บทที่ 519 ผู้อาวุโสจี้ซา
เมื่อการประลองสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินจบลง งานน้ำชาเซียนมังกรก็สิ้นสุดตาม
ผู้จัดงานทั้งสองอย่างปิงเวยเซียนจื่อและโอรสสวรรค์สามตาได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนำซ้ำยังล้มเหลวครั้งใหญ่หลวงอีก
ภายในลานว่างของงานประลองน้ำชา
บรรดาอัจฉริยะเซียนมังกรและเหล่าผู้ชมการประลองต่างบอกลากันแล้วค่อยๆ สลายตัวไป
หนึ่งในบรรดาคนที่จากไปแรกๆ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจ้าวเฟิง ราชาของผู้ถูกเลือกซึ่งเก็บกวาดผู้ร่วมประลองคนอื่นในงานน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้จนเรียบ
การขอตัวกลับของจ้าวเฟิงเป็นไปด้วยความรีบร้อน ราวกับว่ามีเรื่องด่วนอะไรกระนั้น ถึงขั้นที่ว่าคนมากมายยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ใด จ้าวเฟิงก็ทะยานจากไปเสียแล้ว
“จ้าวเฟิง นี่มันเรื่องอะไรกัน ไยจึงจากไปกะทันหันโดยไม่ร่ำลา”
พวกของจินไท่จื่อจากอาณาจักรนภาซึ่งเดินทางมาด้วยกันยังงุนงงไม่เข้าใจ
คนที่รู้จักจ้าวเฟิงเช่นโม่เทียนอี้ ชางหยูเยว่ รวมทั้งชื่อเฉิงเทียนยังไม่ทันได้ทักทาย เขาก็ทะยานสู่อากาศจากไปเรียบร้อย
เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรและผู้ที่รู้จักจ้าวเฟิงล้วนแต่รอให้การประลองจบลงเพื่อแสดงความยินดีกับเขา
กลับกลายเป็นว่าจ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะให้โอกาสคนทั้งหลายเหล่านั้น เขากลายร่างเป็นสายฟ้าแล้วพุ่งทะยานเข้าเมฆไปทันที ระดับความเร็วนั้นเหล่าผู้ถูกเลือกภายในสนามประลองก็ยังยากจะตามทัน
“เจียงซานเฟิง จ้าวเฟิงมีเรื่องด่วนอะไรรึ เหตุใดจึงรีบร้อนจากไปเช่นนี้” พวกโม่เทียนอี้และชื่อเฉิงเทียนเอ่ยปากถาม
สายตาของมวลชนจับจ้องยังเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ผู้มาจากลัทธิโลหะเลือดเช่นเดียวกับจ้าวเฟิง
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่มองตากันแวบหนึ่ง แล้วจึงฝืนยิ้มพลางส่ายหัว
จ้าวเฟิงจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเขาจะไปที่ไหนหรือมีเจตนาใด
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังสงสัย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของพวกเขา”พวกเจ้ากับโม่เทียนอี้กลับไปที่อาณาจักรนภาก่อน ข้ามีเรื่องต้องไปทำก่อนครู่หนึ่ง”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เสียงเดียวกันก็ดังขึ้นในหัวของพวกโม่เทียนอี้และชื่อเฉิงเทียนด้วย
“เป็นจ้าวเฟิง!”
“ดูแล้วเขาคงจะมีธุระด่วนเป็นแน่ จึงได้จากไปก่อนเช่นนี้”
คนกลุ่มใหญ่สบตากันแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
งานน้ำชาเซียนมังกรครานี้ จ้าวเฟิงจัดการผู้ถูกเลือกทั้งสามจนราบคาบและยังกำราบโอรสสวรรค์สามตาซึ่งเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ทำให้เขาได้เป็นราชันของผู้ถูกเลือกไปเรียบร้อย
ในเวลาเดียวกัน สายเลือดดวงตาอันดับหนึ่งของแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่มายาวนานก็มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเขา
ความสำเร็จในอนาคตของจ้าวเฟิงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ขอเพียงเขาไม่พลาดท่าร่วงลงไปเสียก่อน อนาคตคงไม่แคล้วได้เป็นนายเหนือหัวผู้จะตัดสินชะตาของเหล่าประชาในแผ่นดิน
ราชาแห่งผู้ถูกเลือกที่อยู่ในวัยหนุ่มแน่นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากจะสานสัมพันธ์กับเขาทั้งนั้น
บนยอดเขาไกลลิบ
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางครุ่นคิดหนัก ดวงตานิ่งขรึม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำตระกูลจินหยางที่ดูโมโหและเกลียดชังจนแววสังหารพาดผ่านในแววตา
“หากเจ้าและข้าร่วมมือกันฆ่าเขา ความเป็นไปได้ก็ยังมีแค่หกถึงเจ็ดส่วน”
ผู้อาวุโสหมวกฟางมองผู้นำตระกูลจินหยางปราดหนึ่ง
“เพียงแค่หกถึงเจ็ดส่วน?”
