Skip to content

King of Gods 613

King Of Gods

บทที่ 613 ทำลายราบคาบ

ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดที่เป็นตัวแทนทางการของสนามประลอง ประกาศหยุดการประลองชนะร้อยครั้งติดกันเป็นการชั่วคราว

การกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อพวกผู้ชมทั้งหลาย ในบางจุดถึงกับมีเสียงร้องโวยวายด้วยซ้ำ

คนมากมายยังมองออกอีกด้วยว่าส่วนกลางของสนามประลองเริ่มจะรับไม่ไหว จึงยืดเวลาเพื่อหาวิธีต่างๆ นานามารับมือกับจ้าวเฟิง

“ไม่เสียทีที่เป็นท่านหัวหน้าเรือ” หลี่อวิ๋นหยาลอบชมด้วยความตื่นตะลึง

ในมุมหนึ่งของสนามประลอง

“ประลองชนะสามสิบครั้งรวด แล้วในทุกครั้งใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ถ้าหากไม่มีการยับยั้งจากฝ่ายทางการของสนามประลอง เขาอาจจะประลองชนะติดกันห้าสิบครั้งรวดเลยก็เป็นได้”

เย่หมัวอวี่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

การประลองมาเรื่อยๆ จนทางการต้องบอกให้หยุด ต่อให้เป็นเขาในยามก่อนก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ร่างของจ้าวเฟิงสั่นไหวน้อยๆ แล้วกลับมาปรากฏกายอยู่ข้างหลี่อวิ๋นหยา

ในทุกที่ที่ทั้งสองเดินผ่านล้วนแต่โดนจับจ้องจากสายตาของผู้ชมในสนาม หนึ่งในนั้นยังมีสายตาของ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ ที่จับจ้องจ้าวเฟิงด้วยเช่นกัน

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเป็นผู้มีพลังฝึกตนสูงสุดในสนามประลอง อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสู่ราชัน มีขอบเขตพลังที่แข็งกล้า พลังต่อสู้มากจนไม่อาจคาดเดาได้

จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะหลบเลี่ยง จึงสบตากับเจ้าตำหนักหย่งเฟิง ในวินาทีที่สายตาทั้งสองคู่ปะทะกันนั้นเอง

วูบ!

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันทางสายตาของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง ในระดับชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนเกิดความรู้สึกประหลาดเหมือนมีการต่อต้านกลับของดวงวิญญาณ

ในแววตาของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงผู้นั้นมีพลังประเภทหนึ่งที่มหาศาลไร้ขอบเขต เสมือนว่าแค่ห้วงความคิดหนึ่งก็สะเทือนฟ้าดินและเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้

“เป็นถึงครึ่งก้าวสู่ราชัน มีความสามารถและขอบเขตพลังในขอบเขตราชันปราณเทวะ ดวงวิญญาณแทบจะอยู่เหนือขีดสุดของร่างกาย อีกทั้งยังดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน” จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

มาจนถึงตอนนี้ พลังยิ่งใหญ่ของราชันในขอบเขตปราณเทวะ เขายังสำรวจพบได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ระดับวิญญาณของเจ้าหนุ่มนี่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงอุทานเบาๆ

บรรดาผู้ชมในสนาม มีเพียงเจ้าตำหนักหย่งเฟิงที่คาดเดาถึงระดับขั้นของ

จ้าวเฟิงได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงจึงอดจะสนอกสนใจการประลองชนะร้อยครั้งติดต่อกันในวันพรุ่งนี้ไม่ได้

กลางคืนวันนั้น

จ้าวเฟิงกลับมายังโรงเตี๊ยมแล้วปิดด่านพักฟื้นร่างกาย การต่อสู้ในวันนี้ทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจใหม่ในสภาวะวิญญาณและพลังภายในของตนเอง

ทั้งคืนเขาใช้เวลาไปกับการปรับตัว ฝึกฌาน หรือแม้กระทั่งขุดเอาพลังที่ซ่อนอยู่ของตนเองออกมา

ในวันต่อมา

ภายในสนามประลองของทะเลความว่างเปล่า เสียงคนโห่ร้องอึกทึกครึกโครม ยอดฝีมือที่เข้าชมมีจำนวนมากกว่าเดิมถึงสองเท่าจากเมื่อวาน

เรื่องมหัศจรรย์ที่จ้าวเฟิงใช้เวลาแค่ไม่นานก็ชนะการประลองสามสิบครั้งติดต่อกันแพร่กระจายไปทั่วตำหนักวิญญาณ

“เปิดวางเดิมพัน!”

