บทที่ 520 พลังของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ในใจกลางป่า
จ้าวเฟิงและผู้อาวุโสจี้ซาอยู่บนต้นไม้ สายตาทั้งสี่จ้องกันแล้วยกมุมปากยิ้มน้อยๆ
ผู้อาวุโสจี้ซาผู้ปรากฏกายภายใต้เงาที่บิดโค้งและสวมเครื่องประดับบนศีรษะนั้นราวกับเป็นเงามืดดำในค่ำคืนมืดสนิท
“ท่านเจ้าหอโบราณจริงหรือ? เมื่อตอนนั้นมิใช่ว่าท่าน…” บนใบหน้าของผู้อาวุโสจี้ซามีร่องรอยของความปลื้มปิติที่ไม่เห็นมานาน
จ้าวเฟิงหัวเราะหึหึแล้วเอ่ย”ขนาดเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ แล้วข้าจะตายในการศึกครั้งนั้นได้อย่างไร?”
เมื่อได้ฟังดังนั้น สตรีชุดคลุมสีดำผู้ ‘คุมตัว’ จ้าวเฟิงจากข้างหลังเมื่อครู่ก็ใจสั่นสะท้าน มือทั้งสองข้างมีอาการสั่นน้อยๆ อย่างว้าวุ่น
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่ดูอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจะเป็นหนึ่งในสิบสองเจ้าหอผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิมารจันทราชาด
ในลัทธิมารจันทราชาดแห่งนี้ จ้าวหอทุกคนล้วนเป็นหัวเรือใหญ่ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องหนึ่ง
ในยามที่ลัทธิมารจันทราชาดรุ่งเรืองถึงขีดสุด เพียงอิทธิพลของหนึ่งหอก็แทบเทียบได้กับสิบสำนักระดับสูงในทวีปเลยทีเดียว
ตำแหน่งเจ้าหอเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสจ้าวลัทธิมารแล้วแทบไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด
“เจ้าหอโบราณ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้?” ในดวงตาสีดำสงบของผู้อาวุโสจี้ซาปรากฏแววตาสงสัย เขายังคงมีสิ่งเคลือบแคลงใจอยู่
ขวับ!
จ้าวเฟิงกวาดมือเพียงครั้งเดียว ในหมอกมืดทึบพลันปรากฏโครงกระดูกมนุษย์น่าสะพรึงขึ้น ภายในเบ้าตาของมันมีลูกไฟสีแดงสองดวง
“ร่างกายแก่ชราของข้าไม่ไหวแล้ว มาอาศัยในร่างของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่มีสายเลือดดวงตาอันโดดเด่น แล้วค่อยพยายามยึดร่างกายนี้มาฝึกตนใหม่ ก็นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดี” จ้าวเฟิงเอ่ยปากบอกด้วยเสียงราบเรียบ
ในเบ้าตาเจ้าหอโครงกระดูกผู้ล่องลอยอยู่เบื้องหลังของเขาปรากฏลูกไฟสีแดง ท่าทางแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
การเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกมีกลิ่นอายประหลาดเชื่อมคนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
ราวกับว่าไอวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกถูกส่งไปยังจ้าวเฟิง แล้วควบคุมผู้ถูกเลือกแห่งทวีปคนนี้ไว้อย่างสิ้นเชิง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ความสงสัยภายในใจของผู้อาวุโสจี้ซาลดลงไปเกือบครึ่ง
ภายใต้ความจงใจในเปิดเผยความลับของจ้าวเฟิง ระดับของผู้อาวุโสจี้ซาสามารถมองกลิ่นอายวิญญาณที่เชื่อมโยงกันของจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกออกได้อย่างไม่ยากนัก
เพียงแต่ผู้อาวุโสจี้ซาจะอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงว่าคนรุ่นหลังอย่างจ้าวเฟิงแท้จริงแล้วเป็นฝ่ายควบคุม ส่วนเจ้าหอจันทราชาดผู้แข็งแกร่งที่แท้แล้วคือผู้ที่ถูกควบคุมโดยสิ้นเชิง
“เจ้าหอโบราณ เมื่ออดีตท่านคือผู้สันทัดด้านพลังจิตวิญญาณที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าเป็นมือหนึ่งของทวีป เหตุใดจึงไม่จัดการยึดร่างเจ้าเด็กนี้ไปเสีย?” ผู้อาวุโสจี้ซากลับมีน้ำเสียงเยาะเย้ยอยู่เล็กๆ
