บทที่ 577 ว่องไวราวติดปีก
“…ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้ามาอยู่ภายในฝูงวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าเสียแล้ว”
ลูกเรือในเรือตัวชาวาบเมื่อตกอยู่ในความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
ในห้วงท้องทะเล
กลิ่นอายของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่กลุ่มนั้น ทุกตัวล้วนแต่เป็นกลิ่นอายของ ‘วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า’ ในตำนาน อีกทั้งกลิ่นอายเหล่านี้ส่วนมากเป็นของวาฬที่โตเต็มวัย พลังเกินกว่าผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา
กลิ่นอายของสัตว์ทะเลจำนวนมาก รวมตัวกันก่อให้เกิดเป็นพลังที่น่าเกรงขาม มากพอที่จะทำให้ยอดฝีมือธรรมดาต้องอกสั่นขวัญแขวน เหมือนวิญญาณโบยบินออกจากร่าง!
บรรดาคนในเรือสูดหายใจเย็นเฉียบ แต่ละคนกลั้นลมหายใจ
ตุบ ตุบ! ตุบ ตุบ!
เสียงหัวใจเต้นของบรรดาลูกเรือดังขึ้นกึกก้องในเรือที่เงียบสงัด
“มีแต่ต้องแตะถึงขั้นราชันในขอบเขต ‘ปราณเทวะ’ จึงจะสามารถอยู่รอดปลอดภัย มิฉะนั้นต่อให้เป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงก็คงตายอย่างไร้ดินกลบหน้า” ใจของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ในหมู่วาฬแห่งทะเลความว่างเปล่านี้ก็มี ‘วาฬยักษ์’ อยู่หลายตัว เมื่อเทียบกับตัวที่กลืนกินพวกเขา พลังก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก วาฬยักษ์ที่มีจำนวนน้อยนิดนี้มีจิตและร่างกายแข็งแกร่งกว่ายอดผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เกรงว่าคงไม่มีหนทางไหนเลยที่จะต่อสู้กับพวกมันอย่างซึ่งหน้า
ในสถานการณ์แบบนี้ จ้าเฟิงเองก็ไร้ซึ่งหนทางใด สีหน้ากลับไปสงบราบเรียบดังเดิม มีสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือ การไม่ทำอะไรเลยแล้วพยายามเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้
ปุด ปุด วูบ
วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่าว่ายผ่านน้ำลึก บางคราวเปล่งเสียงต่ำชวนเขย่าขวัญออกมา ‘ทักทาย’ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใกล้ๆ
ลูกเรือทุกคนยังคงอกสั่นขวัญแขวน
ลูกไฟสีแดงในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกเต้นระริกอย่างไม่เป็นสุข ต่อให้เป็นเขาในยุคมารจันทราชาดก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ที่ต้องเผชิญสถานการณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
ทันใดนั้นเอง!
“วูบ วิ้ง…” กลิ่นอายบรรพกาลจำนวนมากทะลวงผ่านทะเลลึกเข้ามา ไอสวรรค์ในบริเวณนั้นประหนึ่งถูกคุมขังไว้
แล้วในวินาทีนั้นเอง ฝูงวาฬทะเลความว่างเปล่าพลันสั่นสะท้าน ศิโรราบต่อสิ่งนั้น รวมถึง ‘วาฬยักษ์แห่งทะเลความว่างเปล่า’ ที่กลืนกินพวกเขาเข้าไปด้วย ร่างกายใหญ่โตของมันเกร็งขึ้นแล้วสั่นสะท้าน ยากจะควบคุมความหวาดกลัวในใจ
“หรือว่าจะเป็น? ราชันในขอบเขตปราณเทวะ!” จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เกิดแรงกดดันที่มาจากจิตวิญญาณ ขนาดสตินึกคิดล้วนแต่โดนกดไว้อย่างแน่นหนา ยากที่จะต้านทานได้
ยามที่จ้าวเฟิงอยู่ภายในซากปรักหักพังสือเฉิงก็เคยสัมผัสกลิ่นอายของราชันปราณเทวะมาก่อนแล้ว แต่ในคร้ังนี้ กลิ่นอายที่คล้ายคลึงกันแข็งแกร่งรุนแรงยิ่งกว่า แล้วยังมีกลิ่นอายทะเลบรรพกาลที่เก่าแก่ด้วย
“กลิ่นอายนั้นเกรงว่าจะเป็นของราชาวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า!” ร่างของโหลวหลานจื๋อสุ่ยสั่นสะท้าน ขนาดจะพูดก็ยังต้องใช้พลังจำนวนมาก
ราชาวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า!
