บทที่ 513 บดขยี้ (2)
ในเวลาหนึ่งชั่วน้ำชาเดือด จ้าวเฟิงได้เอาชนะอัจฉริยะเซียนมังกรหลายคนอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งล้วนเป็นชัยชนะในเสี้ยววินาที
เหล่าผู้เฝ้ามองจากทั่วทั้งทวีปทำได้เพียงมองไปอย่างนิ่งอึ้ง จิตใจสั่นสะท้าน
นี่มันจะเรียกว่าการประลองชี้แนะได้อย่างไร มันเป็นเพียงการบดขยี้ฝ่ายเดียวชัดๆ
ในพื้นที่โล่ง จ้าวเฟิงยืนนิ่งไร้ซึ่งฝุ่นผงกร่ำกราย ยังคงมีท่าทีเยือกเย็นเกียจคร้าน
ในยามนี้ งานน้ำชาเซียนมังกรเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดท้าประลองจ้าวเฟิงอีกต่อไป
“ไม่ใช้สายเลือดดวงตา พลังต่อสู้ของจ้าวเฟิงก็แข็งแกร่งในระดับของผู้ถูกเลือกแล้ว กระทั่งเหนือกว่าระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั่วไปด้วยซ้ำ”
อัจฉริยะเซียนมังกรนับสิบล้วนตื่นตะลึงจนสิ้นเสียง
สายตาที่ผู้คนใช้มองจ้าวเฟิงไม่ได้มีเพียงแค่ความหวาดกลัวอีกต่อไป ทว่าได้มีความหดหู่ใจ เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินในสายตาราวกับอยู่ในระดับที่พวกเขาไม่มีวันเอื้อมถึง
สีหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อดูเลวร้ายกว่าเก่า
ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวเฟิงใช้หนึ่งกระบวนท่าจัดการคู่ต่อสู้ในเสี้ยววินาที ไม่อาจบีบบังคับให้อีกฝ่ายใช้สายเลือดดวงตาได้
ความแข็งแกร่งที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นปิงเว่ยเซียนจื่อหรือชื่อเฉิงเทียนก็ยากที่จะเอาชนะได้
เวลาผ่านไปชั่วขณะ
ไม่มีผู้ใดท้าประลองจ้าวเฟิง
ชื่อเฉิงเทียน ชางหยูเยว่ และตันไถ่หลันเยว่ล้วนไม่มีความคิดจะลงมือชั่วคราว
ในใจของปิงเว่ยเซียนจื่อปรากฎความกระวนกระวายขึ้น
ชื่อเฉิงเทียนและตันไถ่หลันเยว่ไม่ท้าประลอง คนทั้งสองในงานชุมนุมเซียนมังกรก่อนหน้า ครั้งหนึ่งเคยได้พ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิงครั้งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
ทว่าหากไม่มีผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใดลงมือ เช่นนั้นก็ยากที่จะเห็นพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงได้
“ฮี่ฮี่ หากไม่มีผู้ใดท้าประลองอีก…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความเงียบงัน
“เช่นนั้น…”
สายตาของจ้าวเฟิงพลันเบนไป มองไปยัง ‘โอรสสวรรค์สามตา’ ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของงานน้ำชา
งานน้ำชาเซียนมังกรนี้หยูเทียนฮ่าวไม่มา ดังนั้น ‘โอรสสวรรค์สามตา’ จึงเป็นเพียงเป้าหมายเดียวในการท้าประลองของจ้าวเฟิง
สายตาที่เบนไปของจ้าวเฟิงได้ดึงดูดความสนใจให้แก่เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกร
เขาเพียงเตรียมจะเปิดปากเอ่ยท้าประลองก็พลันได้ยินเสียงปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม:”จ้าวเฟิง เจ้าได้ประลองติดต่อกันมานานแล้ว ให้โอกาสแก่อัจฉริยะเซียนมังกรผู้อื่นบ้างเถอะ”
จ้าวเฟิงชะงักไป มองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อยและเดินออกไป
จะอย่างไร ปิงเว่ยเซียนจื่อก็คือผู้จัดงานน้ำชานี้ คงไม่ดีนักหากจ้าวเฟิงจะคัดค้าน
หลังจากที่จ้าวเฟิงออกไป อัจฉริยะเซียนมังกร ณ ที่แห่งนั้นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ราวกับปลดภาระหนักอึ้งบนบ่าลงได้
ยามที่จ้าวเฟิงยืนอยู่ อัจฉริยะคนอื่นๆ ล้วนไม่มีโอกาส