เขาคิดว่าด้วยความสามารถด้านพลังจิตและวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกแล้ว การจะยึดเอาร่างของเด็กหนุ่มนี่ไม่น่าใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ! เจ้ามันก็พูดง่าย เจ้าเด็กนี่จัดการผู้ถูกเลือกของทวีปจนราบคาบไปหลายคน แล้วยังเก็บกวาดคนในงานชุมนุมเซียนมังกรซะเกลี้ยง เมื่อไม่นานมานี้ยังใช้สายเลือดดวงตาล้มผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบพันปีของตระกูลจินหยางอีก ….” จ้าวเฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงของเจ้าหอโครงกระดูก
จากนั้น จ้าวเฟิงจึงจึงสาธยาย ‘วีรกรรม’ ที่เคยทำไว้ที่ทวีปในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาให้อีกฝ่ายฟังในมุมมองของเจ้าหอโครงกระดูก
เมื่อได้ฟังจนจบแล้ว ผู้อาวุโสจี้ซาและสตรีชุดคลุมสีดำอดไม่ได้ที่จะมองจ้าวเฟิงอย่างตื่นตะลึง ทั้งสองเพิ่งจะรับรู้ว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้โดน ‘ควบคุม’ โดยเจ้าหอโบราณมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาเสียจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเอาชนะผู้สืบทอดที่แข็งแก่งที่สุดในรอบพันปีของตระกูลจินหยาง จนได้รับสมญานามสายเลือดดวงตาผู้แข็งแกร่งแห่งทวีปมา ทั้งสองยิ่งรู้สึกประหลาดใจนัก
“เด็กหนุ่มคนนี้พื้นฐานสายเลือดพรสวรรค์แข็งแกร่งเสียเหลือเกิน แม้กระทั่งผู้สืบทอดของตระกูลจินหยางยังโดนปราบเสียราบคาบ”
ผู้อาวุโสจี้ซารู้สึกนับถือเล็กน้อยที่เจ้าหอโครงกระดูกยึดร่างที่แสนจะเลิศเลอขนาดนี้ได้
สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ จ้าวเฟิงจะต้องเป็นผู้มีสายเลือดพรสวรรค์อยู่ในลำดับต้นๆ ของทวีปอาจเรียกได้ว่าอยู่เหนือจ้าวลัทธิจันทราชาดและจอมดาบเย่อู๋เสียเมื่อตอนนั้นไปแล้ว
“เจ้าเด็กคนนี้มีแหล่งกำเนิดวิญญาณที่แข็งแกร่งมาก เจ้าเองก็คงจะรู้สึกได้บ้าง ข้าเพิ่งฟื้นกลับมาแค่ปีสองปี ถือว่าพลังยังอ่อนแออยู่ ควบคุมเขาได้เป็นบางครั้งเช่นนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ
เมื่อผู้อาวุโสจี้ซาได้ยินดังนั้นจึงผงกหัวน้อยๆ ในใจไม่มีความสงสัยใดอีก
แหล่งกำเนิดวิญญาณอันแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิด แต่ด้วยระดับของผู้อาวุโสจี้ซาแล้วก็ยังพอรู้สึกได้บ้าง
ขวับ!
จ้าวเฟิงโบกสะบัดมืออีกครั้งเพื่อเก็บร่างของเจ้าหอโครงกระดูกกลับไป แล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า”ร่างเดิมของข้ายังอ่อนแอมาก รอข้าฟื้นคืนพลังได้ก่อน ค่อยลองยึดเอาร่างเจ้าเด็กนี่อีกที”
เพียงเท่านี้ผู้อาวุโสจี้ซาก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก
ในเวลานั้นความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปเรียบร้อย มองจ้าวเฟิงเป็นเจ้าหอโครงกระดูกโดยสิ้นเชิง
“ท่านเจ้าหอ คนทั้งสองที่ตามมาแต่ไกลนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับท่านหรือ” สตรีในชุดคลุมสีดำที่อยู่ด้านข้างถามอย่างเคารพ
ในเวลาเดียวกันนั้น
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเตรียมพร้อมเมื่อมองไปยังเงาของคนทั้งสองที่เหาะตามจ้าวเฟิงอยู่ลิบๆ
“ก็เพราะเจ้าเด็กนี่ประลองยุทธ์จัดการผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลจินหยาง แล้วยังแย่งชิงฉายาสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมาได้อีก เลยเป็นเหตุให้ถูกตามฆ่า…..”
