บทที่ 489 กลับสู่อาณาจักรนภา
ในห้องลับ ม่านหมอกสีหม่นจางหายไป เผยให้เห็นร่างหม่นหมองของเจ้าหอโครงกระดูกที่ถูกกลืนเข้าไป
ผู้เฒ่าซู่นั่งนิ่ง ร่างยังคงสั่นสะท้าน ตื่นตะลึงจนสิ้นเสียง รู้สึกราวกับได้รับการโจมตีอย่างหนัก แม้จะผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่อาจตั้งสติได้
ชายชรามองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินอย่างลึกล้ำคราหนึ่งเป็นเวลานาน สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ผู้คนอาจยากที่จะคาดคิดได้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้เอาชนะหรือฆ่าเจ้าหอโครงกระดูกอย่างเรียบง่าย ทว่านำคนระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาดผู้นี้มาเป็นข้ารับใช้เสียเช่นนั้น
ช่างน่าขบขันที่เมื่อกลางวัน ผู้คนยังคงสงสัยถึงวิธีการ ‘แก้ไข’ เจ้าหอโครงกระดูกของจ้าวเฟิงว่าจะสร้างอันตราย
“จริงด้วย หากอันตรายยังไม่ถูกกำจัดออกจากแคว้นเมฆา เจ้าก็คงไม่จากไป”
ผู้เฒ่าซู่พ่นลมหายใจยาว
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง เก็บ ‘ลูกประคำหมื่นวิญญาณ’ กลับไป
หลังจากที่ออกจาก ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ จ้าวเฟิงก็เก็บเจ้าหอโครงกระดูกไว้ในประคำหมื่นวิญญาณ
นี่คือข้อเสนอของเจ้าหอโครงกระดูก
สภาพแวดล้อมในประคำหมื่นวิญญาณเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของภูตผีซากศพ ทว่าไม่เหมาะสมให้สิ่งมีชีวิตทั่วไปเข้าไปอยู่ ทว่าชัดเจนว่าเจ้าหอโครงกระดูกไม่อาจนับอยู่ในสถานะของมนุษย์ปกติได้แล้ว
เมื่อเข้าไปอยู่ในประคำหมื่นวิญญาณชั่วคราว อาการบาดเจ็บและพลังของร่างโครงกระดูกของเจ้าหอโครงกระดูกก็จะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะต่อมา
จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าซู่ออกมาจากห้องลับ กลับไปยังซากปรักหักพังของปราสาท
ในปราสาทเก่าแก่ยังคงมีร่างคนอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นเจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ หลินทง องค์หญิงจิงและคนอื่นๆ
ผู้คนค้นพบว่าผู้เฒ่าซู่ที่เดินมาเสื้อผ้าเปียกโชก ท่าทีเหม่อลอยเล็กๆ ราวกับว่าได้พบเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างมากมา ทว่าจ้าวเฟิงกลับแย้มยิ้มบางอย่างสบายอารมณ์
หลินทง องค์หญิงจิง และคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจ
แม้ว่าองค์หญิงจิงและคนอื่นๆ จะสงสัย ทว่าพวกเขารู้ว่าหากจ้าวเฟิงและผู้เฒ่าซู่ไม่เอ่ย มันย่อมเป็นความลับที่ต้องปกปิดเอาไว้
“หัวหน้าสาขา”
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ไปหยุดยืนยังเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงผงกศีรษะให้ผู้เฒ่าซู่เป็นนัยก่อนจะนำคนทั้งสองทะยานร่างออกจากปราสาทเก่าแก่ กลับไปยังสำนักจันทร์สลายที่อยู่ห่างออกไปก่อน
“น้องจ้าวสบายใจเถอะ แคว้นเมฆาจะต้องเปลี่ยนแปลงไป”
ผู้เฒ่าซู่มองตามร่างของพวกจ้าวเฟิงทั้งสามที่จากไป
จากนั้นในวันหนึ่ง สถานการณ์ของแคว้นเมฆาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
พันธมิตรมังกรโลหะที่ใช้หนึ่งฝ่ามือปิดฟ้า ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนกลับล่มสลายลง
เมื่อยุคเก่าจบสิ้นไป ยุคใหม่ก็มาถึง
หลังจากที่พันธมิตรมังกรโลหะถูกทำลาย ‘พันธมิตรสังหารมังกร’ ก็มาแทนที่ สนับสนุนราชวงศ์สมบัตินภากลับขึ้นปกครอง สร้าง ‘แคว้นใหญ่สังหารมังกร’ ขึ้น
‘แคว้นใหญ่สังหารมังกร’ มีฐานที่มั่นอยู่ที่แคว้นสมบัตินภาและแคว้นมังกรโลหะเดิม ทว่าฐานทัพหลักกลับอยู่ที่สิบสามแคว้น หรือจะพูดให้แม่นยำไปกว่านั้นก็คือหนึ่งในสิบสามแคว้นเมฆา ‘แคว้นเมฆาคล้อย’
