บทที่ 611 ผลัดโจมตี
ผู้เฒ่าในชุดคลุมยาวสีแดงสดเป็นตัวแทนจากทางการของสนามประลอง
เกียรติยศของการชนะร้อยสนามติดต่อกันไม่อาจให้คนได้ไปโดยง่าย นี่ไม่เพียงแต่เป็นความเสียหายอย่างมหาศาล แต่ยังเกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงของสนามประลอง รวมไปถึงจำนวนเงินรางวัลของการชนะประลองร้อยครั้งรวดอีกด้วย
“มรดกสายเลือดของเย่หมัวอวี่คนนั้นลึกลับแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นข้าลงมือโอกาสชนะก็ไม่ได้เยอะมากนัก” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยพึมพำ
ในสถานการณ์ที่ระดับขั้นการฝึกตนไม่ต่างกันมากนัก พลังสายเลือดและอาวุธวิเศษจะส่งผลกับพลังเป็นอย่างมาก
พลังของอาวุธวิเศษในที่สุดแล้วก็เป็นพลังจากภายนอก
แต่กับมรดกสายเลือดไม่เหมือนกัน เพราะจะส่งผลต่อพลังรบของตนเอง รวมไปถึงสภาวะป้องกัน พลัง ความเร็ว และด้านอื่นๆ ทั้งหมดจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกสายเลือดบางส่วนซึ่งยังมีความสามารถพิเศษต่างๆ ด้วย
เย่หมัวอวี่ผู้อยู่ตรงหน้าก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
“มรดกสายเลือดของเย่หมัวอวี่เป็นรองแค่เจียงฟานที่มีสายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ พลังรบก็มากพอที่จะทำลายกำแพงขอบเขตพลังได้หมด”
จ้าวเฟิงเอ่ยวิเคราะห์เพิ่มเติม
กำแพงขอบเขตพลังหมายถึงเส้นแบ่งระหว่างขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำและระดับสูง
ยกตัวอย่างเช่น เจียงฟานผู้เป็นอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น พลังรบสามารถเปรียบกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงต้นได้
แต่เย่หมัวอวี่ผู้นั้น ในด้านมรดกสายเลือดเห็นทีว่าจะเป็นรองรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แต่ที่สำคัญก็คือ พลังฝึกตนของเขาเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย เคล็ดวิชาสายเลือดก็บริสุทธิ์ยิ่ง ด้วยเหตุนี้พลังโดยรวมของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าเจียงฟานเมื่อปีที่แล้ว
“เหอะเหอะ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเอาชนะเย่หมัวอวี่ได้เพียงลำพังคนเดียว ที่เจ้าต้องทำก็เพียงแค่ลดทอนพลังสายเลือดและปราณที่แท้จริงของเย่หมัวอวี่ เอาให้ถึงแค่เท่าที่กำหนดให้ก็พอ” ผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสดยิ้มเรียบๆ
กลิ่นอายที่มองไม่เห็นจำนวนมากครอบคลุมคนทั้งสามไว้ภายใน คนภายนอกไม่อาจได้ยินเลยว่าภายในกำลังพูดคุยอะไรกัน
ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคนั้นออกมา จ้าวเฟิงก็เข้าใจในทันที
“ผลัดกันโจมตี?”
