บทที่ 473 ผู้กุมบังเหียนลัทธิมารจันทราชาด
จ้าวเฟิงหรี่ตามองตามร่างของผู้อาวุโสไป๋ที่อุ้มชางหยูเยว่จากไป
“ผู้อาวุโสไป๋ผู้นี้ไม่ใช่คนของแคว้นเมฆา ไม่มีเหตุผลใดให้ต้องมารุกรานพื้นที่ของสำนักจันทร์สลาย คงต้องการทำบางอย่างเป็นแน่”
บนใบหน้าของหลินทงเต็มไปด้วยความหดหู่เกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงมาทัน เขาก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสไป๋จะทำอันใดกับเขาบ้าง
หลินทงคับแค้นใจอย่างมาก รู้สึกชิงชังผู้อาวุโสไป๋
“สตรีผู้นี้มีพลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด พลังภายใจลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา พวกเราหวังว่านางจะไม่มาวุ่นวายต่อสถานการณ์ของแคว้นเมฆา”
ผู้เฒ่าซู่ถอนหายใจ
ยามที่เผชิญหน้ากับ ‘ผู้อาวุโสไป๋’ ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าซู่หรือนายเหนือเซียวเหยาต่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
“ในยามนี้ ดูเหมือนนางจะเป็นกำลังเสริมที่ชางหยูเยว่นำมาเพื่อปกป้องตนเองโดยเฉพาะ”
จ้าวเฟิงไม่ได้เชื่อในคำพูดของหลินทงในทันที
เมื่อเทียบวิเคราะห์ดูแล้ว การเข้ามาในแคว้นเมฆาของผู้อาวุโสไป๋ควรจะอยู่ฝั่งเดียวกับจ้าวเฟิงและพันธมิตรสังหารมังกรในแนวหน้า
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สถานการณ์ของแคว้นเมฆาก็ไม่ต้อนรับคนนอก”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงหดเล็กลง ส่องประกายเย็นชาวูบ
การกลับมายังแคว้นเมฆาครั้งนี้ของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มไม่ได้นำกำลังเสริมใดๆ มา
หลังจากเรื่องวุ่นวาย
จ้าวเฟิงก็กลับไปยังตำหนัก ปิดด่านฝึกตนอย่างเยือกเย็น
จากการต่อสู้กับชางหยูเยว่ จ้าวเฟิงได้เข้าใจในหลายๆ สิ่ง
ในเวลาเดียวกัน พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็เพิ่งจะเพิ่มสูงขึ้น เพียงเพิ่งออกจากการปิดด่าน จำต้องปรับตัว
หลังจากครึ่งวัน
กลิ่นอายพลังปราณบนร่างของจ้าวเฟิงก็จางหายไป แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในจุดตันเถียนได้ขยายออกเป็นวงกว้าง แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในรูปแบบของเหลวส่องประกายสีเขียวเข้ม ดูเข้มข้นกว่าเมื่อก่อนเท่าหนึ่ง ปราณจิตวิญญาณรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด เคลื่อนไหวราวสายลม ภายในร่างส่งเสียงครืดคราดออกมา กลิ่นอายนั้นทั้งแหลมคมและทรงพลัง ลำบากเพียงขยับมือก็สามารถจัดการผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย
ขอบเขตขั้นนายเหนือแท้ ‘ปราณจิตวิญญาณ’ ในร่างอาจกล่าวได้ว่ามหาศาล ทั้งยังสลายปราณแท้ของขอบเขตรวบรวมปราณได้อย่างง่ายดาย
คล้ายคลึงกัน ปราณแท้ของขอบเขตรวบรวมปราณเพียงส่วนหนึ่งก็สามารถสลายพลังภายใน ของขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้อย่างง่ายดาย
“ยุทธภพมีเจ็ดขอบเขตใหญ่ ข้าได้เข้าสู่ขอบเขตที่สามรวดเร็วนัก”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจอย่างสะเทือนใจ
จากคำเล่าขานที่บอกต่อกันมา มันมีขอบเขตการฝึกตนทั้งหมดเจ็ดขอบเขต: ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ (เก้าขั้นของผู้ฝึกตน) ขอบเขตรวบรวมปราณ (หนทางแห่งเซียน) ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขอบเขตปราณเทวะ ขอบเขตเทวาเร้นลับ และขอบเขตเซียนสวรรค์
