมรดกความลับสวรรค์นั้น ทุกคนล้วนมั่นใจ
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้ายอมรับโดยพร้อมเพรียงกันว่ามรดกนิรนามนั่นอาจไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่ามรดกความลับสวรรค์ แต่ระดับของมันนับว่าสูงอย่างแน่นอน
ครืนนนน
ทะเลสาบกระจกหลากสีของมรดกนิรนามได้ลดระดับลงมาอย่างช้าๆ ทว่าไม่ได้เปิดทางเข้าขึ้นในทันที
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยวาด ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’ ยืนอยู่บนไหล่ของจ้าวหยูเฟ่ย ส่งสัญญาณไปยังจ้าวเฟิงอย่างเร่งรีบ
“แมวขโมยตัวน้อยต้องการให้ข้าเข้าไป?”
จ้าวเฟิงไม่ลังเล พุ่งตรงไปทันที
ทันใดนั้น ทะเลสาบกระจกหลากสีของมรดกนิรนามก็ได้สร้างระลอกคลื่นงดงามขึ้น
ระลอกคลื่นนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วจึงสร้างน้ำวนหลากสีขึ้นราวกับอสรพิษมังกร มุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวหยูเฟ่ยอุทานออกมา ร่างกายถูกแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายได้ดึงไปไม่อาจต่อต้าน มุ่งตรงไปยังน้ำวนหลากสีนั้นเล็กๆ
“หยูเฟ่ย!”
จ้าวเฟิงอุทานออกมา รีบจับตัวจ้าวหยูเฟ่ยไว้อย่างรวดเร็ว
ทว่า
แรงดึงของน้ำวนนั้นรวดเร็วเกินไป ยามที่จ้าวเฟิงไปถึง ร่างของจ้าวหยูเฟ่ยก็ถูกดึงเข้าไปกว่าครึ่งแล้ว
ที่แปลกไปกว่านั้น น้ำวนหลากสีนั้นนอกจากจ้าวหยูเฟ่ยแล้วก็ไม่ได้ดึงดูดใครเข้าไปอีก
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยพลันวาดแส้ในมือ
แส้อสรพิษโลหิตลึกลับวาดออก ยืดยาวออกหลายฟุต รัดร่างของจ้าวหยูเฟ่ยและตัวมันไว้ที่ด้านหนึ่ง อีกด้านรัดแขนของจ้าวเฟิงไว้
จากนั้น
ตราบเท่าที่น้ำวนหลากสีนั้นดึงจ้าวหยูเฟ่ยไป ย่อมต้องดึงจ้าวเฟิงเข้าไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฮ่าฮ่า แมวขโมย! เยี่ยมมาก!”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและยินดี เข้าใจในเจตนาของแวขโมยตัวน้อย
มรดกนิรนามมาถึง โอกาสนั้นเป้นของจ้าวหยูเฟ่ย
ทว่าด้วยความช่วยเหลือของแมวขโมยตัวน้อย กลับดึงจ้าวเฟิงเข้าไปด้วย
ฟุ่บ!
ด้วยแรงช่วยของแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ จ้าวเฟิงจึงลอยไปข้างกายของจ้าวหยูเฟ่ยในทันที พยายามที่จะเข้าไปในมรดกนิรนามด้วยกัน
ครืนนนน
น้ำวนหลากสีพลันปรากฏพลังลึกลับ พยายามดันร่างของจ้าวเฟิงออกไป
ทว่าวิธีการของแมวขโมยตัวน้อยนับได้ว่าไร้ยางอาย
ฟุ่บ!
แส้อสรพิษโลหิตลึกลับรัดร่างของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ น้ำวนหลากสีนั่นหากต้องการดึงจ้าวหยูเฟ่ยเข้าไป ก็ย่อมไม่อาจไล่จ้าวเฟิงออกไปได้
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงอ้าแขนออก แขนทั้งสองกอดร่างหอมกรุ่นงดงามของจ้าวหยูเฟ่ยเอาไว้แน่น กลิ่นหอมอ่อนนั้นได้สร้างความลุ่มหลงบางประการออกมา
คนทั้งสองพลันจมลงในน้ำวน ใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยแดงซ่าน แม้จะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ยินดีและอบอุ่น
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยที่รัดร่างของคนทั้งสองไว้ด้วยกันแสยะยิ้มแยกเขี้ยว
“แมวขโมยตัวน้อย ดีมาก!”
