Skip to content

King of Gods 549

King Of Gods

บทที่ 549 ของรับขวัญจากจ้าวเฟิง

กองกำลังของ ‘ลู่เทียนอี้’ มีผู้สูงศักดิ์หนึ่งคน ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสามคน ที่เหลือเป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดสิบคน

ดูภาพรวมแล้วกองทัพที่ส่งมาออกจะน้อยกว่าในคราวแรก

จากจุดนี้จึงมองได้ว่าการซ่อมแซมรอยโหว่ของจ้าวเฟิงได้ผลอยู่ไม่น้อย

แต่ว่ากองกำลังของสามสำนักรอบนี้ ไอพลังของแต่ละคนแข็งกล้ากว่าคนระดับเดียวกันมาก

“จ้าวเฟิง! ยังไม่ออกมารับความตายอีกหรือ!” น้ำเสียงและสีหน้าของลู่เทียนอี้ถมึงทึง ดวงตาของเขาราวดวงจันทร์เป็นประกายในคืนเดือนมืด เต็มไปด้วยความอำมหิตและไอสังหารเย็นยะเยือก

ทันทีที่ปรากฏตัวออกมา ดวงตาของลู่เทียนอี้ก็จ้องไปยัง ‘จ้าวเฟิง’ ผู้ยืนอยู่ไกลๆ

สมาชิกในกองกำลังเบื้องหลังของเขา แต่ละคนมีกลิ่นอายกระหายสงครามพวยพุ่ง แววตาเย็นชา ตั้งหลักพร้อมรอจะรบราฆ่าฟันทันที

เห็นได้ชัดเลยว่านี่คือกองกำลังระดับมาตรฐานซึ่งนำโดยลู่เทียนอี้ คนบ้าสงครามที่เพิ่งได้เป็นผู้สูงศักดิ์

สิ่งควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ ในกลุ่มคนมีสตรีแน่งน้อยใบหน้าสะคราญ ตรงหว่างคิ้วมีปานลายพระจันทร์เสี้ยว เรือนผมสีม่วงโบกสะบัด นางเป็นดุจภูตปีศาจกลางลมราตรี

สตรีคนดังกล่าวมีเสน่ห์เย้ายวน ไม่ว่าจะขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้ม ล้วนเต็มไปด้วยพลังมารที่สามารถปลิดชีพคน ดุจบุปผาชาติบานในหุบเหวลึกที่ทั้งลึกลับ ทั้งน่าค้นหา

 

นางก็คือ ‘จงหว่านเอ๋อร์’ แห่งตำหนักมารจันทรา

มีความเป็นมาคล้ายกับจ้าวเฟิง นางเข้าไปในวิหารสองชั้นแล้วได้รับมรดกที่แข็งแกร่งมาเช่นกัน

“ลู่เทียนอี้ พวกเราไปรวมกลุ่มกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก่อนดีกว่า แล้วค่อยปรึกษากันให้ดีอีกที” จงหว่านเอ๋อร์หยิบป้ายหยกที่ดูไม่ธรรมดาออกมา แล้วจึงปล่อยพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงเข้าไป

แต่ทว่าลู่เทียนอี้กลับไม่แยแสนางเลยแม้แต่น้อย ดวงตาราวจันทร์ประกายที่เต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องเขม็งไปที่จ้าวเฟิง

ยามพบหน้าศัตรูคู่แค้น ต่างฝ่ายต่างยิ่งโมโหโกรธา

คิดถึงคราวก่อนในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงแห่งนี้ พลังรบที่ทำลายทุกอย่างของลู่เทียนอี้ บีบบังคับให้จ้าวเฟิงและหอคอยพฤกษาปีศาจต้องรบสุดกำลัง แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง

ลู่เทียนอี้ยังคงจดจำความเจ็บปวดที่โดนแมงป่องตัวนั้นเกาะอยู่ที่ลำคอขณะพิษแพร่กระจายไปทั่วร่างกายได้เป็นอย่างดี

“วางใจเถอะ!” ลู่เทียนอี้เอ่ยเสียงต่ำ “ข้ายังมีอาวุธสังหารที่แข็งแกร่งอยู่ อีกทั้งต่อให้เป็นในสถานการณ์ปกติ การจะปลิดชีพเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เมื่อเอ่ยจบ ร่างกายของเขาก็ปล่อยไอสวรรค์จำนวนมากออกมา ทำให้ตัวเขาเป็นประหนึ่งจุดศูนย์กลางของพลังธรรมชาติเลยทีเดียว