จ้าวเฟิงและหลี่อวิ๋นหยาสบตากันครู่หนึ่ง ในแววตาเผยความประหลาดใจออกมา
หลี่อวิ๋นหยาเพียงคนเดียวจะเอาชนะเย่หมัวอวี่ก็อาจเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าหากว่าในเหล่าคนที่เข้าขัดขวาง มีคนพลังเทียบเท่ากับหลี่อวิ๋นหยาสองสามคนเข้าร่วมโจมตีด้วย ผลลัพธ์ที่จะเกิดก็ย่อมต่างออกไป
ตามกติกาการประลองจะต้องชนะสิบครั้งติดต่อกันจึงจะมีสิทธิ์ขอพัก นอกเหนือจากว่าในวันนั้นจะไม่มีใครท้าประลอง
“พวกเจ้าพิจารณาแล้วคิดว่าเป็นอย่างไร?ขอแค่เจ้าลดทอนพลังสายเลือดหรือไม่ก็ปราณที่แท้จริงของเย่หมัวอวี่ไปสามส่วนได้ ก็จะกลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักวิญญาณดินแดนหย่งเฟิง” ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดเอ่ยยิ้มแย้ม
หลี่อวิ๋นหยาใจเต้น ทอดสายตาไปมองจ้าวเฟิงอย่างขอความเห็น
แขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าจะมีสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย รวมไปถึงการมีอภิสิทธิ์ได้รับส่วนลดในตลาดแลกเปลี่ยนของทางการอีกด้วย
แขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักจิตวิญญาณไม่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของเกียรติยศ แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกด้วย ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบางส่วนยังคิดหาสารพัดวิธีเพื่อจะได้กลายมาเป็นแขกกิตติมศักดิ์นี้
“เจ้าลองดูสิ” จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ ให้หลี่อวิ๋นหยาลองดู
“รับปากตามนี้” ผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสดมีทีท่าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อหลี่อวิ๋นหยาผู้ฝึกตนใกล้ถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอดกลับฟังความเห็นของจ้าวเฟิง
แล้วในวันนั้นเอง หลี่อวิ๋นหยาจึงกลายมาเป็นกำลังเสริมคนนอกของสนามประลองเป็นการชั่วคราว
ในบรรดาผู้เข้าขัดขวางการประลองวันพรุ่งนี้ ฝ่ายทางการได้เสนอยอดฝีมือจำนวนสี่ห้าคนที่พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางขึ้นไป ส่วนพลังรบอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
ในวันต่อมา
จิตต่อสู้ของเย่หมัวอวี่สมบูรณ์พร้อม จิตวิญญาณก็ฟื้นฟูไปจนถึงจุดสุดยอด เขาปรากฏตัวขึ้นที่สนามประลองอีกครั้ง
ในสนามประลองทางการ ยิ่งมีกลุ่มกำลังที่ทรงพลังเตรียมพร้อมจะขัดขวางการทำสถิติชนะร้อยยกติดกันของเย่หมัวอวี่
หนึ่งในนี้ ยังมีการพนันของทางสนามประลองเอง การพนันไม่ว่าจะเล็กใหญ่ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้จำนวนมาก
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงสวมเสื้อคลุมสีม่วงลายมังกรทองพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นปรากฎกายในสนามประลองนานแล้ว
“นายท่านเจ้าตำหนัก การแข่งขันประลองในวันนี้จะร้อนแรงอย่างยิ่ง” ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดค้อมกายลงเอ่ยด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ
“อืม” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ เขาเข้าใจกติกาของการประลองชนะร้อยครั้งรวดอย่างปรุโปร่ง
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของสนามประลอง เมื่อชนะเกินห้าสิบครั้งแล้ว ผู้ท้าประลองจะต้องทำการ ‘ผลัดกันโจมตี’
“เริ่มได้” กรรมการรีบยกมือโบกฉับไว
บนเวทีประลอง เย่หมัวอวี่ประมือกับคู่ต่อสู้
คู่ต่อสู้คนแรกของเขาเป็นโฉมสะคราญร่างกายแบบบางพลิ้วไหวนางหนึ่ง โฉมสะคราญผู้นั้นถนัดวิชาเคลื่อนกายเป็นอย่างยิ่ง ฝึกตนเกือบถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย พลังพอๆ กันกับเย่หมัวอวี่
สวบ!สวบ!
บนเวทีประลอง เงาร่างสง่างามที่ดูแปลกประหลาดและเงาอ้อนแอ้นอรชรต่อสู้พัวพันกันไปมา เสี้ยวเงาร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเลือนรางเป็นผืนแผ่นเดียวกัน
ในสนามประลองรอบแรก เย่หมัวอวี่ยังไม่ได้ใช้พลังสายเลือด แต่เป็นการใช้ความเร็วสู้กับความเร็ว และใช้ความเร็วฉวัดเฉวียนสู้กันกับโฉมสะคราญ
“เสี้ยวเงาเคลื่อนบุปผา!” เงาร่างแบบบางของโฉมสะคราญเป็นประหนึ่งกลีบบุปผาที่เยาว์วัย เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเพียงแค่เงางดงามผอมบางผลุบโน่นโผล่นี่ เงานั้นวูบวาบพาดผ่านทั่วทั้งบริเวณของสนามประลอง
และแล้วเย่หมัวอวี่ก็ตกลงไปภายในนั้น
โครม!โครม!โครม!