ส่วนกลางของสนามประลองมีคนที่รับเดิมพันโดยเฉพาะ สถานการณ์ของการวางพนัน ผลการชนะของจ้าวเฟิงมีห้าส่วนแบ่งเป็น ชนะหกสิบครั้งติดต่อกัน เจ็ดสิบครั้งติดต่อกัน แปดสิบครั้งติดต่อกัน เก้าสิบครั้งติดต่อกัน และร้อยครั้งติดต่อกัน

ภายในนั้นอัตราการลงพนันชนะร้อยครั้งติดต่อกันมีมากที่สุดคือหนึ่งต่อสามสิบ

หมายความว่าขอเพียงแค่จ้าวเฟิงชนะร้อยครั้งติดต่อกันก็จะได้ผลตอบแทนสามสิบเท่า

เพียงแต่ว่า ในรอบร้อยปีที่ผ่านมานี้ยังไม่มีใครสามารถชนะได้ร้อยครั้งติดต่อกันมาก่อน

ทางการของสนามประลองก็พยายามขัดขวางอย่างไม่สนใจวิธีการใด

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนน้อยนิดยิ่งที่จะวางเดิมพันว่าชนะร้อยครั้งติดต่อกันได้ โดยมากแล้วจะวางเดิมพันที่หกสิบครั้ง เจ็ดสิบครั้งเป็นจำนวนมากกว่า

แต่ทว่า ถ้าหากจ้าวเฟิงชนะมากกว่านั้น อย่างเช่นชนะแปดสิบครั้งติดต่อกัน คนที่วางพนันไว้ที่หกสิบครั้งหรือเจ็ดสิบครั้งก็จะต้องเสียเงินไป

 

“ข้าวางเดิมพันตนเองที่ผลึกเริ่มต้นระดับสูงล้านชิ้น” เสียงเรียบๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังของฝูงชน

ผลึกเริ่มต้นระดับสูงล้านชิ้น!!

คนที่วางเดิมพันทั้งหมดต่างตกตะลึงกันไปชั่วขณะ

ผลึกเริ่มต้นล้านชิ้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย แทบจะซื้ออาวุธชั้นพิภพคุณสมบัติแย่หน่อยชิ้นหนึ่งได้

จะต้องรู้ว่า ผลึกเริ่มต้นระดับสูงชิ้นหนึ่งสามารถแลกผลึกเริ่มต้นธรรมดาได้หมื่นชิ้น แถมไม่ใช่ผลึกเริ่มต้นระดับล่างของดินแดนภายในด้วย

ผลึกเริ่มต้นระดับสูงล้านชิ้นก็เท่ากับผลึกเริ่มต้นธรรมดาหนึ่งหมื่นล้านชิ้น!

แซ่ด!

ขนาดคนที่รับวางเดิมพันยังตกใจ ฝูงชนเพ่งพินิจ ผู้ที่วางพนันผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นจ้าวเฟิงที่เป็นตัวต้นเรื่องเอง

หลี่อวิ๋นหยาหัวเราะ เขาก็วางเดิมพันข้างจ้าวเฟิงด้วยผลึกเริ่มต้นระดับสูงหมื่นชิ้นเช่นกัน

“เหอะ!” ผู้เฒ่าชุดสีแดงแสดงสีหน้าดูแคลน

“จ้าวเฟิง! จ้าวเฟิง! จ้าว…” บรรยากาศรอบข้างครึกครื้นไปจนถึงจุดเดือดเมื่อจ้าวเฟิงก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีประลอง

มุมหนึ่งของสนามประลอง

เย่หมัวอวี่เผยความเย็นชาออกมาจากในแววตา รวบรวมสติตั้งใจจับจ้องเรื่องเบื้องหน้า

“ท้าประลองชนะร้อยครั้งติดต่อกัน รอบที่สามสิบเอ็ด” กรรมการประกาศ

รอบที่สามสิบเอ็ด

คู่ต่อสู้เป็นชายหนุ่มชุดขาวในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย

“รวดเร็วจริง สนามแรกในวันนี้ก็ส่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายออกมารับมือแล้ว” คนจำนวนไม่น้อยเอ่ยเสียงต่ำ บางส่วนของคนที่ลงพนันไปเคร่งขรึมขึ้น

“จ้าวเฟิง เผชิญหน้ากับข้าเจียงจื่อเล่อ เจ้าก็อย่าหวังว่าจะชนะไปได้ง่ายๆ” ชายหนุ่มชุดขาวยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ

วิ้ง พรึ่บ!

ชายหนุ่มชุดขาวกวาดมือข้างหนึ่ง เบื้องหน้าร่างกายของเขาก็ปรากฏหนังสือโลหะสีเขียวแก่เล่มหนึ่งซึ่งสาดลำแสงสีรุ้งเจิดจ้าออกมา

เชว้ง!

ส่วนมืออีกข้างของเขาปรากฏพู่กันด้ามสีเขียวขึ้น

“เป็นบัณฑิตเทียนเล่อ!”

“ที่แท้ก็เป็นบัณฑิตเทียนเล่อหรือ ‘เจียงจื่อเล่อ’ นี่เอง คนผู้นี้เมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะระดับต้นๆ ของ ‘กลุ่มดินแดนหย่งเฟิง’ มาจากสำนักสองดาวอย่าง ‘ป้อมปราการเทียนเล่อ’…”

ภายในสนามประลอง คนทั้งหลายกลืนเสียงลงไปในลำคอเมื่อรู้ความเป็นมาของชายชุดขาวผู้นี้

“น่าสนใจ” จ้าวเฟิงอดจะสนอกสนใจขึ้นมาไม่ได้

ในผืนพสุธาที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ผู้ฝึกตนมีจำนวนมากมายมหาศาล ที่กลืนหายไปกับสายธารแห่งประวัติศาสตร์ยิ่งมีมากกว่า

พู่กันและหนังสือในมือของเจียงจื่อเล่อยังเป็นแค่อาวุธชั้นพิภพชั้นล่าง

“ทำลาย!”