ในด้านชื่อ แคว้นใหญ่สังหารมังกรนับว่าควบคุมสิบสามแคว้นอยู่ ทว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ควบคุมคนธรรมดาทั่วไปคือพันธมิตรสังหารมังกรของยุทธภพ
ผู้เฒ่าซู่สร้าง ‘พันธมิตรสังหารมังกร’ ขึ้นในแคว้นเมฆาคล้อย นี่ยังมีนัยยะลึกซึ้งบางอย่างอยู่อีก
หลายวันต่อมา
จ้าวเฟิงและพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองกลับมายังแคว้นเมฆาคล้อย มุ่งตรงไปยังสำนักจันทร์สลายก่อน
การกลับมาครั้งนี้ เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกลับมาเพื่อบอกลา
สำนักจันทร์สลาย ตำหนักผู้อาวุโสหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ในอดีตท่านช่วยเหลือพวกข้าจนเสียแขนไปข้างหนึ่ง ครั้งนี้ข้ากลับไปยังอาณาจักรนภา จะสร้างอาวุธวิเศษที่เหมาะสมให้ท่านแทน”
จ้าวเฟิงมองไปยังแขนเสื้อที่ว่างเปล่าข้างหนึ่งของผู้อาวุโสหนึ่งด้วยความรู้สึกขมขื่น เอ่ยสัญญาขึ้นอย่างจริงจัง ตราบเท่าที่สามารถสร้าง ‘วงแหวนทมิฬ’ ได้ แม้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งจะเสียแขนไป ความแข็งแกร่งก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นเหนือกว่ายามที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดได้
การกลับมาจากซากปรักหักพังสือเฉิงครั้งนี้ จ้าวเฟิงเองก็ยังได้มอบยาวิเศษและสมบัติล้ำค่าของต่างแดนให้
ไม่เพียงแค่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่ไม่อาจมองเห็นภายในร่างของผู้อาวุโสหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ทว่ายังทำให้ระยะห่างสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ของอีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไม่เกินเอื้อมด้วย
สำนักจันทร์สลาย หัวหน้าสำนักคนใหม่ หยางก่าน เมื่อหลายวันก่อนเองก็สามารถบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้สำเร็จ
ความแข็งแกร่งของสำนักจันทร์สลายทั้งสำนักพลันเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว กลับกลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของสิบสามแคว้น
รวมทั้งประตูหุบเขายังมีนายเหนือเซียวเหยา หลินทง และยอดฝีมือคนอื่นๆ คอยดูแลอยู่ จ้าวเฟิงประเมินว่าระดับของสำนักจันทร์สลายน่าจะใกล้เคียงระดับครึ่งดาว
“เฟิงเอ๋อร์ ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะไปได้ไกลกว่าอาจารย์ผู้นี้”
ดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งเปียกชื้น มองตามร่างของพวกจ้าวเฟิงทั้งสามที่ทะยานออกจากหุบเขานภาจันทร์ไป
การลาจากครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจ้าวเฟิงจะกลับมาอีกครั้งเมื่อใด แน่นอนว่าก่อนที่จะจากไป จ้าวเฟิงได้เตรียมการทุกสิ่งไว้หมดแล้ว
‘เมล็ดใจทมิฬ’ ในร่างของหลินทงได้ถูกทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นโดยเขา กระทั่งเหนือกว่า ‘ตราเนตรแห่งเทพ’ แน่นอนว่าด้วยความสามารถของหลินทง การจะทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ในอนาคตไม่ใช่เรื่องยาก
“เมื่อมีเมล็ดใจทมิฬที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งนี้ร่วมกับตราเนตรแห่งเทพ หากในอนาคตมีอันตรายอันใด ข้าก็สามารถข้ามระยะทางมาได้”
จ้าวเฟิงเป็นผู้ที่คิดถึงอนาคตที่ห่างไกล
ด้วยพลังดวงตาที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของเขา แม้ว่าในอนาคตจะอยู่ในอาณาจักรนภาก็ยังสามารถใช้ ‘เนตรสวรรค์’ มายังที่นี่ได้
ทว่า ‘ตราเนตรแห่งเทพ’ นั้นใช้เพื่อรับรู้ตำแหน่ง
“หัวหน้าสาขา สถานการณ์ของแคว้นเมฆานับว่ามั่นคงแล้ว เราจะกลับไปเมื่อใด?”