หากปิงเว่ยเซียนจื่อไม่ขัด จ้าวเฟิงก็อาจจะกวาดเอาอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหมดลง ทำให้งานน้ำชานี้สูญเสียความสำคัญไป
หลังจากผ่านไปชั่วขณะ
อัจฉริยะเซียนมังกรที่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนลานประลองก็ขึ้นไป เผยความสามารถพรสวรรค์ออกมาอย่างค่อนข้างโดดเด่นให้ผู้คนปรบมือ
แม้ว่าการต่อสู้เมื่อครู่ของจ้าวเฟิงจะเป็นการบดขยี้อย่างดุดัน ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง ทว่าการจัดการอีกฝ่ายในเสี้ยววินาทีแต่ล่ะครั้งทำให้มันสูญเสียความตื่นตาตื่นใจไป ไม่น่าหวาดกลัวมากนัก
ยามค่ำคืน
ถัวป๋าฉี หนึ่งในทายาทของสามตระกูลสายเลือดดวงตาขึ้นไปบนลานประลอง
“ถัวป๋าฉี”
อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนหัวใจบีบรัดแน่น
ในงานน้ำชานี้อาจกล่าวได้ว่าผู้สืบทอดของสามตระกูลสายเลือดดวงตาล้วนปรากฏตัวอยู่ทั้งหมด
โอรสสวรรค์สามตา ถัวป๋าฉี และเนตรวิญญาณหนานจื่อ ตัวแทนทายาทของสามตระกูลสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป
เนตรคมสวรรค์
นัยน์ตาของถัวป๋าฉีส่องประกายเย็นเยียบวูบ
“ฟึ่บ”
อัจฉริยะเซียนมังกรฝ่ายตรงข้ามปรากฏรอยเลือดหลายรอยขึ้นบนแก้มยาวลงมาจนถึงคาง หากมันทะลวงผ่านไปย่อมตัดผ่านคอหอย
อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหมดสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป คนส่วนมากไม่อาจเห็นการโจมตีของสายเลือดดวงตาของถัวป๋าฉีได้
มีเพียงคนเช่นโอรสสวรรค์สามตา จ้าวเฟิง เนตรวิญญาณหนานจื่อ และคนอื่นๆ ที่ใช้สายเลือดดวงตารับรู้ถึงการโจมตีของพลังดวงตาของถัวป๋าฉี
หรือมิเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั่วไป เมื่อเผชิญหน้ากับการลอบโจมตีของถัวป๋าฉีก็มีโอกาสตายสูง
“สู้กันซึ่งๆ หน้าจะสร้างความเสียเปรียบให้กับถัวป๋าฉีอย่างมาก ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้มีประสาทสัมผัสจิตวิญญาณแข็งแกร่ง ก่อนที่ถัวป๋าฉีจะใช้วิชาออกก็สามารถเตรียมป้องกันไว้ก่อนได้”
จ้าวเฟิงเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน
แม้กระนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่ท้าประลอง ‘ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้’ ถัวป๋าฉีแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
แม้ว่าจะเป็นสองอัจฉริยะเซียนมังกรชั้นแนวหน้าก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่ถัวป๋าฉี
“จ้าวเฟิง”
นัยน์ตาของถัวป๋าฉีส่องประกายแหลมคม จับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิงพร้อมด้วยจิตต่อสู้ที่ไม่อาจมองเห็นที่แผ่ซ่านออกมา
ครั้งนี้
เป้าหมายการท้าประลองของเขาคือจ้าวเฟิง
ในงานน้ำชา อัจฉริยะจำนวนมากอดที่จะคาดหวังไม่ได้
จะอย่างไร ถัวป๋าฉีและจ้าวเฟิงก็ล้วนมีชื่อเสียงด้านสายเลือดดวงตาในงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรที่ผ่านมา จ้าวเฟิงและถัวป๋าฉีไม่ได้ประลองชี้ขาดกันจริงๆ
“ก็ดี ในงานชุมนุมเซียนมังกรก่อนหน้า ข้าเอาชนะเนตรวิญญาณหนานจื่อตรงๆ ในงานน้ำชาครั้งนี้คงต้องขอคำชี้แนะจากสองตระกูลสายเลือดดวงตาแล้ว”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย
ดวงตาของปิงเว่ยเซียนจื่อส่องประกายเจิดจ้า การแสดงสายเลือดดวงตานี้จะสามารถค้นหาถึงก้นบึ้งของจ้าวเฟิงได้หรือไม่?