ในห้องทะเลลึก ไอสวรรค์ของฟ้าดินและคลื่นน้ำหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว
ราชาวาฬที่มีขนาดใหญ่มโหฬาร ทั้งร่างมีสีเขียวอมเทา ภายนอกมีพวกสาหร่ายปะการังเกาะอยู่ ราชาวาฬตัวนี้ค่อยๆ เปิดตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วกวาดตามองสภาพแวดล้อมของทะเลลึกรอบๆ อย่างไม่ใส่ใจ พลังบรรพกาลที่แข็งแกร่งสาดซัดออกไปโดยมีมันเป็นจุดศูนย์กลาง
“ราชาวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า! จะต้องอยู่ในขั้นขอบเขตปราณเทวะแน่นอน แล้วในฐานะที่เป็นสัตว์ทะเลขนาดมหึมา ระดับขั้นชีวิตของมันก็จะต้องสูงตามไปด้วย…” ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงโดนกดอย่างรุนแรง
ในวินาทีนี้เอง เหล่าลูกเรือในเรือแทบหยุดหายใจ
คนทั้งหลายไม่กล้าใช้ประสาทสัมผัส ต่อให้มีความคิดดังกล่าวแต่ก็โดนพลังยิ่งใหญ่นั้นกดดวงวิญญาณไว้อยู่ดี
แต่ว่าคนอย่างจ้าวเฟิงกลับสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของราชาวาฬที่ยิ่งใหญ่
พรึ่บ!
สายตาเย็นยะเยือกของราชาวาฬกวาดผ่านฝูงวาฬ แล้วหยุดมองวาฬตัวที่กลืนกินพวกจ้าวเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง
“แย่ล่ะ!” คนในเรือล้วนแต่สัมผัสได้ถึง ‘การจับจ้อง’ จากสายตาของราชาวาฬ
พลังกดทับที่มาจากจิตวิญญาณยิ่งรุนแรงมากขึ้น ถ้าหากว่าจ้องนานอีกหน่อย เหมือนกับว่าจะทำลายดวงวิญญาณของคนเหล่านั้นให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้
ตุบ ตุบ! ตุบ ตุบ!
ใจของคนเหล่านั้นเต้นระรัวจนจะขึ้นมาจุกบริเวณคอหอยแล้ว แต่ว่าสายตาของราชาวาฬก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เรือ แล้วมองอยู่นานก่อนจะจากไป
ฟู่!
คนบนเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าผ่อนลมหายใจออก
โครม! โครม!