จ้าวเฟิงหัวเราะ ไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของจ้าวหยูเฟ่ย
ทว่า
เด็กหนุ่มยังไม่ทันพูดจบ ร่างก็พลันเข้าสู่วังวนสับสน ให้ความรู้สึกเหมือนยามเข้าไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่แท่นดาวเหนือ ทว่ารุนแรงกว่านับร้อยเท่า
ลานประลองชางกู่
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย รวมทั้งแมวขโมยตัวน้อยถูกน้ำวนหลากสีนั้นดูดหายไป
ครืนนน
ทะเลสาบกระจกหลากสีของมรดกนิรนามที่เคยส่องแสงสว่างจ้าได้อ่อนแสงลงอย่างรวดเร็ว จางหายไปจากลานประลองชางกู่
บนลานประลองลอยฟ้า อัจฉริยะเซียนมังกรหลายสิบคนใบหน้าว่างโล่งนิ่งอึ้ง
การปรากฏขึ้นของมรดกนิรนามนั้น รวมทั้งการดูดร่างของพวกจ้าวหยูเฟ่ยทั้งสองเข้าไปล้วนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว คนส่วนมากไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา
กระทั่งมรดกอีกมรดกเชื่อมต่อกับลานประลองชางกู่ อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหลายจึงได้เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน เข้าปะทะแย่งชิงกันอย่างรุนแรง
ในยามนี้
งานชุมนุมเซียนมังกรได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
บนแท่นสูง ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้ามองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า
งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้มีเรื่องน่าประหลาดใจคาดไม่ถึง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป
“บางทีนี่อาจนับเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มหามรดกทั้งสี่ได้ปรากฏตัวขึ้นมรดกแล้วมรดกเล่า ทั้งยังปรากฏมรดกนิรนามที่แข็งแกร่งอย่างมากขึ้นอีก”
“ซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าวเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยเข้าไปในมรดกนิรนาม ไม่รู้ว่าอนาคตของทวีป ผู้ใดจะกลายเป็นผู้ที่กำหนด”
ทั่วทั้งลานประลองชางกู่ปรากฏเสียงพูดคุยขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
สำหรับผู้ชมงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ทั้งแสนคน พวกเขานับว่ามาไม่ได้กลับไปมือเปล่า หากไม่ได้มาคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
อาจกล่าวได้ว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ยากที่จะปรากฏขึ้นให้เห็น นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สะท้านสะเทือนโลกานัก
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดมองไปยังทิศทางที่ ‘มรดกนิรนาม’ นั้นจางหายไป เอ่ยพึมพำขึ้น “จ้าวเฟิง โอกาสโชคชะตาของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก มรดกนิรนามนั้นมีระดับสูงกว่า ข้าเชื่อว่าด้วยสายเลือดดวงตาของเจ้า เจ้าย่อมไม่กลับมามือเปล่า”
ภายใต้เสียงสูดลมหายใจอย่างตื่นตะลึงและเสียงพูดคุย งานชุมนุมเซียนมังกรก็ได้สิ้นสุดลง
สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์พลันจัดการประชุมลับขึ้นในทันที
การประชุมนี้ได้ถูกจัดขึ้นโดยรองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวทองแดง
“ข้าจะกล่าวสั้นๆ! งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงชั่วคราว เหล่าอัจฉริยะที่เข้าไปในมรดกยู่ไว่ย่อมไม่กลับออกมาในระยะเวลาสั้นๆ เรื่องเร่งด่วนในยามนี้คืออีกเรื่องหนึ่ง”
ร่างยักษ์ผิวทองแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เหล่าผู้ที่เข้าร่วมการประชุมล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์มีคนจำนวนมาก นับเป็นผู้ควบคุมชีวิตผู้คนนับหมื่นล้านทั่วทั้งทวีป
