บทที่ 518 หมากที่ก้าวพลาด
เปรี้ยง~
ลำแสงเซียนพิฆาตทั้งสองที่คล้ายคลึงกันปะทะกันกลางท้องฟ้า
ลำแสงเซียนพิฆาตที่จ้าวเฟิงปล่อยออกมาฟาดลงมาในแนวดิ่ง เป็นลำแสงสีเขียวรุ้งเย็นเยียบ ซึ่งปลดปล่อยลูกไฟเล็กนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาทิ่มแทงสรรพสิ่งทั้งหลายบนพื้นดิน
ส่วนลำแสงเซียนพิฆาตของโอรสสวรรค์สามตาพุ่งตรงขึ้นมาจากเบื้องล่าง เป็นลำแสงที่บิดเบี้ยวไปมาสีเจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ และฟาดฟันสรรพสิ่งต่างๆ รวมไปถึงจิตวิญญาณด้วย
ยามที่คนทั้งสองปะทะกันเกิดเป็นลูกไฟแพรวพราวหลากสีสัน ลูกไฟมากมายสลายหายไปกลางอากาศ
แต่ที่น่าประหลาดคือ
ลำแสงเซียนพิฆาตทั้งสองหลังจากปะทะกันแล้วไม่ได้หายไปหมด ที่สลายไปนั้นมีเพียงแค่บางส่วน จากนั้นก็พุ่งสวนทางกันเท่านั้น
ภาพนี้อยู่นอกเหนือความคาดเดาของผู้ชมทั้งสิ้น
แม้กระทั่งโอรสสวรรค์สามตา เจ้าตัวเองก็ยังตื่นตระหนกเช่นกัน
เคร้ง! เคร้ง!
เมื่อลำแสงทั้งสองปะทะกัน พลังบางส่วนอ่อนแรงลง แล้วจึงพุ่งผ่านกันไป
ความแตกต่างอยู่ที่…
ลำแสงพิฆาตของจ้าวเฟิงล้วนแต่โจมตีที่กายหยาบ แต่ลำแสงพิฆาตของโอรสสวรรค์สามตาแผดเผาทั้งกายภายนอกและจิตวิญญาณภายใน
บนทิวเขาสูงที่อยู่ไกลลิบ
“มิใช่แล้ว! ลำแสงเซียนพิฆาตของเขามิได้สมบูรณ์มากนัก มีพลังทำร้ายได้แค่กายหยาบภายนอกก็เท่านั้น” เจ้าสำนักจินหยางถอนหายใจเสียงต่ำ
ลำแสงพิฆาตที่สมบูรณ์แบบควรจะโจมตีทั้งภายนอกและภายในได้ในเวลาเดียวกัน
แต่กับจ้าวเฟิง บางทีอาจเพราะแอบเรียนวิชาดวงตาเป็นเวลาสั้นๆ และไม่ได้เรียนจนเป็นนัก จึงมีความสามารถเพียงแค่ทำร้ายร่างกายภายนอกได้
เช่นนี้ ลำแสงเซียนพิฆาตของจ้าวเฟิงจึงสลายพลังลำแสงของโอรสสวรรค์สามตาได้เพียงแค่ ‘ขั้นกายหยาบภายนอก’ เท่านั้น แต่การจะสลายพลังลึกลงไปถึง ‘ชั้นจิตวิญญาณ’ นั้นกลับไม่มีผลใดๆ
แต่ในทางกลับกัน พลังดวงตาของจ้าวเฟิงทั้งหมดทุ่มไปยังชั้นกายหยาบภายนอก การทำเพียงแค่ขั้นนี้ก็มีข้อได้เปรียบเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ยามเมื่อลำแสงทั้งสองปะทะกัน จึงปัดป้องได้เพียงส่วนหนึ่งแล้วพุ่งผ่านกันไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า…จ้าวเฟิง! เจ้าแอบเรียนวิชาลำแสงเซียนพิฆาตของข้าก็เรียนได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็เท่านั้น”
โอรสสวรรค์สามตาหัวเราะร่วน
ลำแสงเซียนพิฆาตของจ้าวเฟิงเห็นได้ชัดว่าแอบเรียนได้เพียงแค่ครึ่งเสวียนอ้าว
การที่สายเลือดดวงตาของสกุลจินหยางควบคุมวิชาดวงตาในแผ่นดินได้มากมายนั้น ด้วยเพราะว่าเป็นพลังที่โจมตีทั้งกายภายนอกและจิตวิญญาณภายในได้ในเวลาเดียวกัน และด้วยเหตุนี้ ลำแสงเซียนพิฆาตลักษณะนี้จึงสามารถแก้วิชาดวงตาลับทั้งหลายได้