ผู้นำตระกูลจินหยางมีท่าทางไม่อยากเชื่ออยู่หลายส่วน
เขาบำเพ็ญเพียรถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดบวกกับมีสายเลือดเนตรเซียน คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับผู้สูงศักดิ์ยากที่จะรับมือไหว
ส่วนผู้อาวุโสหมวกฟางคนนี้ ถึงแม้จะมิใช่ผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อร้อยปีก่อนขาดอีกเพียงครึ่งขั้นก็จะทะลวงผ่านระดับผู้สูงศักดิ์ไปได้ นับได้ว่าแข็งแกร่งมากกว่าระดับครึ่งขั้นของผู้สูงศักดิ์อยู่มากโข
หากทั้งสองร่วมมือกันแล้วล่ะก็ อย่างน้อยน่าจะรับมือผู้ที่อยู่ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสักสองหรือสามคนได้
“เจ้าเด็กคนนั้นเชี่ยวชาญเรื่องความเร็ว อีกทั้งยังสำเร็จเคล็ดวิชาลับมรดกสายเลือดดวงตาทั้งสามแขนงของแผ่นดิน หากลงมือฆ่าไม่สำเร็จ ตระกูลจินหยางจะต้องแบกรับผลของการกระทำที่ไม่อาจคาดคิดได้เลย” ผู้อาวุโสหมวกฟางสาธยาย
ทางฝ่ายผู้นำตระกูลจินหยางได้ยินแล้วสีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด
คิดจะฆ่าจ้าวเฟิงถือว่ามีความเสี่ยงมากโข หนำซ้ำผลลัพธ์ที่ตามมายังไม่อาจจะคิดจินตนาการได้
การดำรงตำแหน่งเป็นผู้ถูกเลือกไปอีกสิบกว่าปี อาจทำให้อนาคตของจ้าวเฟิงไปได้ถึงจุดสูงสุดของยุค แม้แต่มือดาบเย่อู๋เสียและกษัตริย์สามตาล้วนไม่อาจเทียบได้ในยามที่ทั้งคู่อยู่วัยเดียวกันกับจ้าวเฟิง
“ต้องขอคำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ผู้นำตระกูลจินหยางสูดหายใจลึกด้วยยังตัดสินใจอะไรไม่ได้
การต้องแบกรับผลจากการตามฆ่าจ้าวเฟิงนับได้ว่าน่ากลัวเสียจริง
แน่นอนว่าตอนนี้ผู้นำตระกูลจินหยางทั้งสองยังไม่ได้รับข่าวคราวของจ้าวลัทธิโลหะเลือด
ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเบื้องหลังของจ้าวเฟิงยังมีผู้สูงศักดิ์ระดับแก่นก่อกำเนิดด้วย ต่อให้มอบความกล้าแก่พวกเขาอีกเป็นร้อยก็คงไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้เป็นแน่
“ยิ่งได้ผลดีมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยกเว้นก็แต่ความเสี่ยงนี้ที่ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าแก่การเสี่ยงหรือไม่ การฆ่าจ้าวเฟิงจะมีผลประโยชน์อะไรแก่เรา ท่านเป็นผู้นำตระกูลจินหยาง ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเถอะ”
ภายใต้รอยยิ้มของผู้อาวุโสหมวกฟางราวกับมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าซ่อนอยู่
เมื่อผู้นำตระกูลจินหยางได้ยินก็ราวกับว่าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แล้วจึงดำดิ่งลงในภวังค์อย่างรวดเร็ว
ฉับพลัน ในแววตาของเขาปรากฏแสงวาบน้อยๆ บนร่างมีรังสีความกล้าแผ่ออกมามากมาย