เจียงซานเฟิงเอ่ยถาม
“เรื่องสุดท้าย”
บนใบหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏความอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน
จ้าวเฟิงออกไปพบคนที่อยู่นอกหุบเขา ไปเยี่ยมบิดามารดา รวมทั้งคนที่มีสัมพันธ์อันดีด้วยในตระกูลจ้าว
รวมทั้งเจ้าเมืองกว่านจวิน
ในอดีต ยามที่จ้าวเฟิงออกจากแคว้นเมฆา ผู้อาวุโสหนึ่งไม่เพียงแค่คิดถึงสถานที่ที่จะให้เขาไป ทว่ายังได้เตรียมการให้คนที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างเหมาะสม รวมทั้งบิดามารดาและผู้เป็นอาจารย์ของเขา
อยู่กับบิดามารดาในหุบเขาหลายวันจ้าวเฟิงจึงจากมาในที่สุดและมาบอกลาเจ้าเมืองกว่านจวิน
จ้าวเฟิงสร้างกลุ่มก้อนสายลมที่มีกระแสไฟฟ้าปะปน จากไปพร้อมกับพวกเจียงซานเฟิงทั้งสอง
เจ้าเมืองกว่านจวินมองตามหลังของศิษย์ที่จากไป บนใบหน้าปรากฏความภาคภูมิใจที่ยากจะปกปิดไว้ได้
เด็กหนุ่มใบหน้าเรียบเฉยผู้หนึ่งไม่รู้ว่ากล้าหาญมาจากที่ใด ยืนเคียงข้างเจ้าเมืองกว่านจวิน
“ท่านอาจารย์ ศิษย์คงไม่อาจอยู่กับท่านได้ ต้องออกจากแคว้นเมฆา”
เป่ยม่อขมวดคิ้วแน่นเอ่ยกับเจ้าเมืองกว่านจวิน
ส่วนลึกในจิตใจของเจ้าเมืองกว่านจวินเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ตลอดทั้งชีวิตของเขา มีจ้าวเฟิงและเป่ยม่อเป็นศิษย์ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว
เป่ยม่อในอดีตได้ถูกพลังอำนาจของผู้อาวุโสของสำนักกดดันให้ยอมรับและเลือก
แม้ว่าเขาจะค้อมศีรษะให้กับผู้อาวุโสหยุนไห่ตรงๆ ทว่าส่วนลึกของเป่ยม่อก็ยังคงมีเจ้าเมืองกว่านจวินเป็นอาจารย์
“ข้าได้อดทนหยุนไห่มานาน รอวันที่จะตอบโต้ น่าเสียดายที่ศิษย์น้องจ้าวแข็งแกร่งเกินไป”
เป่ยม่อมองตามร่างของจ้าวเฟิงที่หลอมรวมกับเส้นขอบฟ้า
ศิษย์น้องของเขา ไต่มาจากระดับมดปลวกของสำนัก เติบโตขึ้นทีล่ะก้าว ราวกับดาวหางที่เจิดจรัส ปะทะเข้ากับผู้อาวุโสของสำนัก
สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำสำเร็จ
ไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของสำนักจันทร์สลาย ทว่ายังกลายเป็นผู้ปกครองของแคว้นเมฆาเสียอีก
หลังจากผ่านไปหลายวัน
แคว้นใหญ่สังหารมังกรได้กระจายข่าวไปทั่วทั้งแคว้นเมฆา
บัดนี้ กลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเมฆาก็คือพันธมิตรสังหารมังกรที่ควบคุมอยู่เหนือสำนักตระกูลทั้งหมด
ทว่ามันได้มีคำพูดว่ายอดผู้อาวุโสของพันธมิตรสังหารมังกร ‘จ้าวเฟิง’ เพิ่งจะจากไปไม่นาน