“ใช้ลำแสงเซียนพิฆาตเพียงครึ่งเสวียนอ้าวรับมือเจ้านั้นเพียงพอแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเอ่ยจบ ลำแสงเซียนพิฆาตทั้งสองก็สวนทางกันแล้วพุ่งไปยังเป้าหมายซึ่งเป็นฝ่ายตรงกันข้ามทั้งสอง
“ท่าไม่ดีแล้ว! นี่มิใช่ว่าจะบาดเจ็บพ่ายแพ้กันทั้งสองฝ่ายหรอกรึ”
เหล่าผู้ชมที่อยู่ในสนามประลองสีหน้าสลด
เจ้าสำนักจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางที่นั่งชมอยู่ ณ ที่ทิวเขาไกลๆ มีสีหน้าฉงน
“ผลประลองสุดท้ายแล้วเสมอกัน ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายนัก”
ผู้อาวุโสหมวกฟางเอ่ยพลางลูบเครา
ผู้ชมเห็นแค่เพียงแสงเย็นเยียบสีเขียวรุ้งเส้นนั้น หลังจากเลือนรางไปครึ่งหนึ่งก็โดนเข้าที่ร่างของโอรสสวรรค์สามตา
ร่างของโอรสสวรรค์สามตาสั่นระรัว แล้วจึงกัดฟันกระตุ้นปราณจิตวิญญาณ เรียกลำแสงเส้นสีทองเจิดจ้าเป็นชั้นๆ เพื่อตั้งรับการปะทะที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างของแสงสีเขียวรุ้งนั่น
อีกฝั่ง จ้าวเฟิงยืนปักหลักนิ่งบนพื้นดิน ไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านแต่อย่างใด ลำแสงเจิดจ้าโจมตีวิญญาณภายในที่ยังหลงเหลืออยู่พุ่งผ่านร่างกายของเขาไป
เพียงชั่วพริบตา ในดวงตาของเขาราวกับมีคลื่นใหญ่ปั่นป่วนอยู่กลางมหาสมุทรลึก กลางนัยน์ตาเป็นน้ำวนน้อยๆ ที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว พลังลำแสงซึ่งทำลายล้างฟาดฟันล้วนแต่สลายกลายเป็นศูนย์จนหมดสิ้น หลังจากนั้นจึงกลับมาเป็นภาวะปกติ
สถานการณ์เช่นนี้ เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับการโยนเลื่อยเข้าไปในบ่อน้ำลึก ไม่อาจตัดอะไรให้ขาดได้ทั้งนั้น
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร!”
โอรสสวรรค์สามตารู้สึกว่าลำแสงเซียนพิฆาตของเขาราวกับพุ่งผ่านเข้าไปในทะเลสาบไร้ก้นบ่อ
จ้าวเฟิงไม่ได้แยแสกับพลังขั้นทำร้ายวิญญาณที่หลงเหลือจากลำแสงเซียนพิฆาตของเขาเลย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” บุรุษเนตรวิญญาณกับถั้วป๋าฉีสบตากันแล้วจนด้วยคำพูด
ที่แท้ลำแสงเซียนพิฆาตของจ้าวเฟิงมุ่งไปที่กายเนื้อภายนอก แล้วรวบรวมพลังดวงตาไปที่การฟาดฟันและทำลายกายหยาบนั้นอีกที จึงทำให้พลังยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การโจมตีที่ ‘ชั้นกายเนื้อภายนอก’ ของลำแสงพิฆาตที่โอรสสวรรค์สามตาปล่อยออกมา จึงถูกจ้าวเฟิงจัดการทลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงแค่การทำลายชั้นจิตวิญญาณเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม การโจมตีในชั้นจิตวิญญาณของลำแสงพิฆาตนั้นจ้าวเฟิงก็ไม่ได้มองข้ามไป!
นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สุดของดวงตาเทพเจ้าของเขา!