“ท่านตัดสินใจแล้วงั้นรึ?” ผู้อาวุโสหมวกฟางถามยิ้มๆ
ผู้นำตระกูลจินหยางสูดหายใจลึกแล้วเอ่ย”สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงจะเรียกว่าสามารถพลิกฟ้าก็ยังได้ ความสามารถอื่นที่ซุกซ่อนอยู่ก็ไม่อาจคาดคะเน อายุเพิ่งจะสิบยี่สิบปีกลับสำเร็จในระดับนี้แล้ว หากสามารถใช้เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้ามขโมยเอาสายเลือดดวงตาของเขามา อนาคตของตระกูลจินหยางก็จะรุ่งเรืองอย่างคาดคิดไม่ถึง”
“ช่างหาญกล้านัก! นี่สิค่อยเหมือนผู้นำตระกูลจินหยางขึ้นมาหน่อย”
ผู้อาวุโสหมวกฟางพยักหน้าชื่นชม”เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้ามบทนั้น ต่อให้เป็นตระกูลจินหยางก็มีเพียงทฤษฎีที่ไม่สมบูรณ์ โอกาสที่จะสำเร็จมีไม่เกินครึ่งส่วน ถึงแม้ตอนนี้โอกาสจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่โอกาสน้อยนิดนี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของข้า เจ้า ตระกูลจินหยาง หรือแม้แต่ทั้งทวีปด้วยเช่นกัน”
ในชั่วขณะนั้นเอง ความคิดของผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางเหมือนกันโดยไม่ต้องปรึกษาหารือแม้แต่น้อย
หากคิดจะประสบความสำเร็จต้องทำการใหญ่ ต้องมีความกล้า เอาชีวิตเข้าแลก!
“ตาม!”
ผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางเปลี่ยนร่างเป็นแสงสีเงินและทองลอยละลิ่วขึ้นสู่ก้อนเมฆ
“เบิกเนตร!” ตาที่สามของผู้นำตระกูลจินหยางเปิดออกตรวจตราอย่างถี่ถ้วน ในรัศมีสองร้อยลี้ล้วนมองเห็นอย่างปรุโปร่งทั้งสิ้น
ต่อให้จ้าวเฟิงหนีไกลออกไปอีกสิบเท่า สายเลือดเนตรเซียนของเขาก็มีวิชาสะกดรอยมากมาย สุดท้ายต้องมีวิธีตามหาจนเจอ เนื่องด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงมิได้รีบร้อนตามไปในทันที
“ยังไปไม่ไกลเท่าไหร่ อยู่ไกลออกไปเพียงร้อยลี้เท่านั้น”
สายเลือดเนตรเซียนของผู้นำตระกูลจินหยางระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของจ้าวเฟิงเรียบร้อยแล้ว
พลังฝึกตนที่แข็งแกร่งของทั้งสองเพิ่มความเร็วขึ้นทันที แล้วจึงตามจ้าวเฟิงไปยังทิศทางที่เขาอยู่ ไม่นานช่องว่างระหว่างจ้าวเฟิงและคนทั้งสองก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิด
โครม! พรึบ!
ทันใดนั้นเอง เบื้องหลังของจ้าวเฟิงก็ปรากฏปีกสายฟ้าคู่หนึ่ง พลังของสายอัสนีบาตทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ความเร็วของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน สายฟ้าฟาดลงไปยังทุกที่ที่เขาผ่าน เสียงดังกัมปนาททำให้ผู้คนตื่นตระหนกกันหมด
“แย่ล่ะ โดนเขาจับได้เสียแล้ว สายเลือดดวงตาของเจ้าเด็กนี่ช่างร้ายกาจจริงๆ”
“อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้!”