คนจำนวนไม่น้อยในกองทัพเบื้องหลังเขาต่างเลียริมฝาก มองดูการประลองซึ่งระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

จ้าวเฟิงและหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่แทบเท้าเขาต่างรู้สึกถึงความกดดันมหาศาล

“กลิ่นอายพลังอันแข็งแกร่งเหลือเกิน…” เจ้าหอโครงกระดูกผู้อยู่ในประคำหมื่นวิญญาณใจเต้นถี่ เขาเองก็คาดคิดไว้ว่ากองทัพที่สองของทั้งสามสำนักน่าจะมาถึงแล้ว

“เหอะ เหอะ! ทั้งสามสำนักมาเยี่ยมครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ ข้าจะไม่ส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไปให้ได้อย่างไร” จ้าวเฟิงนั่งลงบนพื้น ดูไม่มีทีท่าเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่เอ่ยจบ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันหดเล็กลง พลังดวงตาลึกลับดำดิ่งลงไปใต้ดิน

ครืน~

พื้นดินภายใต้เท้าของลู่เทียนอี้และพรรคพวกสั่นไหวอย่างรุนแรง แล้วจึงเกิดเสียงโครมครามประหนึ่งภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย

โครม ตูม!

ใจกลางของหุบเขาลี้ลับค่อยๆ แยกออก กลิ่นอายเก่าแก่มหาศาลพวยพุ่งจากพื้นดินเบื้องล่าง

“แย่แล้ว!”

กองทัพสามสำนักยืนไม่มั่นคง กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งนี้ก่อให้เกิดความกดอากาศรุนแรง ทำให้หายใจลำบากนัก ขนาดผู้แข็งแกร่งเช่นลู่เทียนอี้ยังหัวใจบีบรัด ร่างกายก็พลันหนักอึ้ง

“ทุกคนระวัง! ใต้พื้นดินนี้อาจจะมีสัตว์อสูรในขั้นผู้สูงศักดิ์ซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้…” จงหว่านเอ๋อร์ตะโกนเตือนเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวใต้ฝ่าเท้า

วูบ~

รอยแยกขนาดใหญ่ปริออก มีเสียงร้องคำรามทรงพลังดังออกมา

โครม!

จากนั้นแรงดึงกระชากราวเขาไท่ซานก็ลอดออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน

“ไม่!”

“อ๊าก…” กองทัพจากสามสำนักโกลาหลวุ่นวาย

ผลุบ! ผลัวะ! สวบ!

เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น คนจากสามสำนักครึ่งหนึ่งก็ถูกพลังแข็งแกร่งลากลงไปใต้พื้นพสุธา เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นไม่ขาดสาย

อ๊าก! อ๊าก!

เหล่ายอดฝีมือจำนวนไม่น้อยพยายามฝืนแรงนั้น ร่างกายราวกับโดนภูเขาหนักราวหมื่นชั่งทับบนร่างของตน จนกระอักเลือกออกมาไม่น้อย

นอกจากลู่เทียนอี้ คนที่ยังต้านแรงไว้ได้ล้วนแต่บาดเจ็บสาหัส หนึ่งในคนเหล่านั้นมีจงหว่านเอ๋อร์ที่บาดเจ็บไม่หนักมากนัก แต่ก็ยังกระอักเลือดออกมาเช่นกัน

“นั่น…นั่นคือ…” จิตใจของคนทั้งหลายสั่นไหวอย่างรุนแรงยามจ้องมองรอยแยกขนาดใหญ่นั้น

วูบ~

ภายในรอยแยกมี ‘ยักษ์ศิลา’ ตัวใหญ่กว่าสิบจั้งปีนออกมา ร่างกายประกอบขึ้นจากหินอัคนีสีเหลืองอ่อน ยักษ์ศิลานี้เหมือนกับเผ่าพันธุ์โบราณอะไรสักอย่าง มีพลังเทียบเท่าผู้สูงศักดิ์ พลังกดดันมหาศาลทำให้กองทัพสามสำนักเสียหายไปกว่าครึ่ง

“ฮ่าๆ แขกผู้มาเยือนทั้งหลาย! ‘ของรับขวัญ’ ชิ้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงที่ยืนอยู่บนกิ่งก้านของหอคอยพฤกษาปีศาจเอ่ยยิ้มๆ

เขาคาดคะเนไว้นานแล้วว่ากองทัพถัดมาของสามสำนักจะถูกส่งมาที่นี่ แล้วจะไม่ให้เตรียมการอะไรเลยได้อย่างไร?