ลูกเรือหลายคนขาอ่อนถึงกับทรุดลงไปกับพื้น
หลังของจ้าวเฟิงชื้นด้วยเหงื่อเย็น เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ทะเลในขั้นขอบเขตปราณเทวะขนาดมโหฬาร พวกเขาไม่มีแรงขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
“ราชาวาฬนั่นรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพวกเรา แต่กลับไม่ได้ทำอะไร” จ้าวเฟิงรู้สึกผิดสังเกต
ราชาวาฬ ‘ค้นพบ’ การดำรงอยู่ของกลุ่มคน ในจุดนี้ไม่เพียงแต่จ้าวที่มั่นอกมั่นใจ คนอื่นๆ ก็ล้วนรู้สึกได้ถึง ‘การจับจ้อง’ โดยกลิ่นอายรุนแรงนั้น
แต่ที่ไม่เข้าใจคือ เมื่อราชาวาฬพบกลุ่มคนแล้วกลับไม่ลงมือทำอะไร ถึงขนาดที่ว่าไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ หรือบางที กลุ่มมนุษย์ในสายตาของมันไม่ใช่เรื่องยากจะพบเจอแต่อย่างไร
“ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกพยายามรักษาความสงบเยือกเย็น
“ด้วยระดับขั้นของราชาวาฬ เดิมทีจะไม่สนใจ ‘อาหารในท้อง’ อย่างพวกเรา ในสายตาของมันเราก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก บนใบหน้ามีวี่แววของความยินดี
ราชาวาฬเป็นถึงสัตว์ทะเลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของทะเลความว่างเปล่า ในสายตาของมัน ยอดฝีมือทั่วไปหรือต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับพวกจ้าวเฟิงที่กลายเป็น ‘อาหาร’ ของลูกน้องมันกันเล่า
นอกเหนือจากความยินดี พวกเขาก็มีความอนาถใจอยู่ด้วย
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขารู้สึกโชคดีที่ตัวเองช่าง ‘เล็กจ้อย’ เหลือเกิน
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ มีพลังแข็งแกร่งกว่านี้อีกสักขั้นหนึ่ง แล้ว ‘ดึงดูด’ ความสนใจของราชาวาฬได้ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อก็อาจต่างออกไป
ปุด ปุด สวบ~
วาฬทั้งหลายว่ายผละออกจากบริเวณใกล้เคียงของราชาวาฬ
จากนั้นสักครู่
วาฬยักษ์หาที่เหมาะสมแห่งหนึ่ง มันเรอออกมาแล้วจึงหลับใหลไป
วิ้ง วิ้ง!
ยามที่วาฬยักษนี้หลับใหล น้ำย่อยเหนียวหนืดภายในร่างกายยังไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น จนทำให้เรือทะเลความว่างเปล่าติดแน่นอยู่ในน้ำเหนียวหนืดนั้น
จ้าวเฟิงสงสัยว่าของเหลวเหนียวหนืดก้อนดังกล่าวคงจะเป็นอวัยวะในการย่อยอาหารบางอย่างของวาฬยักษ์
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าก็นอนหลับสนิท
กลิ่นอายทรงพลังและเก่าแก่ของฝูงวาฬในระยะไกลๆ จางหายไปแล้วก่อนหน้านี้
“สัตว์ทะเลในตำนานอย่างวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการนอนหลับ มีเพียงทุกครั้งที่ตื่น จึงจะออกไปด้านนอกเพื่อหา ‘อาหารมื้อใหญ่’ ” โหลวหลานจื๋อสุ่ยที่ใจสงบลงแล้วเอ่ยอธิบาย
เวลาไม่นานนัก เหล่าลูกเรือก็เริ่มตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน
‘เรือแห่งทะเลความว่างเปล่า’ น่าจะทนอยู่ภายในเมือกเหนียวหนืดนี้ต่อไปได้อีกสองสามเดือน
สองสามเดือนหลังจากนั้นเรืออาจจะโดนย่อยสลายไปก็เป็นได้
“หัวหน้าเรือ ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเปิดปากเอ่ย
“รอ” จ้าวเฟิงค่อยๆ เอ่ยคำหนึ่งออกมา ในขณะนี้ต่อให้พวกเขามีวิธีการใดก็ไม่สามารถทำอะไรผลีผลามได้
อย่างแรก ในละแวกนี้คือฝูงวาฬ
อย่างที่สอง มีพลังแข็งแกร่งจากราชาวาฬ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจทำอะไรผลีผลามได้ในบริเวณนี้ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพลังรบของวาฬยักษ์ไม่ใช่พลังที่คนธรรมดาจะต่อสู้ได้
ในห้องหัวหน้าเรือ