แต่โอรสสวรรค์สามตาผู้เป็นคู่ต่อสู้ของเขา กลับไม่เห็นความสำคัญของพลังลำแสงพิฆาตที่ทำลายกายหยาบภายนอกแม้เพียงนิด
“เหอะ!” โอรสสวรรค์สามตาพ่นเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ พลังลำแสงเซียนพิฆาตของจ้าวเฟิงและพลังอีกสามถึงสี่ส่วน ล้วนแต่ถูกเขารับไว้และสลายไปได้
หนึ่งคือเขาต้องกระตุ้นลำแสงพิฆาต อนึ่งคือเขายังต้องกระตุ้นปราณจิตวิญญาณเพื่อปกป้องร่างกาย ใจจึงร้อนรุ่มดังไฟเผา
มองกลับมาที่จ้าวเฟิง เขาต้องการเพียงพลังทั้งหมดในการกระตุ้นลำแสงเซียนพิฆาต เพื่อทำให้การทำลายขั้นกายหยาบภายนอกไปถึงขีดสุด
ความแตกต่างอย่างสุดขั้วนี้ ยิ่งทำให้ระยะห่างของทั้งสองไกลมากขึ้นไปอีก
วิ้ง! ลำแสงสีเขียวรุ้งนั้นเกิดเป็นลูกไฟหนาวเย็นสีสันหลากหลายที่พุ่งเพื่อทำลาย ฉีกและทึ้งร่างกายของเขา
เพียงแค่เวลาสองช่วงลมหายใจ โอรสสวรรค์สามตาก็กรีดร้อง ทั่วร่างกายปรากฏรอยแผลเล็กๆ มีเลือดซิบ
“ข้าบอกแล้วไงว่าเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของลำแสงเซียนพิฆาตก็มากพอแล้วที่จะเอาชนะเจ้า”
จ้าวเฟิงยกมุมปากยิ้มบางๆ
แท้จริงแล้ว
เขามิได้สำเร็จวิชาลำแสงเซียนพิฆาตทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำลายชั้นจิตวิญญาณที่ยุ่งยากเหลือเกิน แต่ว่าจ้าวเฟิงไม่ต้องการพลังที่เหลืออีกครึ่งนั้น
ต้องรู้ก่อนเลยว่า บนร่างของโอรสสวรรค์สามตามีเกราะป้องกันปราณถึงสามหรือสี่ชิ้น เพราะได้ยินมาก่อนว่าจ้าวเฟิงมีความถนัดในวิชาเคล็ดดวงตา จึงเตรียมมาเป็นพิเศษ
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงใช้ลำแสงพิฆาตในการทำลายชั้นวิญญาณแล้วล่ะก็ มิใช่เท่ากับว่าสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ หรอกหรือ?
ดังนั้น จ้าวเฟิงจึงเร่งกำจัดพลังเสวียนอ้าวอีกครึ่งหนึ่งของลำแสงเซียนพิฆาตนี้ เพียงใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นพลังเสวียนอ้าวครึ่งหนึ่งของกายหยาบ ดังเช่นกลยุทธ์ ‘เถียนจี้แข่งม้า’[1] ซึ่งเป็นจุดอ่อนของโอรสสวรรค์สามตาพอดี
“ทำลาย!”
นัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงปลดปล่อยพลังดวงตาที่แข็งแกร่งกว่า พลังที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดก็ออกมา นี่ถึงเรียกว่าการระเบิดพลังที่แท้จริง
บึ้ม! แสงเขียวรุ้งเย็นเยียบที่ทะลุไปในอากาศเป็นประกายหลากสีสัน เป็นพลังที่หนาวเหน็บรุนแรงยิ่งขึ้น
“อ้าก!” โอรสสวรรค์สามตาร้องอย่างทรมาน ทั่วร่างกายสะบักสะบอม มีบาดแผลและรอยเลือดนับไม่ถ้วน
ผลั่ก! ร่างของโอรสสวรรค์สามตาพุ่งออกไปแล้วล้มลงในกองเลือด
จ้าวเฟิงลอยตัวกลางอากาศ มองลงมายังคู่ต่อสู้ เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้วจึงลดมือลง ด้วยไม่ได้มีเจตนาจะลงมือสังหาร
ในวินาทีนี้ทั่วทั้งงานประลองน้ำชาก็พลันเงียบสนิท หลังจากนั้นจึงมีเสียงถอนหายใจผิดหวังดังขึ้นประปราย
บุรุษเนตรวิญญาณและถั้วป๋าฉีมองหน้ากันอย่างจนหนทาง
การพ่ายแพ้ของโอรสสวรรค์สามตา ไม่เพียงเป็นการแพ้แบบอเนจอนาถ ยิ่งไปกว่านั้นคืออับอายขายขี้หน้า เขามิได้แพ้เพราะคู่ต่อสู้ใช้วิชาดวงตา แต่แพ้ด้วยลำแสงเซียนพิฆาตของตนเอง
นี่ยิ่งตอกย้ำคนดูในสนามประลองให้จดจำคำพูดที่จ้าวเฟิงเคยย้ำมาก่อนว่า ‘ขอศึกษาอย่างถ่อมตน’ ในการท้าประลองกับตระกูลสายเลือดดวงตาอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
บนยอดเขาไกลออกไป
มาขอศึกษาอย่างถ่อมตน?