ในทุกครั้งที่เขาประมือกับโฉมสะคราญนางนั้น ทุกส่วนที่ถูกโจมตีแตกสลายจะกลายเป็นเงาบุปผาสวยงาม ต่อให้ปะทะเข้าสู่ร่างตรงๆ ก็จะถูกสับเปลี่ยนแทนที่
“ร่างแยกเงาบุปผาเหล่านั้น ที่แท้จริงมีความเกี่ยวโยงกับตัวข้าอย่างประหลาด เอาร่างปลอมกลบร่างจริงจนวุ่นวายยังไม่ว่า แต่ยังสามารถขัดขวางและเคลื่อนย้ายบาดแผลจากการโดนโจมตีบนร่างจริงได้อีก” เย่หมัวอวี่อดลืมสติไม่ได้
วูบ!วูบ!โครม!โครม!
รอบกายเขาปรากฏลำแสงเงาสวยงาม บินลอยล่องไปพร้อมกันประหนึ่งม้าหมุน ในทุกครั้งที่ปะทะกันจะเกิดระเบิดลำแสงสว่างวาบขึ้นทั่วบริเวณ
“เสวียนอ้าวท่าร่างของสตรีนางนั้นเหมือนว่าจะมาจากสำนักสองดาว ‘วังบุปผาเคลื่อน’ ที่อยู่ในบริเวณนี้”
“ที่แท้ก็เป็นท่าร่างที่อยู่ภายใน ‘คัมภีร์บุปผาเคลื่อน’ ” คนจำนวนไม่น้อยมองออกถึงที่มา
สีหน้าของเย่หมัวอวี่ดูเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้คนแรกในวันนี้จะจัดการได้ยากเย็นอะไรเช่นนี้
“ฮ่าฮ่า ถึงจะเป็นยอดฝีมือของวังบุปผาเคลื่อนก็ยังมีความสนใจในเคล็ดวิชา ‘สายเลือดเงารัตติกาล’ สินะ” ผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสดยิ้มอย่างได้ใจ
โฉมสะคราญนางนั้น แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็ผลาญพลังใจส่วนหนึ่งของเย่หมัวอวี่ได้
“เวหามารจันทราทมิฬ!”
ร่างเงามืดมิดของเย่หมัวอวี่พลันเกิดกลุ่มเมฆหมอกสีเงินยวงสว่างที่เย็นยะเยือก เบื้องหลังปรากฏเงาลวงตาของปีกทั้งสี่ บนศีรษะมีแสงจันทร์ขมุกขมัวหมุนวนอยู่
โครม พรึ่บ!
เย่หมัวอวี่สะบัดมือสองข้าง พลังจันทราบรรพกาลเย็นยะเยือกที่รุนแรงว่องไวกลายเป็นเงาปีกที่ขยับไหว
โครม ผัวะ!
ร่างเงาแบบบางที่บินฉวัดเฉวียนไปสี่ทิศแตกกระจายออกจากกันในทันที
ตุบ!
บริเวณมุมปากของนางมีคราบเลือดไหลออกมาเป็นทาง เรือนร่างอรชรล้มลุกคลุกคลานถอยออกไปไกลหลายสิบจั้ง แล้วยอมรับความพ่ายแพ้แทบทันที
“ไม่เสียทีที่เป็น ‘สายเลือดเงารัตติกาล’ รับมือกับท่าร่าง ‘ย้ายบุปผา’ ของข้าได้อย่างสบายๆ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากจะมีชัยโดยเร็วที่สุดและประหยัดปราณที่แท้จริงไว้ ให้พึ่งพาแต่เพียงท่าร่างอย่างเดียว ข้าไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้” โฉมสะคราญที่พ่ายแพ้ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
ก็ในเมื่อสายเลืออดเงารัตติกาลเป็นมรดกที่เก่าแก่ยาวนานหาใดเปรียบ น่าจะพอๆ กันกับยุคสมัยของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
หลังจากที่โฉมสะคราญนางนี้พ่ายแพ้ เย่หมัวอวี่ก็เริ่มการประลองครั้งใหม่
คู่ตอสู้คนที่สอง…คู่ต่อสู้คนที่สาม…คู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เผชิญหน้ากับเขา การรบแทบจะไม่ด้อยไปกว่าโฉมสะคราญนางแรก อีกทั้งพลังรบยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงคู่ต่อสู้คนที่ห้า ผู้ที่ลงสนามอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย
“ผู้น้อยหลี่อวิ๋นหยาขอรับคำชี้แนะจาก ‘สายเลือดเงารัตติกาล’ ของท่านด้วย” บุรุษหนุ่มท่าทางองอาจปรากฏตัวขึ้นบนเวทีประลอง
คู่อสู้คนที่หกก็คือหลี่อวิ๋นหยานั่นเอง
“ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย เข้าใกล้ช่วงสุดยอดแล้วด้วย” ด้านล่างเวทีตกใจกันหมด
สีหน้าของเย่หมัวอวี่ดูเคร่งขรึมลง กระตุ้นเคล็ดวิชาสายเลือดออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ผืนนภารัตติกาล!”