“การฝึกตนของข้าเข้าใกล้นายเหนือแท้ระดับสุดยอดแล้ว ต้องอยู่ในพื้นที่ปิดและเงียบสงบ จึงจะเหมาะสมกับการฝึกตนมากกว่า” จ้าวเฟิงปิดตาลงช้าๆ
ช่วงก่อนหน้านี้ เขาเข้าไปใน ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ หลายครั้ง และเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย
ในตอนนี้ เลือดเนื้อและร่างกายของจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้น ขนาดแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณภายในร่างกับพลังของวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงยังบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น จนเข้าใกล้แหล่งกำเนิดพลังมากขึ้นทุกที
หากจะพูดถึงสำนึกรู้จิตวิญญาณและพลังดวงวิญญาณ จ้าวเฟิงจะมีความใกล้เคียงกับผู้สูงศักดิ์
ถึงจะเป็นพื้นฐานร่างกาย แต่หลังจากที่ซึมซับเอากลิ่นของห้วงฝันบรรพกาลหลายต่อหลายครั้ง ก็มีความใกล้เคียงกับผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ซึ่งแน่นอนว่ายังห่างชั้นกับศาสตร์แห่งการหลอมกระดูกของเจ้าหอโครงกระดูก
ในสถานการณ์แบบนี้ จ้าวเฟิงจึงจดจ่อกับการฝึกตนในระดับขั้นนายเหนือแท้ ระดับของการฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เวลาหมุนเวียนไป
จ้าวเฟิงเข้าไปใน ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ วันเว้นวัน ดูดซึมเอากลิ่นอายของที่นั่นมามากมาย
ระยะเวลาที่จ้าวเฟิงอยู่ในห้วงฝันบรรพกาลยาวนานได้ถึงเก้าช่วงลมหายใจแล้ว
เก้าช่วงลมหายใจนี้เป็นขีดจำกัดของจ้าวเฟิงในตอนนี้
ในทุกครั้งที่ย้อนกลับสู่โลกของความเป็นจริง จ้าวเฟิงพยายามสูดกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลสุดความสามารถ
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยอยู่บนไหล่ของเขา ดูดซับเศษเสี้ยวของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลจนหมด
จ้าวเฟิงกลับไม่รู้เลย หากว่าไม่ใช่เพราะเจ้าแมวขโมยตัวน้อย เศษเสี้ยวของกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลที่เล็ดลอดออกไปอาจจะส่งผลต่อ ‘ราชาวาฬ’ ที่อยู่ไกลๆ ได้
แต่แมวขโมยตัวน้อยดูดซึมเอากลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลไปจนหมดทุกครั้ง ไม่เหลือร่องรอยใดแม้เพียงนิดเดียว
ทุกครั้งที่มันสูดเอากลิ่นอายเข้าไป สายเลือดภายในร่างกายของมันจะสั่นสะเทือนน้อยๆ อยู่เสมอ
แต่ว่าสายเลือดภายในร่างกายของแมวขโมยตัวนี้พิเศษเป็นอย่างมาก เพราะมีการเติบโตที่เชื่องช้า แม้แต่จ้าวเฟิงเองยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง
ในที่สุด หลังจากการฝึกตนอย่างทรมานผ่านไปหนึ่งเดือน ภายในเรือมีระลอกกลิ่นอายบางอย่างผุดขึ้นรางๆ
“นายเหนือแท้ระดับสุดยอด สำเร็จแล้ว”
จ้าวเฟิงควบคุมกลิ่นอายภายในจากแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ เวลาดังกล่าว แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณภายในร่างของจ้าวเฟิง ไม่ว่าจะด้านคุณสมบัติหรือว่าจำนวนล้วนแต่ขยายไปถึงจุดสูงสุด
นายเหนือแท้ระดับสุดยอดคือที่สุดของขั้น ‘สามสวรรค์ของขอบเขตจิตวิญญาณ’ แล้ว
“หัวหน้าเรือทะลวงขั้นใหม่แล้วหรือ?” ลูกเรือในเรือทั้งหลายล้วนแต่สัมผัสได้
เคราะห์ดีที่เรือหลานเหลยมีความสามารถในการปิดกั้นประสาทสัมผัสต่างๆ อีกทั้งวาฬยักษ์ตัวนั้นหลับใหลสนิท จึงไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่แปลกไปของ ‘มดปลวก’ เหล่านี้
“นายเหนือแท้ระดับสุดยอด นี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น” จ้าวเฟิงไม่หยุดฝึกตนเพื่อจะก้าวขึ้นไปยังขั้นใหม่
ในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เขาเข้าไปใน ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ อยู่ห้าหกครั้ง เลือดเนื้อและร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ถึงจ้าวเพิ่งเป็นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด พื้นฐานต่างๆ ของเขาก็เสถียรเป็นอย่างมาก ขอบเขต ดวงวิญญาณ และร่างกายล้วนอยู่ในขั้นผู้สูงศักดิ์
ปัจจัยต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลต่อพัฒนาการการฝึกตนของจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะขาด ‘ไอสวรรค์ฟ้าดิน’ ไปหนึ่งอย่าง ในแหวนเหล็กโบราณของจ้าวเฟิงก็ได้ตระเตรียมผลึกเริ่มต้นของธาตุวายุอัสนีหรือแม้กระทั่งทรัพยากรล้ำค่าไว้มากมายแล้ว
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงไม่ได้ขาดแคลนไอสวรรค์ฟ้าดินเสียทีเดียว
แล้วครึ่งเดือนจากนั้น
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในร่างจ้าวเฟิงก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แก่นแท้ของวายุอัสนีสีฟ้าเข้มมีการแทนที่ด้วยวายุอัสนีสีม่วงมากขึ้น อีกทั้งแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในรูปของเหลวค่อยๆ รวมตัวเป็นรูปเป็นร่าง
นานวันเข้าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ยิ่งแข็งกล้าขึ้นจนเริ่มเปลี่ยนเป็น ‘ปราณก่อกำเนิด’
‘ปราณก่อกำเนิด’ เป็นใจกลางของพลังภายในร่างของผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด โดยเอาแก่นแท้ของพลังที่ฝึกตนรวมกันไว้ยังที่ดังกล่าว
เมื่อไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พลังที่แท้จริงภายในร่างกายจะเปลี่ยนเป็น ‘ปราณที่แท้จริง’
ไม่ว่าจะเป็น ‘ปราณก่อกำเนิด’ หรือว่า ‘ปราณที่แท้จริง’ ระดับขั้นล้วนแต่อยู่เหนือกว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณและพลังที่แท้จริง
แน่นอนว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ก็จะมีได้เพียงแค่ ‘ครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริง’
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
ภายในร่างของจ้าวเฟิงได้เกิด ‘ปราณที่แท้จริงครึ่งก้าว’
ปราณที่แท้จริงครึ่งก้าวนั้นเป็นพลังจิตวิญญาณของวายุอัสนีสีม่วงอ่อน มีสีม่วงเป็นส่วนมาก เหลือส่วนที่เป็นสีเขียวแก่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ยินดีกับนายท่านด้วย ที่ก้าวเข้าสู่ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว” เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกดังขึ้น
ในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จ้าวเฟิงก็ทะลวงผ่านขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดกับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เรียกว่าได้ว่าเป็นความเร็วที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
หากว่าคนนอกได้ยินเข้าคงจะตกใจเป็นอย่างมาก แต่มีเพียงเจ้าหอโครงกระดูกเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือผลลัพธ์ของการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
สำนึกรู้ในจิตวิญญาณ พลังดวงวิญญาณ รวมทั้งเลือดเนื้อและร่างกายของจ้าวเฟิงล้วนไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดแล้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่ถ่วงไว้คือ พลังฝึกตนที่แท้จริง
ดังนั้น ขอเพียงแค่จ้าวเฟิงสามารถไปถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ก็จะทะลวงผ่านไปยังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้โดยตรง
เมื่อไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น