ใบหน้าของผู้อาวุโสหมวกฟางกระตุก”จ้าวเฟิงผู้นี้เจตนาไม่ใช่เป็นการลองธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจในพลังดวงตาของตัวเอง จึงมาท้าประลองแบบ ‘ขอศึกษา’ เช่นนี้”
“ข้าได้ถ่ายทอดพลังดวงตาทั้งหมดให้แก่เซิ่งเอ๋อร์แล้ว…สุดท้ายแล้วก็ยังห่างกันก้าวหนึ่งอยู่ดี” เจ้าสำนักจินหยางเอ่ยอย่างเคียดแค้น
ตามแผนที่วางไว้คือ โอรสสวรรค์สามตาจะมีพลังดวงตาที่เขาถ่ายทอดให้เป็นข้อได้เปรียบ พลังดวงตาของทั้งสองคนจะได้ไม่ต่างกันมากนัก
หากเป็นไปตามแผน โอกาสที่จะประลองผลเสมอกันหรือสองฝ่ายพ่ายแพ้สะบักสะบอมทั้งคู่ก็เป็นไปได้สูงทีเดียว
“นี่จะโทษใครได้ เมื่อสุดท้ายแล้วไม่ได้พ่ายแพ้เพราะพลังที่แตกต่างกัน แต่แพ้ที่มันสมองในการวางกลยุทธ์ต่างหาก” ผู้อาวุโสหมวกฟางถอนหายใจยาว
เมื่อเจ้าสำนักจินหยางได้ยินดังนั้น จึงครุ่นคิดพิจารณาในคำพูดของผู้อาวุโสหมวกฟาง แล้วพลันรู้สึกหนักใจมากขึ้นไปอีก
อันที่จริง สุดท้ายที่จ้าวเฟิงได้ชัย ไม่ใช่เป็นเพราะได้เปรียบในด้านของพลังใดๆ หากว่าเขาลอกเลียนลำแสงเซียนพิฆาตแบบ ‘ครบสมบูรณ์’ โดยแบ่งพลังดวงตาออก ก็คงไม่อาจล้มโอรสสวรรค์สามตาได้
จ้าวเฟิงควบคุมหมากตานี้ได้อย่างสมบูรณ์และมองขาดมากจริงๆ
ประการแรก เขามิได้เข้าใจในพลังลำแสงพิฆาตอย่างถ่องแท้ จึงปล่อยลำแสงเซียนพิฆาตที่ใช้เสวียนอ้าวเพียงครึ่งเดียว เช่นนี้ทำให้เขาควบคุมได้ง่ายมากขึ้น สุดท้ายแล้วแม้ลำแสงเซียนธาตุลมจะมีพลังการทำลายแข็งแกร่ง ทว่าหากประมือกับลำแสงธาตุไฟและแสงก็ยังคงด้อยกว่าเป็นแน่
จ้าวเฟิงได้ลอกเลียนแบบทฤษฎีของลำแสงเซียนพิฆาต โดยประยุกต์ใช้กับดวงตาเทพเจ้าสีเขียว
ประการที่สอง บนร่างกายของโอรสสวรรค์สามตาได้เตรียมเกราะป้องกันปราณสี่ห้าชิ้นไว้ จึงทำให้กายหยาบกลับกลายเป็นจุดด้อยของเขา
ผลัวะ!