จ้าวเฟิงเบ้ปาก
“เหอะ! เวลาผ่านมานับร้อยปี ตระกูลจินหยางยังทำเรื่องต่ำช้าหน้าไม่อายเช่นนี้” ผู้อาวุโสจี้ซาส่งเสียงเหอะ
แล้วในเวลานั้นพอดี
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางลอยตัวอยู่เหนือป่า แล้วสอดส่ายสายตาลงมาด้านล่าง
“ระวังโดนเล่นทีเผลอล่ะ เด็กนี่สำเร็จเคล็ดวิชามรดกสายเลือดดวงตาทั้งสามแขนงของทวีปแล้ว” ผู้อาวุโสหมวกฟางร้องเตือน
ผู้นำตระกูลจินหยางจึงมิกล้าวางใจ ดวงเนตรที่สามบนหน้าผากเบิกกว้างพร้อมสอดส่องหาฝ่ายตรงข้าม
ไม่นานนัก ผู้นำตระกูลจินหยางก็หาจ้าวเฟิงพบ และเห็นสตรีในชุดคลุมสีดำนั้นด้วย
สตรีในชุดคลุมสีดำนางนั้นฝึกตนถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
“อืม เพียงแค่ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้กังวลใจหรอก ในสถานการณ์ปกติข้าเพียงใช้สายเลือดดวงตาก็ลอบสังหารได้ทันที”
สายเลือดเนตรเซียนของเจ้าสำนักจินหยางสอดส่องไปทั่วผืนป่าอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบร่องรอยเพิ่มเติมใดๆ
ผู้อาวุโสหมวกฟางจึงเปิดพลังสัมผัสจิตวิญญาณมองปราดหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า
“ฆ่า!”
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางกลายเป็นลำแสงสองลำพุ่งลงไปโจมตีจ้าวเฟิงทันที
“บังอาจนัก กล้าเสียมารยาทกับท่านเจ้าหอ” สตรีในชุดคลุมสีดำส่งเสียงกร้าว แล้วจึงกลายร่างเป็นกลุ่มหมอกสีดำเป็นระลอกรอต้อนรับผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองทันที
ช่วงเป็นท่าร่างที่แปลกประหลาดเสียจริง!
ใจของจ้าวเฟิงกระตุก ความเร็วของสตรีชุดดำเมื่อเทียบกับเขายามไม่ใช้ปีกวายุอัสนีก็แทบจะไม่ต่างกันแต่อย่างใด
อนึ่งพลังท่าร่างของอีกฝ่ายแปลกพิสดารเหลือประมาณ ราวกับหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกแห่งความมืด แสงจากทั้งสี่ทิศถูกหักเหไปมาจนเปลี่ยนรูปร่าง
“ควันพิฆาต!”
นางส่งระลอกไอมีดไปบนอากาศพร้อมด้วยจิตสังหารที่ไร้รูปร่าง ใบมีดที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนกระจายตัวพุ่งไปยังผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟาง
“ระวัง หญิงนั่นเป็นวิชาเงาสังหาร!”
ผู้อาวุโสหมวกฟางร้องเตือน ด้วยความสามารถที่เหนือกว่าการฝึกตนได้ครึ่งขั้นของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทำให้เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
พรึบ! พรึบ!
รอบตัวมืดมิดลง ไอมีดสังหารซัดเข้ามาไม่หยุด มีบางครั้งที่เฉี่ยวไหล่ของคนทั้งสองไป
พลั่ก!