ในงานชุมนุมที่โถงกว้าง จ้าวเฟิงไม่ได้ปรากฏตัว
ทว่าสถานการณ์ยอดผู้อาวุโสแห่งพันธมิตรที่สูงส่งของเขา ไม่มีผู้ใดในแคว้นเมฆารู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
แม้ว่าจะเป็นหลายปีต่อมา ตำแหน่ง ‘ยอดผู้อาวุโส’ แห่งพันธมิตรสังหารมังกรก็ยังคงอยู่ในบทกวีของเหล่านักเล่านิทาน หลังจากที่จ้าวเฟิงออกจากแคว้นเมฆาครั้งนี้ก็ไม่ได้กลับมาอีกเป็นเวลาเนิ่นนาน
ในสถานที่รกร้างกว้างใหญ่
ปักษาสีทองเขียวทะยานอยู่บนฟ้าสูง ความเร็วของมันว่องไวจนกระทั่งเกือบเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ บนปักษานั้นได้มีคนสามคนนั่งอยู่ กำลังมุ่งหน้าออกจากแคว้นเมฆา
“หัวหน้าสาขา การกลับไปยังอาณาจักรนภาครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับทวีปมากมายเพียงใดกัน”
เตี๋ยเย่หัวเราะคิกคัก
แม้ว่าจะเป็นในช่วงเวลาที่สุดยอดเช่นนี้ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างจ้าวเฟิงก็มีน้อยคนนัก
ทั้งจ้าวเฟิงยังอายุเพียง 18 ขวบปีเท่านั้น
ทว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้รุ่นเก่าอย่างหยูเทียนฮ่าว ปิงเว่ยเซียนจื่อ และคนอื่นๆ ล้วนมีอายุต่างจากจ้าวเฟิงเกือบสิบปี
“หัวหน้าสาขา ท่านกลับมาจากมรดกต่างแดน พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ นอกจากหยูเทียนฮ่าวแล้ว บางทีอาจจะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้”
ในคำพูดของเจียงซานเฟิงปรากฏความเคารพนับถืออยู่
จ้าวเฟิงรู้มาจากคนทั้งสองว่าหลังจากที่หยูเทียนฮ่าวออกมาจากมรดกต่างแดนก็มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ กลิ่นอายที่ทรงพลังทำให้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ ต้องตื่นตะลึง
“ดูเหมือนว่าเมื่อหกเดือนก่อน หยูเทียนฮ่าวจะเพิ่งบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ”
จ้าวเฟิงเอ่ยกระซิบกับตนเอง
เมื่อกวาดตามองไปทั่วทั้งทวีป อัจฉริยะที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน ดูเหมือนจะมีเพียงหยูเทียนฮ่าวที่อยู่ในระดับเดียวกับจ้าวเฟิง
เจียงซ่านเฟิงและเตี๋ยเย่คิด
ทว่า ในสมองของจ้าวเฟิงกลับปรากฏเด็กหนุ่มรูปลักษณ์ธรรมดาและเยือกเย็นผู้หนึ่งขึ้น
“ซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าวเข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ด้วยกัน ทว่ามีเพียงแค่หยูเทียนฮ่าวที่ออกมา”
เจียงซานเฟิงเอ่ย
ซินอู๋เหินไม่กลับมา?