สีหน้าของผู้นำตระกูลจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางเริ่มเปลี่ยนสี พวกเขาร่ายวิชาแล้วจึงเร่งความเร็วตามขึ้นไป ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าจ้าวเฟิงผู้มี ‘วิชาปีกวายุอัสนี’ ทะยานไปบนฟ้าอย่างรวดเร็วจนนำคนทั้งสองไปขาดลอย
คนทั้งสองพยายามตามติดจ้าวเฟิงอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่เพียงแค่ไล่ตามจ้าวเฟิงไม่ทัน ระยะห่างกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“ไม่ต้องรีบร้อน วิชาที่เขาใช้ในการบินน่าจะไปแบบนี้ได้ไม่เท่าไหร่หรอก พวกเราสองคนบำเพ็ญเพียรมาร่วมร้อยปี ไอสวรรค์ที่บำเพ็ญเพียรมาจะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอน”
ผู้อาวุโสหมวกฟางพูดอย่างสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่นสิ” ผู้นำตระกูลจินหยางพยักหน้าคล้อยตาม
หากบินด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป คนทั้งสองมั่นใจนักหนาว่าพลังของเขาทั้งสองจะเอาชนะจ้าวเฟิงได้ หนำซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าด้วยสายเลือดเนตรเซียนของผู้นำตระกูลจินหยางจะตามติดจ้าวเฟิงได้เช่นกัน
วี้ด!
ทางฝั่งของจ้าวเฟิง ด้วยความเร็วในการบินนั้น ไม่นานนักก็สามารถสลัดคนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังทิ้งห่างออกไปร้อยสองร้อยลี้ ในเวลานี้ไม่กี่สิบลี้ด้านหน้าเป็นป่ามืดทึบแห่งหนึ่ง
“จ้าวหอโครงกระดูก” จ้าวเฟิงคล้ายกับเริ่มอ่อนแรงลงจึงหยุดบินแล้วเอ่ยปากออกมา
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำเช่นนี้” จ้าวหอโครงกระดูกเอ่ยถามเสียงต่ำ จ้าวเฟิงไม่ตอบแล้วร่อนลงที่พื้น จากนั้นจึงเดินลอยชายเข้าไปในป่า
ภายในป่า
สวบสาบ!
บนต้นไม้ใหญ่ปรากฏเงาเลือนรางสองเงา เงาหนึ่งเป็นสตรีใส่ชุดคลุมสีดำเนื้อลื่น และอีกเงาหนึ่งที่ใหญ่กว่าบนศีรษะสวมมงกุฎ เงาที่สวมมงกุฎรอบกายราวกับมีรัศมีสีดำประหลาดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
“ผู้อาวุโส เจ้าเด็กคนนั้นมันกำลังตรงมาหาพวกเรา” หญิงงามในชุดคลุมสีดำเอ่ย
“อืม…ข้าสัมผัสได้ว่าตราคำสั่งเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดกำลังใกล้เข้ามา” เงาของผู้อาวุโสกว่าหันหน้าไปด้านหน้า
ตึกตึก! ตึกตึก!
เสียงฝีเท้าเบื้องหน้าที่ฟังดูแข็งแกร่งค่อยๆ ใกล้เข้ามา ดูออกไม่ยากนัก เจ้าของฝีเท้านั้นมีเป้าหมายที่แน่นอน และเป้าหมายนั้นคือที่แห่งนี้
นัยน์ตาสงบเงียบของผู้อาวุโสปรากฏความประหลาดใจแวบหนึ่ง
“ผู้อาวุโส จะให้ข้าลงมือจัดการจับเขาหรือไม่!”
สตรีผู้สวมชุดคลุมสีดำแผ่ไอดำรอบกายเป็นคลื่นจิตสังหารที่เย็นยะเยือก อากาศโดยรอบเย็นลงอย่างฉับพลัน ไอเย็นไร้รูปร่างพุ่งผ่านไปยังต้นไม้ทุกต้น ใบหญ้าทุกใบรอบๆ บริเวณและเงาของผู้อาวุโสก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไร
ตึกตึก! ตึกตึก!