ใบมีดปักไปยังขาของผู้นำตระกูลจินหยางจนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หากเคลื่อนไหวช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว ขาที่บาดเจ็บคงไม่ใช่แผลเล็กน้อยเช่นนี้
ในพริบตาเดียว
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางโดนโจมตีอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรับมือทัน ไม่ใช่ว่าคนทั้งสองจะรับมือกับสตรีในชุดคลุมนั้นไม่ได้ เพียงแต่ว่าทั้งสองจดจ่ออยู่กับจ้าวเฟิง จึงมองข้ามไม่ระแวดระวังสตรีในชุดคลุมคนข้างๆ
“สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ จับมายา!” ผู้นำตระกูลจินหยางคำรามเสียงดัง ‘ดวงตาที่สาม’ บนหน้าผากเปล่งแสงออกมาทะลุผ่านไปในอากาศ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ทุกที่ที่แสงศักดิ์สิทธิ์นั้นเดินทางผ่าน ต้นไม้รอบๆ ล้วนไหม้กลายเป็นฝุ่นควัน
ผลัวะ!
ควันเงาต่างๆ ที่ถูกเสกโดยหญิงในชุดคลุมโดนพลังงานที่ไร้รูปร่างใดๆ จับไว้ รูปลักษณ์จึงถูกเปิดเผยออกมาให้มองเห็นได้ ทำให้ความเร็วช้าลงเหมือนกับว่าติดอยู่ในโคลน
“แย่แล้ว! สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลจินหยาง”
สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป นางเสกคลื่นเงาคล้ายหมอกคลุมขึ้นอีกชั้นทั่วทั้งร่างเพื่อต่อสู้กับมนตร์จับมายาที่กำลังพยายามจับหมอกควันของนาง
แต่ทว่า สายเลือดเนตรเซียนของตระกูลจินหยางซึ่งครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่งที่สุดในทวีปจะถูกทำลายลงง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร ?
พรึ่บ พั่บ!
ร่างกายของสตรีชุดดำราวกับถูกทำให้แข็งทื่อ ระลอกควันทั่วร่างกายค่อยๆ จางหายไป คล้ายกับว่าถูกพลังบางอย่างทะลุผ่านแล้วทำให้จางหาย
“ช่างเป็นวิชาดวงตาที่สูงส่งยิ่งนัก! คนผู้นี้คือผู้นำตระกูลจินหยางงั้นหรือ? การใช้สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าถึงขั้นสุดยอด ถ้าหากเมื่อก่อนข้าประลองวิชาดวงตากับเขา ผลแพ้ชนะคงยากที่จะคาดเดา”
จ้าวเฟิงอดหวั่นใจไม่ได้
หากจะกล่าวถึงพวกธาตุพื้นฐานของสายเลือดเนตรเซียนแล้วล่ะก็ ของจำพวกความสามารถหรือระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือด ผู้นำตระกูลจินหยางเทียบกับโอรสสวรรค์สามตาไม่ได้เลย
แต่ว่าผู้นำตระกูลจินหยางมีวิชาแข็งกล้า เมื่อใช้แล้วความสามารถกลับไปไกลเกินกว่าโอรสสวรรค์สามตามากนัก ต่อให้เป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นกำเนิดก็มิใช่คู่ต่อสู้ของผู้นำตระกูลจินหยาง
สตรีชุดดำผู้เชี่ยวชาญวิชาเงาสังหารคนนั้นมีพลังแข็งแกร่งกว่าชายผมแดงเถี่ยหมัว แต่ตอนนี้กลับกำลังเพลี่ยงพล้ำ
“วิชาเงาสังหารมาเจอกับดวงตาเทพเจ้าของตระกูลจินหยาง เจ้าช่างโชคร้ายเสียจริง”
ดวงตาที่สามบนหน้าผากของผู้นำตระกูลจินหยางเปล่งลำแสงที่แข็งแกร่งขึ้นออกมาจับตัวสตรีในชุดคลุม จากนั้นค่อยๆ ทำลายไอเกราะป้องกันรอบกายนาง
หญิงสาวชุดคลุมดำกัดฟันแน่น ทว่าบนสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ถึงแม้วิชาของนางจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังโดนสายเลือดดวงตาเข้าควบคุมได้ง่ายยิ่งนัก แล้วอีกฝ่ายยังเคยเป็นสายเลือดเนตรเซียนผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปอีก
“ตูม!”
พลังเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออก ทั่วร่างหุ้มไปด้วยสายฟ้า เตรียมจะเข้าช่วยเหลือหญิงชุดคลุมดำ
“จ้าวเฟิง! คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าต่างหาก”
น้ำเสียงดุดันมาจากเบื้องบน
ในทันใดนั้นจ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ปกคลุมกดดันอยู่ทั่วฟ้า ราวกับว่ามีเทพยักษ์หนักราวสิบล้านชั่งหล่นลงมา
หัตถ์มารเทวะ!
แสงสีเงินคู่หนึ่งที่มีรูปทรงเหมือนมือสองข้างตบลงมาจากบนฟ้าโดยดึงไอสวรรค์มาจากธรรมชาติในรัศมีร้อยลี้ ราวกับเปลี่ยนให้ธรรมชาติทั้งหมดกลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังชั้นดี
“ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด? หรือเป็นผู้สูงศักดิ์กัน?”
จ้าวเฟิงใจเต้น อากาศบริเวณรอบๆ ราวกับมีไอสวรรค์หนักแน่นดุจภูเขามหึมากดทับลงมา หากเป็นขั้นนายเหนือแท้ธรรมดาล่ะก็ เพียงอยากจะขยับสักคืบหนึ่งคงยากเย็นเหลือเกิน
แต่ทว่านี่ไม่เป็นเช่นนั้น
ในนัยน์ตาของผู้อาวุโสหมวกฟางปรากฏพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีเงินยะเยือกขึ้น แล้วจึงปล่อยพลังที่ไร้รูปร่างออกมารับมือกับดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง
เขาเองก็มีสายเลือดดวงตา!
“ต่อให้เป็นลู่เทียนอี้ที่พบที่ซากปรักหักพังสือเฉิงก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้”
จ้าวเฟิงเริ่มหายใจติดขัดด้วยสีหน้าหนักใจ
ในเวลานั้นเอง แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณวายุอัสนีในร่างกายของเขา พลังดวงตาเทพเจ้า และพลังสายเลือดถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด
หากว่าจ้าวเฟิงไม่เรียกใช้พลังทั้งสิบสองส่วนในการรับมือ ในสถานการณ์ทั่วๆไป ถ้ามิใช้หอกจักรพรรดิเหมันต์ก็มิอาจต่อกรผู้อาวุโสหมวกฟางคนนี้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
“ช่วยข้าด้วย!”
สตรีในชุดคลุมสีดำกำลังถูกสามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์โจมตี ไอพลังของเกราะป้องกันค่อยๆหายไปเรื่อยๆ
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป! เพียงแค่หนอนรนหาที่สองตัวเท่านั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ…”
เสียงลึกลับดังขึ้น เสียงนั้นราวกับมาจากความมืดที่เวิ้งว้าง
ครืน!
เงาของความมืดปกคลุมป่าเอาไว้ ก่อนจะขยายตัวออกจนกลืนทั้งป่าเข้าไปในความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
“นั่นคือ ….”
ผู้อาวุโสหมวกฟางและผู้นำตระกูลจินหยางทั้งร่างแข็งไปหมด
เพียงพริบตาเดียว ราตรีมืดมิดไร้ขอบเขตรอบกายก็ราวกับกลืนวันกลืนคืนไปหมดจนทุกอย่างมืดสนิท
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เหนือศีรษะของคนทั้งสองปรากฏเงาใหญ่โตของชายผู้สวมมงกุฎ
ตัวตนของบุรุษในเงานั้นให้ความรู้สึกราวกับเขาเป็นราชันย์แห่งความมืดมิดนี้
“ผู้…ผู้สูงศักดิ์!” ผู้อาวุโสหมวกฟางเปล่งเสียงออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อรับรู้ถึงรังสีน่ากลัวของเงานั้น
พรึ่บ เคว้ง!
ในโลกที่มืดมิดนั้น ฉับพลันมีเงาใบมีดโผล่ออกมาสองเงาพุ่งตรงไปยังคนทั้งสอง เลือดพลันสาดกระจาย…