ในยามนี้ จ้าวเฟิงอยู่ในสวรรค์ที่สามของขอบเขตปราณจิตวิญญาณ ‘ขั้นนายเหนือแท้’ นับว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของแคว้นเมฆาแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในทวีปก็ยังนับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า
หลังผ่านไปชั่วขณะ จ้าวเฟิงทำใจให้สงบ สตินึกคิดล่องลอบไปสู่ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ มรดกอาวุธวิเศษชั้นดินนี้ หลังจากกลับมายังทวีปบุปผาคราม จ้าวเฟิงก็ไม่กล้าที่จะนำ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ออกมาง่ายๆ
เขารู้ดีว่าอาวุธวิเศษชั้นดินนั้น ทั่วทั้งทวีป ดีที่สุดก็มีเพียงแค่อาวุธชั้นดินที่ไม่สมบูรณ์ ราชวงศ์นั้นนับเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึงสำหรับทวีปบุปผาครามในยามนี้
ในทวีปยามนี้มีเพียงแคว้นเล็ก แคว้นใหญ่ และอาณาจักร ทว่าสำหรับ ‘ราชวงศ์’ ระดับสูงนั้นนับว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ทว่าใน ‘ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่’ นับว่าเป็นผู้ปกครอง ครอบครองโชคชะตาแห่งฟ้าดิน เมื่ออาวุธวิเศษถือกำเนิดขึ้นบนโลก ‘ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่’ ก็ได้ถูกทำลายลงในเวลาชั่วข้ามคืน
นับแต่บัดนั้น ราชวงศ์ก็กลายเป็นตำนาน กลายเป็นสิ่งต้องห้าม
“หอกจักรพรรดิเหมันต์ในมือข้าคืออาวุธชั้นดินที่ไม่สมบูรณ์ สูญเสียสติปัญญา พลังส่วนมากยังคงอยู่ในสภาวะหลับลึก…”
จ้าวเฟิงสำรวจอย่างละเอียด
หลังจากที่ยอมรับแล้ว ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ก็เปลี่ยนเป็นของเหลวหลอมรวมเข้ากับร่างกาย กลายเป็นเนื้อเดียวกับสายเลือด มันเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดจนเหมือนกับหายไป
ทว่า จ้าวเฟิงผู้เป็นนายสามารถรับรู้ถึงสำนึกรู้ของเหมันต์โบราณจากมรดกอาวุธวิเศษภายในสายเลือดได้ พลังธาตุของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ เข้ากันกับสายเลือดของจ้าวเฟิงอย่างมาก สามารถทำความเข้าใจได้
เมื่อเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มก็ดูดกลืนแก่นแท้ของสายน้ำและน้ำแข็ง การใช้พลังสายเลือดในร่างได้เข้าสู่ระดับใหม่
หลังจากผ่านไปหลายวัน
“หอกจักรพรรดิเหมันต์ในร่างของข้าอยู่ในสภาวะกึ่งหลับลึก หากข้าใช้พลังสายเลือดอย่างเต็มที่จะสามารถใช้พลังของมันได้บ้าง”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้น ในใจเตรียมตัวจะสร้างเรื่อง ทว่าความคิดนี้ได้ถูกเด็กหนุ่มกดข่มลงไป กลิ่นอายของอาวุธชั้นดินไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเปิดเผยออกไปมั่วซั่วได้
เหมือนกับคนทั่วไปที่จู่ๆ ก็ได้รับพลังที่น่าพรั่นพรึงมา สร้างความรู้สึกตื่นเต้น คาดหวัง รวมทั้งความไม่สบายใจและกระวนกระวาย
ป่าเมฆาคล้อย
เขตชายแดนของสิบสามแคว้นและแคว้นใหญ่ ทะเลสาบยักษ์ในส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย
วันหนึ่ง
ทะเลสาบในป่านี้ได้ปรากฏเสียงคำรามต่ำดังขึ้น
‘ซ่า’ งูหลามสีดำยาวกว่าสองร้อยฟุตทะยานออกมาจากทะเลสาบ สร้างคลื่นยักษ์น่าตื่นตะลึง กลิ่นอายกระหายเลือดรุนแรง ทำให้สัตว์ปีศาจในระยะสิบลี้โดยรอบต้องสั่นสะท้าน ส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อยมีร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีลอยอยู่ราวกับวิญญาณ กลิ่นอายลึกลับ
บุรุษอยู่ในชุดผ้าไหมขาว รูปลักษณ์สง่างามงดงาม
สตรีอยู่ในชุดสีดำสนิท รูปลักษณ์ธรรมดา สีหน้าราบเรียบราวผิวน้ำ