ในลานประลอง
จ้าวเฟิงและถัวป๋าฉียืนห่างกันร้อยจ้างเผชิญหน้ากัน
“ลงมือ”
จ้าวเฟิงไม่ได้กระตุ้นโคจรปราณจิตวิญญาณก่อนเวลา ทำเพียงยืนอยู่นิ่งๆ
นัยน์ตาของถัวป๋าฉีปรากฏความประหลาดใจแล่นผ่านวูบ เนตรคมสวรรค์ของเขามีความเร็วในการโจมตีรวดเร็วยิ่งนัก หากคู่ต่อสู้ไม่เตรียมตัวก่อนเวลา แม้ว่าจะเป็นขั้นนายเหนือแท้ก็ยังมีโอกาสที่จะบาดเจ็บสาหัสได้
ใช้การลอบโจมตีคร่าชีวิตผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ ถัวป๋าฉีเองก็เคยทำสำเร็จ
แม้ว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เมื่อเผชิญหน้าถัวป๋าฉีก็ต้องลอบเตรียมตัวก่อนเวลา
ทว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ป้องกันแต่อย่างใด
เพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้ถัวป๋าฉีต้องลอบชื่นชม ทว่าการโจมตีของเขาย่อมไม่มีการออมมือ
เพราะคู่ต่อสู้ในยามนี้ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของงานชุมนุมเซียนมังกร มีพรสวรรค์สติปัญญาเช่นฟ้าส่งมา สร้างแรงกดดันมหาศาล
เนตรคมสวรรค์
ถัวป๋าฉียืนนิ่งไม่ขยับ ดวงตาส่องประกายแหลมคม
ฟึ่บ
แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปยิ่งนัก คมมีดล่องหนกลับแทบจะถึงตัวของจ้าวเฟิงในเสี้ยววินาที
เร็วเกินไป
การโจมตีด้วยเนตรคมสวรรค์ อย่างแรกคือรวดเร็ว อย่างที่สองคือไม่อาจมองเห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวของมันได้ ในเสี้ยววินาทีที่เนตรคมสวรรค์ถูกใช้ออก ผิวของจ้าวเฟิงก็รับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบในอากาศอย่างอธิบายไม่ได้
เคร้ง ฟุ่บ
ที่นิ้วชี้ของจ้าวเฟิงได้ปรากฏกระแสไฟฟ้าและสายลมขึ้นปะทะเข้ากับคมแสงแหลมคมที่ไม่อาจมองเห็น
ฟุ่บ
คมแสงที่ไม่อาจมองเห็นสลายหายไป เกิดเพียงประกายสีเงินที่สว่างวูบขึ้นจางๆ
“ขัดขวางการโจมตีของเนตรคมสวรรค์ของข้าด้วยมือเปล่า… ทำได้อย่างไร?”