จ้าวเฟิงอดที่จะรู้สึกคาดไม่ถึงไม่ได้
ในสายตาของคนทั่วไป หากไม่อาจออกมาจากมรดกต่างแดนได้ก็นับว่าตายตกไปแล้ว
จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธในจุดนี้
ทว่าเรื่องราวมันไม่ได้แน่นอนเช่นนั้น
ตัวอย่างเช่นจ้าวหยูเฟ่ยก็เป็นข้อยกเว้น
นางไม่ได้ออกมาจากมรดกต่างแดน ไม่เพียงแค่ไม่มีปัญหา ทว่ายังนับว่าเป็นโอกาสใหญ่โตถึงขั้นสั่นคลอนสวรรค์ได้
จ้าวเฟิงคาดเดา บางทีในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ โอกาสของอัจฉริยะคนอื่นๆ อาจไม่สามารถเทียบเคียงจ้าวหยูเฟ่ยได้
รวมทั้งจ้าวเฟิงที่เมื่อนับในด้านโอกาสแล้วยังนับว่าด้อยกว่าจ้าวหยูเฟ่ย
จะอย่างไร จ้าวหยูเฟ่ยก็กำลังจะได้รับสืบทอดมิติของมรดกทั้งมิติ
ควรรู้ว่ามรดกในระดับของซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นแต่เดิมก็เหนือกว่ามรดกจำนวนมากอยู่แล้ว มีเพียงแค่มรดกความลับสวรรค์ที่มีระดับสูงเท่านั้นที่เทียบได้
“การกลับไปยังอาณาจักรนภาครั้งนี้ของข้าเพื่อไปแก้ไขสามเรื่อง”
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนปักษาสีทองเขียว ครุ่นคิดอยู่ในใจ
เรื่องแรกคือการนำวารีแห่งชีวิตไปมอบให้กับฐานหลักของลัทธิโลหะเลือดเพื่อรักษาชายชราผมแดงผู้นั้นเพื่อทดแทนบุญคุณ
เรื่องที่สองคือการสร้างวงแหวนทมิฬให้กับผู้อาวุโสหนึ่ง
เรื่องที่สาม เกี่ยวกับหลิวฉินซิน คู่หมั้นของเขา
สองเรื่องแรก จ้าวเฟิงไม่ได้รู้สึกยากเย็นอันใดนัก ทว่าในเรื่องที่สาม… จ้าวเฟิงรู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ในอดีต หลังจากที่หลบหนีออกจากเมืองหงหู จ้าวเฟิงก็ได้สัญญากับหลิวฉินซินไว้ข้อหนึ่ง “วันหนึ่ง เมื่อข้าไร้ซึ่งข้อกังวลใดๆ ข้าจะกลับมาแต่งงานกับเจ้า”
หากจะพูดในยามนี้ จ้าวเฟิงทำให้สถานการณ์ของแคว้นเมฆากลับมามั่นคงได้แล้ว ในใจนับว่าไร้ซึ่งข้อกังวลใดๆ
จากนั้น
บัดนี้จึงถึงเวลาที่จ้าวเฟิงจะ ‘ทำตาม’ สัญญาที่ให้ไว้
“แต่งงาน?”
ในสมองของจ้าวเฟิงได้ปรากฏภาพที่คุ้นเคยของสตรีงดงามราวเทพเซียน สงบนิ่งราวผิวน้ำขึ้น
สำหรับหลิวฉินซิน เขาไม่ปฏิเสธ
การหลบหนีการแต่งงานครั้งนั้น หลิวฉินซินไล่ตามไปและพนันกับเขา
ทว่าจ้าวเฟิงได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกของหลิวฉินซินเอาชนะไปได้อย่างเฉียดฉิว ทว่าหลังจากนั้นในใจก็รู้สึกผิดและผูกพันกับอีกฝ่ายขึ้น
สุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มจึงได้เอ่ยสัญญาไป แม้ว่าหลิวฉินซินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ตาม
สองเดือนต่อมา
ปักษาสีทองเขียวทะยานข้ามกว่าครึ่งแดนเหนือ สุดท้ายแล้วจึงมาถึงยังชายขอบของอาณาจักรนภา เผชิญหน้ากับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“สะพานข้ามสายธารกราดเกรี้ยวนี่มุ่งตรงไปยังเมืองหงหู?”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
“ตอบท่านหัวหน้าสาขา การกลับไปยังฐานหลักจำต้องผ่านเมืองหงหูจริงๆ ทว่าหัวหน้าตระกูลหลิวแห่งหงหูผู้นั้น…”
เมื่อเจียงซานเฟิงเอ่ยถึงยามนี้ก็อดที่จะลังเลไม่ได้
เขารู้ว่าเรื่องราว ‘ประกาศจับ’ ของเจ้าเมืองหงหูและจ้าวเฟิงยังไม่ได้ถูกล้มเลิกไป