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ณ ที่แห่งนั้นรู้ว่ายามนี้พวกเขาต้องจัดการเรื่องใด
“ยุคสมัยของลัทธิมารจันทราชาด เจ้าพวกชั่วร้ายนั่นได้ใช้งานชุมนุมเซียนมังกร แย่งชิง ‘มรดกจันทราชาด’ ไป เราควรจะหาแหล่งกบดานของพวกมันให้ได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“บางทีลัทธิมารจันทราชาดอาจจะสามารถเปิดมรดกจันทราชาดและเข้าไปข้างในด้วยคนจำนวนมาก หากเป็นเช่นนั้น วิกฤตในอนาคตย่อมไม่เล็กน้อย”
ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ ณ ที่นั้นเอ่ยพูดคุยกัน
การควบคุมมรดก รวมทั้งการเข้าไปในมรดกนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้
จ้าวลัทธิมารจันทราชาดนั้นเคยได้ครอบครองมรดกจันทราชาด สั่นสะท้านฟ้าดินในอดีต โอกาสที่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งนับว่ามีอยู่
“เพียงลัทธิมารจันทราชาดอย่างเดียวไม่น่ากลัวอันใด ในอดีตที่จ้าวลัทธิมารจันทราชาดแทบจะครอบครองได้ทั้งทวีปนั้น เบื้องหลังยังมีการสนับสนุนจากยู่ไว่อยู่ด้วย”
“รองหัวหน้าสหพันธ์ ท่านหมายถึง ‘ตำหนักมารจันทรา’? หากข้าจดจำไม่ผิด ‘ตำหนักมารจันทรา’ นั้นอยู่ห่างจากทวีปบุปผาครามไปมาก ในอาณาเขตนี้มีแดนเล็กๆ อยู่จำนวนมาก รวมทั้งทวีปบุปผาครามเองก็ถูกควบคุมอยู่โดย ‘หอสามเซียน’ ”
“ตำหนักมารจันทรา ในอดีตเป็นสำนักระดับสองดาวครึ่ง หลังจากที่ช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็แทบทำให้ลัทธิมารจันทราชาดสามารถครอบครองทวีปได้หลายทวีป หากไม่ใช่เพราะตำหนักมารจันทราอยู่ห่างไปมากนักและหอสามเซียนก็สนับสนุนสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์กับยอดสำนักแห่งทวีปทั้งสิบ รวมทั้งยังมีจอมดาบเย่อู๋เสี่ย ยอดฝีมือดาบเช่นนั้นปรากฏตัวขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมไม่อาจรับมือได้…”
สีหน้าของร่างยักษ์ผิวทองแดงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“รองหัวหน้าสหพันธ์ ท่านสงสัยว่าการที่ลัทธิมารจันทราชาดแย่งชิง ‘มรดกมารจันทราชาด’ ไปได้อาจมีการช่วยเหลือของ ‘ตำหนักมารจันทรา’ อยู่เบื้องหลังหรือ”
“ใช่แล้ว! เจ้าควรจะรู้ว่าอำนาจของสำนักระดับสองดาวครึ่งนั้น แม้จะมีสำนักระดับหนึ่งดาวร่วมมือกันนับร้อยก็เหมือนกับตั๊กแตนขวางรถศึก”
การประชุมดำเนินมาถึงครึ่งทาง บรรยากาศกลับเลวร้ายลงไปอีก
ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นส่งข่าวออกไป ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของแดนศักดิ์สิทธิ์ไปยังแดนตะวันออก แดนตะวันตก แดนเหนือ และแดนอื่นๆ
ในบันทึกโบราณ อำนาจของสำนักได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าดาว ตั้งแต่ครึ่งดาวจนถึงห้าดาวที่นับเป็นระดับสูงที่สุด
กลุ่มอำนาจเช่นลัทธิโลหะเลือดนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง มีระดับครึ่งดาว ใกล้เคียงหนึ่งดาว
สิบยอดสำนัก ส่วนมากสามารถนับว่าเป็นสำนักหนึ่งดาวได้อย่างกล้ำกลืน
ในอดีต ลัทธิโลหะเลือดนับเป็นสำนักระดับหนึ่งดาว กระทั่งอาจใกล้เคียงกับหนึ่งดาวครึ่ง
การแบ่งระดับสำนักเช่นนี้ หากออกจากปากของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดย่อมไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จ้าวเฟิงท รวมทั้งอัจฉริยะเซียนมังกรที่เข้าไปในมรดกยู่ไว่คนอื่นๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องไปชั่วคราว