ทั่วทั้งใบหน้าของถัวป๋าฉีเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจออัจฉริยะที่สามารถใช้มือเปล่าป้องกันการโจมตีของเนตรคมสวรรค์ของเขาได้
ความเร็วของการโจมตีจากเนตรคมสวรรค์รวดเร็วยิ่งนัก ถัวป๋าฉีรู้ดี โดยไม่มีการป้องกัน ผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเรียกได้ว่ายากที่จะหลบเลี่ยง ทำได้เพียงแค่กระตุ้นโคจรปราณจิตวิญญาณป้องกัน
ทว่าการป้องกันด้วยมือนั้นแทบจะเหมือนกับการหลบเลยทีเดียว
“เนตรคมสวรรค์ หนามเมฆาสวรรค์”
ถัวป๋าฉีสูดลมหายใจลึก นัยน์ตาส่องประกายแหลมคมอย่างน่าตื่นตะลึง ควบรวมกันจนกลายเป็นเข็ม
ฟึ่บ
เส้นแสงสีเงินทะลวงผ่านอากาศมองเห็นได้จางๆ ทะลวงร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ไปในเสี้ยววินาที ระดับความรวดเร็วดุดันของการโจมตีนี้มากกว่าเดิมอย่างน้อยสองเท่า
“พลังดวงตาควบรวมกันเป็นเข็ม รวมทั้งยังมีความแหลมคมของโลหะ แม้ว่าจะเป็นขั้นนายเหนือแท้ก็ยากที่จะป้องกันได้ตรงๆ ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ป้องกันไว้ก่อนหน้า”
โอรสสวรรค์สามตาอดที่จะเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้
“เนตรคมสวรรค์ หนามเมฆาสวรรค์นี่เพียงพอที่จะทะลวงผ่านการป้องกันของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้ตรงๆ”
ในเวลาเดียวกัน หัวใจของเนตรวิญญาณหนานจื่อก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ไม่คิดว่าวิชาสายเลือดของถัวป๋าฉีจะพัฒนาไปสู่ระดับใหม่อย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
ฟึ่บ
ร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ราวกับไม่รู้สึกตัว ถูกลำแสงสีเงินนั้นทะลวงผ่านไปเป็นเส้นตรง
มุมปากของถัวป๋าฉียกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี ทว่าเมื่อมองดูดีๆ แล้วสีหน้าก็แข็งค้างไป
ร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ที่ถูกทะลวงผ่านพลันสลายหายไป หลงเหลือไว้เพียงประกายแสงวายุอัสนีที่สว่างวูบ
“ใช้การเคลื่อนไหวหลบการโจมตีด้วยวิชาดวงตาของข้าตรงๆ… แม้ว่าจะตระหนักได้ทันเวลา แต่ร่างกายจะสามารถตอบสนองได้ทันได้อย่างไร”
ดวงตาของถัวป๋าฉีเบิกกว้าง มองเหม่อไปชั่วขณะ
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้
ใบหน้าของถัวป๋าฉีบิดเบี้ยว ส่ายศีรษะอย่างรุนแรง
การโจมตีด้วยเนตรคมสวรรค์ของเขา ความเร็วของมันในทางทฤษฎี ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่อาจหลบเลี่ยงได้
แม้ว่าจะรับรู้ได้ แต่ร่างกายก็ยากที่จะตอบสนองได้ทัน อย่างมากก็ทำได้เพียงกระตุ้นโคจรปราณจิตวิญญาณป้องกัน
“หลบได้?”
โอรสสวรรค์สามตาสติหลุดไปชั่วขณะ
แม้ว่าจะเป็นเขาก็ไม่อาจที่จะเบี่ยงร่างหลบเนตรคมสวรรค์ของถัวป๋าฉีได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงใช้วิชาดวงตาสลายการโจมตี หรือโคจรปราณป้องกัน
“ข้ายอมแพ้ เจ้าทำได้อย่างไร?”