“ผู้คุ้มครองโหยวม่อ งูหลามยักษ์วารีทมิฬของท่านเพิ่งจะกินสัตว์ปีศาจในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไป หลายตัว รวมทั้งมนุษย์ขั้นผู้วิเศษแท้ที่โชคร้าย กลิ่นอายของมันรุนแรงขึ้นมากนัก…”
บุรุษในชุดผ้าไหมสีขาวแย้มยิ้มบาง
งูหลามยักษ์วารีทมิฬตรงนั้นราวกับภูเขาที่เย็นเยียบหดหู่ เผยให้เห็นดวงตาใหญ่โตราบเรียบราวกับโคม เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง
“อืม ข้าให้มันกิน ‘ดินซานยิน’ และ ‘วารีมารแดง’ พลังต่อสู้ในยามนี้ของมันเพียงพอที่จะต่อกรกับขั้นนายเหนือแท้”
ใบหน้าของสตรีในชุดสีดำเผยความยินดีขึ้น
“มีพลังต่อสู้ในขั้นนายเหนือแท้ คงไม่นานที่ผู้คุ้มครองโหยวม่อ จะได้รับคำชื่นชมจากคนระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาด”
บุรุษในชุดผ้าไหมสีขาวเอ่ยอย่างริษยาเล็กๆ
“ผู้คุ้มครองซานหลิงถ่อมตนไปแล้ว เมื่อหกเดือนก่อนในแคว้นใหญ่ ได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สองคนที่ตายด้วยวิชาดาบหญ้าซานหลิงของท่าน”
สตรีในชุดสีดำไม่กล้าที่จะดูแคลนบุรุษในชุดผ้าไหม
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนบนหลังของงูหลามยักษ์วารีทมิฬ มุ่งตรงไปเบื้องหน้า
ส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อยได้ปรากฏวิหารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูก กลิ่นอายความตายหนาแน่น
“ผู้คุ้มครองโหยวม่อและผู้คุ้มครองซานหลิง เหลือพวกเจ้าเพียงสองคน”
ศพหน้าตาน่าเกลียด ทั่วทั้งร่างเป็นสีเลือดได้เดินออกมาจากทางเข้าวิหาร
“ผู้คุ้มครองศพโลหิต”
สตรีในชุดดำและบุรุษในชุดผ้าไหมสีขาวเอ่ยทักทายอย่างราบเรียบ
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
ร่างของสามผู้คุ้มครองพุ่งเข้าไปในวิหารที่ลึกลับเงียบงันอย่างรวดเร็ว
ในวิหารโบราณ ภายในตำหนักที่พังทลาย
“ทักทายผู้คุ้มครองทั้งสาม”
แต่ละมุมได้มีเงาร่างหลายร่าง
“สามผู้คุ้มครองมาแล้ว ดูเหมือนว่าผู้นำครั้งนี้คือ ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ ”
“สถานการณ์ของแคว้นเมฆาไม่สู้ดีเพียงนั้นเลยหรือ? ได้ยินมาว่ารองหัวหน้าสาขาโหยวหลงพ่ายแพ้ยับเยิน กระทั่งผู้คุ้มครองศพโลหิตที่เจ้าเล่ห์ยากจะรับมือผู้นั้นยังถูกเก็บ”
ในวิหารโบราณมีกลิ่นอายนับสิบแบบ
“มีข่าวมาว่าขาที่ขาดไปยังรองหัวหน้าสาขาโหยวหลงกับแขนที่ขาดไป ของผู้คุ้มครองโลงศพโลหิตเป็นฝีมือของเด็กคนเดียวกัน…”
กลิ่นอายที่ทรงพลังเหล่านั้นพูดคุยแลกเปลี่ยนกันด้วยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณหรือวิชาลับ
จ้าวตำหนักโหยวหลงและจ้าวตำหนักศพโลหิตอยู่ในกลุ่มคน
ตำแหน่งที่นั่งลำดับแรกของตำหนักไร้ซึ่งร่างของคน
สีหน้าของจ้าวตำหนักโหยวหลงหม่นหมอง นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สอง
“หัวหน้าสาขา”
น้ำเสียงที่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวดังก้องไปทั่วทั้งวิหารโบราณ
คนที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบในตำหนักพลันรับรู้ได้ถึง แรงกดดันหนักหน่วง
“คารวะหัวหน้าสาขา”
ร่างนับสิบในตำหนักพลันค้อมคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งจ้าวตำหนักโหยวหลงและจ้าวตำหนักศพโลหิต รวมทั้งบุรุษชุดขาวและสตรีชุดดำที่เพิ่งมาใหม่
เมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ในตำแหน่งที่นั่งสูงสุดของตำหนักได้ปรากฏร่างใหญ่โตขึ้น รูปลักษณ์ของมันราวกับเสือและวัวรวมกัน