อีกอย่างหากเป็นการตั้งรับแบบธรรมดา อาจจะถูกจับได้โดยโลกภายนอก

แต่ว่ายักษ์ศิลาหลบซ่อนอยู่ใต้ดิน เพียงแค่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ โลกภายนอกก็ยากจะจับสังเกตได้

เมื่อเผชิญหน้าเหตุการณ์กะทันหันจนไม่ทันระวัง กองทัพของลู่เทียนอี้ที่เพิ่งมาถึงก็โดนโจมตีอย่างหนักหน่วง

โลกภายนอก ยอดเขาเทียมฟ้า

ราชันปราณเทวะทั้งสามหน้าถอดสีไปหมด

การส่งคนเข้าไปครั้งที่สองนี้ เดิมทีควรเป็นจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์ทั้งหมด

แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึง ยังไม่ทันได้เริ่มรบ กองทัพของลู่เทียนอี้ก็สูญเสียกันไปกว่าครึ่งแล้ว ภายในกองทัพเหลือเพียงแค่ลู่เทียนอี้ จงหว่านเอ๋อร์ คนอื่นที่เหลือล้วนแต่บาดเจ็บสาหัส พลังรบหดหายไปมาก

“ฆ่า!” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่งด้วยเสียงเบาๆ พลังดวงตากับวิญญาณหลอมรวมกับแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา แล้วควบคุมยักษ์ศิลาให้สังหารกองทัพของลู่เทียนอี้

โฮก!

ยักษ์ศิลาร้องคำรามเสียงดัง พลังที่ไร้รูปร่างทะลวงผ่านอากาศ เมื่อสะบัดมือ

เงาหินอัคนีขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังแห่งขุนเขาพุ่งเข้าไปทำลายล้างกองทัพของลู่เทียนอี้

อ๊าก! โครม ตูม!

พลังโจมตียังไม่ทันมาถึง คนในกองทัพหนึ่งหรือสองคนก็โดนพลังที่ไร้รูปร่างทะลวงจนแหลกตายคาที่

“ไสหัวไป!” ลู่เทียนอี้คำราม แล้วจึงตวัดมือข้างหนึ่งอย่างรุนแรง คลื่นมีดจันทร์เสี้ยวสีทองสะบัดออกไปในแนวราบ เกิดเป็น ‘มหาสมุทรจันทราทอง’ ที่มืดฟ้ามัวดิน ไอเย็นสีทองพร่างพรายส่องประกายในรัศมีกว่าสิบลี้

ตึง ตึง ตึง…

ยักษ์ศิลาที่บุกทะลวงแนวหน้าโดนคลื่นมีดสีทองตัดทะลวงผ่านร่าง ทั้งกายเกิดเป็นประกายไฟเต็มไปหมด

จ้าวเฟิงและหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ไกลๆ ล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีนี้ มหาสมุทรจันทราทองผืนนั้นเกิดจากคลื่นมีดจำนวนนับไม่ถ้วน มันสาดซัดพลังอันแข็งแกร่งทำลายสรรพสิ่งในทุกที่ที่มันผ่านไป

ฟู่~

ผิวกายของจ้าวเฟิงเกิดกำแพงน้ำสีฟ้าห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เพื่อต้านรับพลังของคลื่นมีดที่ปรี่เข้ามา

หอคอยพฤกษาใต้ฝ่าเท้าเขา ตามกิ่งก้านสาขาของมันเต็มไปด้วยบาดแผลเป็นรอยโหว่และรูพรุนมากมาย

นี่เป็นเพียงแค่พลังที่หลงเหลือจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของลู่เทียนอี้

“โชคดีที่การป้องกันของยักษ์ศิลาแข็งแกร่งนัก อาจเพราะเป็นประเภทเดียวกันกับสือเฉิงเทียน แต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า” จ้าวเฟิงประหลาดใจ