ถัวป๋าฉีสูดลมหายใจลึก ยืนนิ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้น
ชัดเจนว่าสิ่งนี้ได้ทำลายความคิดที่เขามีมาตลอดทั้งหมดลง
หากจ้าวเฟิงคือผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เขาก็ยังคงพอรับได้ ทว่าในทวีปนี้ไม่เคยปรากฏผู้สูงศักดิ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีมาก่อน แม้ว่าจะเป็นในต่างแดนที่กว้างใหญ่เองก็ไม่น่าจะมี
“ฮี่ฮี่ ง่ายมาก สองคำ… คาดเดา”
ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นพร้อมเสียงครืนครางของสายฟ้าและเสียงหวีดหวิวของสายลม พลิ้วกายลงที่เบื้องหน้าของถัวป๋าฉี
คาดเดา?
ถัวป๋าฉีเผยสีหน้าขมขื่นหดหู่ออกมาในทันที “เป็นเช่นนั้นเอง”
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะฝึกฝนเสวียนอ้าวของ ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ ความเร็วการเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก ทว่าต้องการจะหลบการโจมตีของเนตรคมสวรรค์ตรงๆ ก็ไม่ง่ายนัก
ทันทีที่ถัวป๋าฉีโจมตี การหลบก็หมดความสำคัญแล้ว
เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีเดียว ก่อนหน้าที่ถัวป๋าฉีจะโจมตี จริงๆ แล้วจะปรากฏประกายแสงขึ้นก่อนแล้วจึงเป็นการโจมตี แต่หากหลบเร็วเกินกว่าประกายแสงหรือช้ากว่าประกายแสงนั้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่ดี หากหลบก่อน การโจมตีของเนตรคมสวรรค์ของถัวป๋าฉีจะเล็งใหม่ แต่หากหลบช้าไป การโจมตีก็จะถูกส่งออกมาแล้ว
“คาดเดาการโจมตีของสายเลือดดวงตา จ้าวเฟิงทำได้อย่างไร?”
หัวใจของโอรสสวรรค์สามตาสั่นสะท้าน
สายเลือดดวงตาของถัวป๋าฉี จะอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสามตระกูลดวงตาชนชั้นสูงของทวีป ประวัติความเป็นมาของมันไม่ด้อยไปกว่าตระกูลชินหยางมากนัก
วิธีการใช้เนตรคมสวรรค์นั้นลึกล้ำยิ่งนัก โจมตีในเสี้ยวพริบตา มีเพียงแค่หากสามารถควบคุมสายเลือดดวงตาของถัวป๋าฉีได้ตรงๆ จึงจะสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังดวงตาได้
ทว่ามันเป็นไปได้หรือ?
สีหน้าของโอรสสวรรค์สามตาเลวร้ายลงในที่สุด
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง อย่าได้บอกเชียวว่ามีความสามารถในการคาดเดาในตำนานนั่น?
เท่าที่โอรสสวรรค์สามตารู้ ในระบบมรดกของแปดเนตรเทพเจ้า ในสายหนึ่งของมันได้มีความสามารถสายเลือดดวงตาอย่าง ‘การคาดเดา’ ที่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้หลายวินาที ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งมองล่วงหน้าได้นานหลายนาที
ทว่านั่นคือการแทรกแซงห้วงมิติและเวลา แม้ว่าจะเป็นราชาในขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยังยากที่จะทำได้สำเร็จ แน่นอนว่าโอรสสวรรค์เป็นเพียงแค่บางส่วน มิคาดว่าจะเป็นวิชาดวงตาในตำนาน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง ความสามารถในการคาดเดาของมันมาจากพลังในการควบคุมและทำความเข้าใจที่แข็งแกร่ง
ในสายเลือดดวงตาของถัวป๋าฉี ความซับซ้อนในการเปลี่ยนแปลงของแต่ล่ะวิชาดวงตา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของปราณจิตวิญญาณและกลิ่นอายสายเลือดล้วนอยู่ภายใต้สายตาของเขา
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงสามารถ ‘ทำนาย’ การโจมตีต่อไปของถัวป๋าฉีได้อย่างสมบูรณ์