เงาร่างของเย่หมัวอวี่สั่นไหวน้อยๆ และหายวับไปในบรรยากาศที่มืดมิดทั้งบริเวณ
หืม?
หลี่อวิ๋นหยายืนอยู่ในความมืดมิด ด้วยขอบเขตพลังของเขา ประสาทสัมผัสได้รับผลกระทบอย่างมากภายในม่านราตรีนั้น
พรึ่บ!
เย่หมัวอวี่หลอมรวมกับบรรยากาศมืดมิด สามารถปรากฏกายอยู่ที่ไหนก็ได้ภายในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในพริบตา
ในบรรยากาศที่มืดมิดนั้น ท่าร่างของเย่หมัวอวี่มีความคล้ายคลึงกับท่าร่างของปรมาจารย์อิ๋นคง
“เจ็ดดาราสวรรค์สิ้น!”
หลี่อวิ๋นหยาโบกสะบัดกระบี่อาวุธชั้นพิภพในทันที ลำแสงระยิบระยับของกระบี่สว่างเจิดจ้า จากนั้นเปลี่ยนสภาพในอากาศเป็นประหนึ่งลูกไฟฝนดาวตกประเดประดังเข้ามา
ทันทีที่ออกกระบวนท่าก็ครอบคลุมทั่วบริเวณดังกล่าวในทันที
“เหอะ! ในภายในผืนนภารัตติกาล ร่างของข้าเป็นเหมือนแสงจันทราในคืนมืดมิด อาการบาดเจ็บจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง” เย่หมัวอวี่หัวเราะเสียงเย้ยเยาะ
ร่างเงาของเขาโบยบินฉวัดเฉวียนไปมาได้ทุกหนแห่งภายในบริเวณที่มืดสนิท ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว ล้วนแต่ปรากฏในบริเวณที่เป็นจุดอ่อนกำลังที่สุดของแสงกระบี่ดารา และต้านทานการโจมตีได้อย่างสบายๆ
“รัตติกาลไร้ร่องรอย!”
กลิ่นอายลี้ลับไร้รูปร่างผลุบโผล่ไปมา ลอบโจมตีหลี่อวิ๋นหยาในม่านมืดมิด
หลี่อวิ๋นหยากระตุ้นกระบวนท่าอาณาเขต การป้องกันอ่อนแอขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สัญญาณอันตรายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เขาฝืนพยายามสลายการโจมตีที่ไร้รูปร่างหลายครั้งคราวของเย่หมัวอวี่
โครม ผัวะ!
เวลาไม่นานนัก แผ่นหลังของหลี่อวิ๋นหยาก็ทิ้งเลือดไว้เป็นทาง
“โล่กระบี่ดารา!” หลี่อวิ๋นหยาตะโกนเสียงดัง เปลี่ยนการบุกเป็นการตั้งรับ ลำแสงกระบี่ลายดาราสว่างไสว กลายมาเป็นโล่ดวงดาวขนาดหลายนิ้ว
โล่กระบี่ดารานั้นปกป้องคุ้มภัยร่างกาย แล้วยังสามารถแบ่งลำแสงแหวกอากาศออกไปทำร้ายอีกฝ่าย
การประลองในสนามรอบนี้รุนแรงอย่างมาก แต่ว่าตั้งแต่เริ่มต้น หลี่อวิ๋นหยาก็ตกอยู่ในสภาวะโดนจู่โจมมาตลอด
หลังจากสิบสองกระบวนท่าผ่านไป บนหลอดลมของหลี่อวิ๋นหยาทิ้งคราบเลือดเอาไว้ จึงต้องน้อมรับความพ่ายแพ้
ถึงแม้ว่าหลี่อวิ๋นหยาจะแพ้พ่ายแต่ก็ทำให้เย่หมัวอวี่สิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย
ถัดจากนั้น บนเวทีประลองก็มียอดฝีมือขึ้นมาบนเวทีติดต่อกันไม่หยุด
ยอดฝีมือทั้งหลายเหล่านั้นพากันแสดงเคล็ดวิชาและความสามารถทางสายเลือดที่แปลกพิสดาร เพื่อให้เย่หมัวอวี่ต้องต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต
จนมาถึงวันประลองในวันที่เจ็ด สีหน้าของเย่หมัวอวี่ซีดเผือดแล้ว เลือดลมและปราณที่แท้จริงก็ใช้ไปจนไม่เพียงพอ
ในเวลาดังกล่าว
สายเลือดและปราณที่แท้จริงของเขาสลายไปหกเจ็ดส่วนแล้ว
คู่ต่อสู้คนที่แปด คนที่เก้า พลังรบก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้น แข็งแกร่งยิ่งกว่า
หลี่อวิ๋นหยาเสียอีก
“ผู้สูงศักดิ์ปีกโลหิต!”