ร่างยักษ์นี้มีใบหูใหญ่โต ดวงตาราวกับระฆังทองแดง ฝ่ามือใหญ่โตราวกับพัด ขนดกหนาทั่วร่าง กล้ามเนื้อราวกับแท่งเหล็ก ทำให้ผู้คนต้องมองไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อคนผู้นี้มาถึงก็ราวกับภูเขาที่กดทับ ร่างที่อยู่ด้านล่างบางร่างบนหน้าผากพลันปรากฏหยาดเหงื่อ รู้สึกหายใจลำบาก
“หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย ไม่คิดว่าท่านจะมาช่วยเหลือแคว้นเมฆา”
น้ำเสียงว่างเปล่าดังขึ้นจากจ้าวตำหนักโหยวหลง
“หึ โหยวหลง เจ้าบอกว่ามีโอกาสสูงที่จะสามารถครอบครองที่นี่ได้ นำกำลังของสาขาครึ่งหนึ่งมาที่แคว้นเมฆานี้ ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้กับไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่ง?”
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเผยสีหน้าไม่พอใจ
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือพลัง จ้าวตำหนักโหยวหลงในยามนี้เสียขาไปข้างหนึ่ง พลังลดลงอย่างมาก เทียบกับผู้คุ้มครองบางคนยังแทบจะด้อยกว่า
การพูดคุยต่อไป จ้าวตำหนักโหยวหลงไม่เอ่ยคำ พูดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ได้ยินถึงพลังอำนาจอันมหาศาลของท่านหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยมานานแล้ว หนึ่งขวานจัดการยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเก้าคนลงได้ รวมทั้งขั้นนายเหนือแท้ วันนี้ข้าและทุกคนจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านหัวหน้าสาขา…”
‘ผู้คุ้มครองศพโลหิต’ กระตือรือร้นอย่างมาก
“พูดได้ถูกต้อง เจ้าเหลือบไรตัวเล็กๆ ในแคว้นเมฆานั่นไม่จำเป็นแม้แต่ให้ท่านหัวหน้าสาขาลงมือด้วยตนเอง ข้าและคนอื่นๆ ก็สามารถจัดการได้”
ผู้คนตอบรับ
“เจ้าพวกโง่”
น้ำเสียงคำรามต่ำของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยทำให้ทั่วทั้งวิหารเงียบงัน ลงในเสี้ยววินาที
ในตำหนักเงียบงัน
“หึ เจ้าเด็กนามจ้าวเฟิง เหลือบไรตัวเล็กๆ นั่นหากรับมือง่ายดาย ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของโหยวหลงมีหรือจะพ่ายแพ้? พวกเจ้าคิดว่าฉายานามผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปคือกองอุจจาระสุนัขกองหนึ่ง หรืออย่างไร?”
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเค้นเสียงเย็น ทำให้คนจำนวนมากต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
ชัดเจนว่าหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยผู้นี้ไม่ใช่คนหัวอ่อนที่จะเชื่อในคำยกยอของผู้อื่น
“โหยวหลง เจ้ามีคำแนะนำอีนใดหรือไม่?”
ดวงตาใหญ่โตราวระฆังทองเหลืองของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเบนไปมองไปยังร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงที่นั่งเงียบอยู่ข้างหนึ่ง
“เมื่อใดกันที่ลัทธิมารจันทราชาดที่ครอบครองทั่วทั้งทวีปของข้าขี้ขลาดตาขาว เช่นนี้ เจ้าและคนอื่นๆ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยสบถ น้ำลายสาดลงบนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง
บัดซบ จ้าวตำหนักโหยวหลงโมโห เตรียมจะสะบัดแขนเสื้อจากไป ทว่าเพียงเขาเพิ่งจะแหงนศีรษะก็พลันรับรู้ถึงบางอย่างบนร่างของตนเองได้ ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับว่ามีดวงตาดวงหนึ่งปรากฏอยู่สูงบนท้องนภา มองลงมายังทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของตนเอง
ความรู้สึกนั้นทิ่มแทงแผ่นหลังของเขา