เจ้าของเสียงฝีเท้านั่นค่อยๆ โผล่มาในครรลองสายตา ชายหนุ่มวัยรุ่นผมสีน้ำเงินไร้ซึ่งอารมณ์ใดเดินก้าวเท้าสบายๆ ราวกับเดินเล่นในสวน ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากสตรีในชุดคลุมสีดำทะลุผ่านไปยังรอบบริเวณ ผู้อยู่ในระดับต่ำกว่าผู้สูงศักดิ์ลงไปไม่อาจรอดชีวิตได้ ทว่ากลับไม่มีผลกระทบอะไรต่อเจ้าหนุ่มคนนี้แม้แต่น้อย
“เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้ากล้าเดินเข้ามาในกับดับนี่ อยู่ต่อหน้าท่านผู้อาวุโสชื่อเยวี่ยก็ว่านอนสอนง่ายเถิด อย่าขัดขืนเลย” หญิงในชุดคลุมสีดำลากคลื่นเงาดำมาเป็นสาย
ชิ้ง! ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินไม่ทันได้ระวังตัวเพียงแวบเดียวเท่านั้น ไอใบมีดเย็นๆ เบาบางราวกับกลุ่มควันก็อยู่รอบลำคอของเขา
ในที่สุดชายหนุ่มผมสีน้ำเงินก็หยุดฝีเท้าลง เพราะหากขยับเพียงเล็กน้อย ไอใบมีดที่จ่อคอเขาอยู่อาจทำให้เขากลายเป็นผีหัวขาดได้ทุกเมื่อ
ร่างกายทั้งบนล่างของจ้าวเฟิงมีกลิ่นอายความตายปกคลุมไปทั่ว เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ เป็นแค่คนที่อยู่ราวกับคนรับใช้ คนที่มีความสามารถคล้ายกับหลู่เทียนอีในตอนก่อนก็เท่านั้น
“เจ้าเด็กผมน้ำเงิน บนตัวเจ้าไยจึงมีกลิ่นอายของตราคำสั่งเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาด แล้วยังไม่ยอมคุกเข่าต่อผู้อาวุโสชื่อเยวี่ยอีก” หญิงงามผู้สวมชุดคลุมสีดำเนื้อลื่นเคลื่อนไหวราวปีศาจมาโผล่อยู่ด้านหลังของจ้าวเฟิง
สีหน้าของจ้าวเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาได้ยินคำว่า ‘ผู้อาวุโสชื่อเยวี่ย’ สี่คำนี้ เขาก็ยังเก็บอารมณ์ที่ประเดประดังเข้ามาไว้จนถึงขีดสุด
“ผู้อาวุโสจี้ซา ในร้อยปีนี้ไม่ได้พานพบ หวังว่าคงสบายดี” จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจสตรีในชุดคลุมสีดำเท่าไหร่นัก ไม่ใส่ใจจะเอาความอะไร ตามองไปยังผู้อาวุโสบนต้นไม้ซึ่งราวกับเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ารู้นามผู้อาวุโสได้อย่างไร” สตรีในชุดคลุมสีดำตกตะลึง
เงาผู้อาวุโสที่สวมมงกุฎเอ่ยเสียงเบาอย่างแปลกใจ”เจ้าคือ?”
ทั้งสองคนล้วนแต่ตื่นตกใจ เจ้าเด็กผมสีน้ำเงินแปลกหน้าผู้นี้เพียงปราดเดียวก็มองผู้อาวุโสสวมมงกุฎซึ่งปรากฏกายภายใต้เงาออก
ยกเว้นเสียแต่ว่าเจ้าเด็กนี่ก็เป็นศิษย์ของลัทธิมารจันทราชาด? หรือไม่ก็เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของลัทธิมารลัทธิหนึ่ง?
แต่หากว่าเป็นผู้สืบทอดของลัทธิมารใดๆ ก็คงไม่เคยพานพบผู้อาวุโสชื่อเยวี่ยเมื่อร้อยปีก่อนหรอก?
“หึหึ ผู้อาวุโสจี้ซา ในตอนนั้นใครเป็นผู้นำเจ้าเข้าร่วมลัทธิมารจันทราชาด แล้วยังฝากฝังเจ้าไว้กับท่านจ้าวลัทธิกันเล่า? เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าและผู้คุ้มครองเถี่ยกู่ได้ใครช่วยเอาไว้ในยามที่โดนจอมดาบเย่อู๋เสียตามฆ่ากัน?”
จ้าวเฟิงเลียริมฝีปาก
คำพูดเล่านี้จ้าวเฟิงเอ่ยปากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ
“หา?” สตรีในชุดคลุมผู้อยู่ด้านหลังจ้าวเฟิงถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
เมื่อฟังจากน้ำเสียง ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินตรงหน้าน่าจะมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ดูราวว่าคุ้นเคยกับผู้อาวุโสจี้ซามาก และอย่างน้อยก็คงอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสชื่อเยวี่ย
“เจ้า…เจ้าคือจ้าวหอโบราณ!” ร่างภายใต้เงาของผู้อาวุโสจี้ซาสั่นเทิ้มน้อยๆ ในแววตามีความประหลาดใจ