หลังจากบรรยากาศเงียบสนิทในระยะเวลาสั้นๆ เกิดขึ้น งานเลี้ยงน้ำชาเซียนมังกรก็กลับมาคึกคัก เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างถกกันถึงการประลองของจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาที่กระทบถึงปัจจัยต่างๆ มากมาย
มีไม่กี่คนสัมผัสได้ถึงเจ้าสำนักจินหยางที่แอบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง
หลังจากจบการประลองนี้ หัวข้อเกี่ยวกับ ‘การขอศึกษา’ ของจ้าวเฟิงก็กลายเป็นประเด็นร้อนที่คนพูดคุยกันอย่างออกรส จนถึงเวลานี้ ฝูงชนจำนวนมากถึงเริ่มเข้าใจจุดประสงค์แท้จริงที่จ้าวเฟิงท้าประลองกับวิชามรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน
“มิใช่ว่าจ้าวเฟิงผู้นี้ศึกษาเคล็ดวิชามรดกสายเลือดดวงตาทั้งสามแขนงของแผ่นดินเรียบร้อยแล้วหรือ…” ไม่รู้ใครเริ่มเอ็ดตะโรเสียงดัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งสนามก็เกิดชุลมุน ฝูงชนซึ่งตื่นตระหนกสูดหายใจลึกแล้วจึงมองไปยังร่างของชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่อยู่บนฟ้าราวกับว่า ‘ไม่ใช่มนุษย์’
บนทิวเขาไกลออกไป
“วิชาสายเลือดดวงตาทั้งสามแขนงของแผ่นดินถูกเขาลอกเลียนแบบแล้วประยุกต์ใช้ หรือว่านี่คือทักษะพลังสายเลือดดวงตาที่แท้จริงของเขา?” ใจของเจ้าสำนักจินหยางและผู้อาวุโสหมวกฟางเต้นระรัว
หากว่าจ้าวเฟิงลอกเลียนพลังสายเลือดดวงตาของผู้อื่นได้ เช่นนั้นไม่ว่าจะเคล็ดวิชาใดในโลกนี้ ขอเพียงแค่มีขอบเขตที่เพียงพอ และไม่มีข้อจำกัดสายเลือดพิเศษ จ้าวเฟิงล้วนสามารถลอกเลียนแบบได้ทั้งสิ้น
เดาได้เลยว่าหลังจากการประลองครั้งนี้จบลง เรื่องเกี่ยวกับการ ‘ขอความรู้แบบถ่อมตน’ ของจ้าวเฟิงน่าจะกระฉ่อนไปทั่วแผ่นดิน
“ความสามารถทางสายเลือดดวงตาเช่นนี้ของเจ้า ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยินมาก่อน เกรงว่าหลังจากนี้ คนในแผ่นดินคงมีคนไม่กี่คนแล้วที่จะยอมประลองกับเจ้า” เสียงของจ้าวตำหนักโครงกระดูกสื่อสารทางจิตกับเขา
แววตาของฝูงชนที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ตื่นตระหนก หวาดกลัว จับจ้องไปที่จ้าวเฟิงซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ การจับจ้องเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่เล็กน้อย
“การประลองน้ำชาครั้งนี้ ได้ลองประมือกับผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลจินหยาง นับว่าเป็นเกียรติของจ้าวเฟิงยิ่งนัก ขอขอบคุณท่านโอรสสวรรค์สามตาที่ชี้แนะ” จ้าวเฟิงประสานมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความถ่อมตน จากนั้นก็ทักทายกับฝูงชนเบื้องล่างก่อนขอตัวลา
งานเลี้ยงน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้ จุดมุ่งหมายของเขาได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต้องอยู่ต่อ
การประลองครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่ชิงเอาสมญาสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งสุดในแผ่นดินมาได้ แต่ยังบรรลุจุดประสงค์แอบลักเรียนของเขาด้วย
อึก! โอรสสวรรค์ที่พึ่งลุกขึ้นนั่งได้ เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวก็กระอักเลือดออกมา
“เจ้าเด็กน่าตาย! มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน!”
เจ้าสำนักจินหยางที่อยู่บนยอดเขาไกลออกไปโมโหราวกับพายุ ทำเสียงฟึดฟัด จากนั้นเหาะลงไปยังงานประลองน้ำชา
เอ๋? เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงบางอย่าง บนสีหน้ามีความฉงนสงสัย มองไปยังทิศใดทิศหนึ่ง
“เหลวไหล! เจ้าจะทำให้สกุลจินหยางขายขี้หน้าไปอีกรึไง?”
บนหน้าผากของผู้อาวุโสหมวกฟางปรากฏเชือกเส้นสีดำ เมื่อยืนแขนออกไป เชือกเส้นนั้นก็กดเจ้าสำนักจินหยางไว้กับพื้น
โอรสสวรรค์สามตาแพ้ก็ช่างเถิด อย่างมากก็แค่เสียฉายามรดกสายเลือดดวงตาอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นที่หนึ่ง แต่การเป็นที่สองก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก
แต่หากปล่อยให้คนทั้งโลกรู้ว่าสกุลจินหยางมีเจ้าสำนักแอบโกงอยู่เบื้องหลังแต่ก็ยังแพ้พ่ายต่อจ้าวเฟิงอีก จะเอาหน้าที่ไหนไปสู้คนในแผ่นดินได้?
…………………………..
[1] เถียนจี้แข่งม้า เป็นเรื่องการพนันขันแข่งระหว่างคนแข่งม้ากับท่านอ๋อง ความหมายคืออ่อนให้คู่ต่อสู้ก่อน