คู่ต่อสู้คนที่เก้าเป็นผู้สูงศักดิ์ในชุดคลุมสีเลือด ทั่วร่างเป็นเส้นสายสีเลือดเหมือนงูซึ่งสาดกลิ่นอายเลือดมารที่คละคลุ้งชวนขนหัวลุกออกมา
คนผู้นั้นเมื่อก้าวขึ้นไปบนเวทีก็ชวนให้เกิดเสียงเอ็ดตะโรอื้ออึง
“ลำแสงปีกมารโลหิต!”
ผู้สูงศักดิ์ชุดคลุมสีแดงที่มีปานดำบนหว่างคิ้วผลักมือสองข้างออกไปพร้อมกัน บนร่างจึงปรากฏปีกเพลิงโลหิตขนาดเป็นร้อยพันจั้ง พลังของมันน่ากลัวสะเทือนฟ้าดิน เทียบเท่าได้กับผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
โครม ตูม!
เพียงแค่ฝ่ามือเดียวที่หลอมรวมพลังของปีกเพลิงโลหิตก็สะบัดเย่หมัวอวี่กระเด็นออกไป
อึก!
เย่หมัวอวี่กระอักเลือดออกมา ร่างกายกลิ้งลงจากเวทีประลอง
ในเวลานี้ปราณที่แท้จริงกับสายเลือดของเขาไม่เพียงพอ ย่อมไม่สามารถประมือกับผู้สูงศักดิ์ปีกโลหิตที่เทียบเท่ากับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้
“ฮ่าฮ่า…กระบวนท่าเดียวยังตั้งรับไม่ได้ อ่อนแอซะจริง” ผู้สูงศักดิ์ปีกโลหิตออกจากสนามประลอง
การชนะติดต่อกันร้อยรอบของเย่หมัวอวี่จึงสิ้นสุดลงตรงนี้
ทั้งสนามประลองมีแต่เสียงบ่นเสียดายเต็มไปหมด
ถ้าหากอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ บางทีเย่หมัวอวี่อาจจะยังพอประมือกับผู้สูงศักดิ์ปีกโลหิตผู้นั้นได้
แต่จะอย่างไรได้ ปราณที่แท้จริงกับสายเลือดของเย่หมัวอวี่ใช้ไปจนหมดกับการผลัดโจมตีแล้ว
“เย่หมัวอวี่ผู้นี้เป็นบุคคลที่ยากจะพานพบ เดี๋ยวอีกครู่พวกเจ้าจงนำเขามาพบข้า” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ
ในเวลานี้เอง เย่หมัวอวี่ซึ่งพ่ายแพ้ราบคาบ สีหน้าคล้ำกัดฟันเอ่ย “การประลองชนะติดต่อกันร้อยครั้งนี้ไม่มีความยุติธรรมใดๆ ซ้ำยังใช้วิธีการสกปรกอย่าง ‘การผลัดโจมตี’ อีก!”
“เหอะ! ผลัดโจมตีแค่นี้ก็รับมือไม่ไหวแล้วงั้นรึ?การชนะติดต่อกันร้อยครั้งเป็นเกียรติยศสูงสุดที่ไม่มีเกียรติยศใดเหนือไปกว่านี้ จะต้องอยู่เหนือว่าคนในรุ่นเดียวกัน และยังต้องมีพลังรบที่ไร้เทียมทานกับทุกวิธีการด้วย” ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดเอ่ยเยาะๆ แล้วยิ้มเย็น
ในขณะที่เย่หมัวอวี่โกรธแค้นอยู่นั่นเอง
“ให้พวกเรารอชม ผู้ท้าชิงการชนะร้อยครั้งติดต่อกันคนใหม่…จ้าวเฟิง!”