ไม่เสียทีที่ลู่เทียนอี้เป็นอัจฉริยะในด้านการรบของทั้งสามสำนัก นิยมการโจมตีด้วยอานุภาพทำลายล้างขนาดนี้ เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก่อนหน้านี้แล้วคนละเรื่องละราวกันเลย

ตูม! โครม…

ใจกลางของมหาสมุทรจันทราทอง ลู่เทียนอี้และยักษ์ศิลาต่อสู้กันหลายตลบ ไอสวรรค์เป็นคลื่นสาดกระแทกไปมา คลื่นพลังนั้นมีรัศมีสิบกว่าลี้

“อ๊าก อ๊าก…” กองทัพสามสำนักเริ่มกรีดร้องโหยหวนอีกครั้ง

จ้าวเฟิงสั่งให้ยักษ์ศิลาสาดพลังใส่คนอื่น เพื่อควบคุมให้พวกนั้นอยู่ในพื้นที่การรบราฆ่าฟัน

เพียงเวลาแค่หนึ่งหรือสองชั่วลมหายใจเท่านั้น

กองทัพของลู่เทียนอี้ก็เหลือเพียงแค่เขากับจงหว่านเอ๋อร์สองคน ไม่หลงเหลือสัญญาณชีวิตใดอีก คนอื่นๆ ล้วนแต่ล้มตายไปหมดแล้ว

สถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับสามสำนักแล้วนับได้ว่าเป็นความโหดร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน

“จงหว่านเอ๋อร์ เจ้าไปรวมตัวกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก่อน ความแค้นในคราวก่อนข้าจะต้องชำระให้ได้”

ลู่เทียนอี้ตวัดมือเพียงครั้งเดียว ก็ผลักให้จงหว่านเอ๋อร์ลอยละลิ่วไปไกลลี้สองลี้

ยามเห็นคนในกองทัพที่มาด้วยกันตายไปทีละคนสองคน ดวงตาของลู่เทียนอี้แดงก่ำ เขากระตุ้นพลังสายเลือด ใช้วิธีการรบอันแข็งแกร่งเพื่อให้พลังรบพุ่งทะยานถึงขีดสุด แล้วจึงจัดการยักษ์ศิลาจนล่าถอยไป

“ลู่เทียนอี้คนนี้ พลังที่แท้จริงของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน เกรงว่าผู้สูงศักดิ์ธรรมดาของทวีปบุปผาครามจะต้านรับเขาได้ไม่กระบวนท่าเท่านั้น” จ้าวเฟิงอดหวั่นเกรงขึ้นมาไม่ได้

ในคราวก่อน เขาไม่ได้ประมือกับลู่เทียนอี้อย่างจริงจัง เพราะเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเอาแมงป่องพิษโยนเข้าไปภายในร่างของอีกฝ่าย

ลู่เทียนอี้ในวินาทีนี้กระตุ้นพลังสายเลือดดวงตา พลังการรบจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขนาดแข็งแกร่งดุจยักษ์ศิลา มีพลังสายเลือดโบราณ ยังแทบไม่สามารถต่อกรกับลู่เทียนอี้ได้

“น่าเสียดาย ยักษ์ศิลาจำศีลมานานเกินไป พลังป้องกันแข็งแกร่ง แต่ว่าพลังรบมีเพียงแค่หกเจ็ดส่วนของยามที่รุ่งโรจน์เท่านั้น” จ้าวเฟิงควบคุมยักษ์ศิลาให้รบไปถอยไป พยายามหลอกล่อลู่เทียนอี้ออกจากบริเวณรอยโหว่อย่างสุดความสามารถ

โชคดีที่รอยโหว่ในบริเวณหุบเขาลี้ลับถูกซ่อมแซมไปมากกว่าครึ่งแล้ว จึงทนทานต่อการโจมตีของผู้สูงศักดิ์ได้

“นายท่าน ให้ข้าลงมือเถอะ น่าจะสามารถจัดการเด็กนี่ได้” เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกแว่วมา

หลายวันที่ผ่านมานี้ จำนวนของหุ่นเชิดศพต้องสาปภายในค่ายกลเพิ่มขึ้นถึงสามสิบแปดร่าง พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพย่อมเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว

“ไม่ต้องรีบร้อน” จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ แล้วส่ายศีรษะ

ยามเขาหลอมรวมกับแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาในสภาวะธรรมดา การควบคุมยักษ์ศิลาสิ้นเปลืองพลังไปก็ไม่นับว่ามากมายอะไร ยักษ์ศิลานี้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่สุดที่จำศีลอยู่ภายใต้หุบเขาลี้ลับ พลังของพวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าหอคอยพฤกษาปีศาจและแมงป่องยักษ์โบราณหนึ่งขั้น

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกมันนานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย

แต่ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงใช้เวลาระยะหนึ่งควบคุมยักษ์ศิลาที่อยู่ใต้พื้นดินลึก เพื่อที่จะป้องกันการบุกรุกโจมตีของสามสำนัก

สามารถพูดได้ว่านอกเสียจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงแล้ว ก็ไม่มีบุคคลที่สามล่วงรู้ถึงความลับนี้

โครม ตูม บึ้ม…

การประลองของลู่เทียนอี้กับยักษ์ศิลาไม่อาจจะตัดสินแพ้ชนะได้ในระยะเวลาอันสั้น

ในเรื่องของพลังการรบ ลู่เทียนอี้เป็นต่ออยู่แน่นอน แต่ว่าพลังป้องกันของยักษ์ศิลาแข็งแกร่งมาก สามารถต้านทานการโจมตีของผู้สูงศักดิ์ได้สบายๆ

“ลู่เทียนอี้มุทะลุจริงๆ”

“จะโทษเขาก็ไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าจ้าวเฟิงคนนั้นเตรียมยักษ์ศิลาที่เป็นเผ่าพันธุ์โบราณใต้ดินมาโจมตีเขาล่ะ” ยอดฝีมือทั้งสามสำนักที่โลกภายนอกต่างถอนหายใจ

หากว่าลู่เทียนอี้เลือกถอยทัพไปรวมตัวกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก่อน สถานการณ์คงไม่เลวร้ายเช่นนี้ แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งในการรบอย่างลู่เทียนอี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร โดยเฉพาะยิ่งอยู่ต่อหน้าศัตรูคู่แค้นด้วยแล้ว

ณ หุบเขาลี้ลับ

การรบยิ่งดุเดือดขึ้นทุกที ถึงแม้ว่ายักษ์ศิลาจะไร้เทียมทาน และแรงฉุดกระชากจากข้างล่างก็ยังกัดลู่เทียนอี้ไม่ปล่อย

ลู่เทียนอี้ต่อสู้มาเป็นระยะเวลายาวนานมาก จนบนหน้าผากผุดไรเหงื่อขึ้นเป็นเม็ดๆ พลังการรบของเขากระตุ้นมาจากพลังสายเลือด จึงไม่สามารถใช้ต่อเนื่องนานๆ ได้

“อาวุธชั้นพิภพ ดาบเขี้ยวหมาป่าวงพระจันทร์!” แววตาของลู่เทียนอี้เรืองแสง ดาบสีม่วงหน้าตาประหลาดปรากฏขึ้นในมือของเขา ด้ามจับเป็นหัวหมาป่า ส่วนคมดาบโค้งดังพระจันทร์เสี้ยว

นั่นก็คืออาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์!

ยามที่ดาบดังกล่าวปรากฏขึ้น จ้าวเฟิงรู้สึกได้แค่เพียงว่า ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ที่ซุกซ่อนภายในกายราวกับได้รับการกระตุ้น แล้วส่งพลังกระหายสงครามออกมา

คล้ายกับพลังต้องห้ามบางอย่างที่หลับใหลภายในหอกจักรพรรดิเหมันต์ถูกปลุกขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

“อาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์งั้นสิ? ลู่เทียนอี้! หรือนี่จะเป็นไม้ตายของเจ้า?”

จ้าวเฟิงรู้สึกแค่เพียงว่ามีพลังเหมันต์เก่าแก่ค่อยๆ ทะลักออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของอาวุธ จากนั้นไหลวนอยู่ในพลังสายเลือดธาตุเหมันต์และธาตุน้ำของตน

ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ไม่คิดเลยว่าอาวุธชั้นพิภพของลู่เทียนอี้จะปลุกพลังบางส่วนของหอกจักรพรรดิเหมันต์ซึ่งเป็นมรดกชั้นพิภพให้ตื่นขึ้นได้ ถึงขนาดทำให้พลังสายเลือดของเขาพัฒนาขึ้นด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version