ร่างของจ้าวเฟิงสั่นน้อยๆ แล้วพลันปรากฏที่เบื้องหน้าของเจียงจื่อเล่อประหนึ่งสัตว์อสูรโบราณขนาดมหึมา ฝ่ามือหนึ่งที่ปล่อยออกไปมีกลิ่นอายสีม่วงอ่อนอยู่จางๆ ด้วย

“ช่างรวดเร็วนัก! กลิ่นอายนี้กลุ่มนี้…” เจียงจื่อเล่อรู้สึกถึงกลิ่นอายน่ากลัวที่กดดันปราณที่แท้จริงและเลือดลมในกาย

“ตำราโลหะเก้าอักษร!”

เจียงจื่อเล่อไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย  หนังสืิิอโลหะสีเขียวในมือขยายออกเบื้องหน้าเขาในทันที ลำแสงสีเขียวบนหน้าสมุดโบราณปลดปล่อยแสงสีรุ้งยาวกว่าร้อยจั้ง ตัวอักษรลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจปรากฏขึ้น

โครม ตูม!

เมื่อกำปั้นของจ้าวเฟิงปล่อยออกไป หน้ากระดาษที่มีลำแสงสีเขียวนั่นก็มีรอยปริร้าว แต่อักษรลี้ลับที่เต้นระริกอยู่บนนั้นยังสาดพลังรุนแรงประหนึ่งสายธารที่ไหลเอื่อย แล้วจึงซ่อมแซมหน้ากระดาษสีเขียวนั่นอย่างรวดเร็ว

“วาดพิภพจองจำ!”

ร่างเจียงจื่อเล่อถอยไปหลายก้าว ตวัดพู่กันในมือลากเส้นสีทองแกมเขียวติดต่อกันจนเกิดเป็นโครงร่างในอากาศ

หืม?

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี เมื่อพบว่าเส้นในอากาศนั้นเกาะกลุ่มรวมกันเป็นคุกลำแสงสีทองเจิดจ้าแล้วขังตนเองไว้ภายใน

“ไม่เสียทีที่เป็นบัณฑิตเทียนเล่อ!” ยอดฝีมือนอกสนามประลองกู่ร้องอย่างยินดี

คุกที่เกิดจากเส้นลำแสงสีทองแกมเขียวเป็นประดุจคุกเหล็ก บีบพื้นที่ที่จ้าวเฟิงยืนอยู่เข้ามาไม่หยุด

“น่าสนใจยิ่งนัก…แต่คงต้องจบลงตรงนี้”

จ้าวเฟิงสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย วาดมือขึ้นข้างหนึ่ง วายุอัสนีพลันเกาะกลุ่มกันเป็นเส้นสายที่ทั้งบริสุทธิ์และรุนแรง จนปรากฏกรงเล็บแสงสีม่วงลวดลายโบราณอยู่ภายในลำแสงเจิดจ้า

กรงเล็บวายุอัสนีพิฆาต!

กรงเล็บแสงสีม่วงมีขนาดเพียงไม่กี่ชุ่น แต่กลับเกาะกลุ่มกันจนเหมือนจริง พร้อมทั้งส่งเสียงกึกก้องประหนึ่งสายอัสนีบาตฟาดลงมา

ฟุ่บ ฉัวะ โครม!

กระบวนท่านี้ราวกับกรงเล็บมังกรอัสนีตะปบแหวกกลางอากาศ กลิ่นอายที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งทะลวงออกมาทำให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน

“แย่แล้ว…” เจียงจื่อเล่อพูดไม่ออกเมื่อมองเห็น ‘วาดพิภพจองจำ’ ของตนฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ราวเป็นกระดาษบางแผ่นหนึ่งเท่านั้น

โครม แคว่ก!

กรงเล็บราวมังกรอัสนีนั้นสะบัดเจียงจื่อเล่อกระเด็นไปไกลหลายร้อยจั้ง

โครม ตูม!

ยามร่วงลงบนพื้น ควันสีดำลอยกรุ่นขึ้นทั่วร่างของเจียงจื่อเล่อ รูปลักษณ์ภายใต้ชุดขาวสะอาดในตอนแรกกลายเป็นเหมือนถ่านดำรูปร่างมนุษย์

ชนะติดต่อกันครั้งที่สามสิบเอ็ด!

 

การประลองของจ้าวเฟิงในวันนี้ก็ชนะตั้งแต่ในครั้งแรก เสียงร้องอึกทึกครึกโครมทั้งสนาม พลังรบของจ้าวเฟิงยังคงแข็งแกร่งอย่างเช่นที่ผ่านมา

“ขนาดเจียงจื่อเล่อที่มีสมญานามว่าเป็นผู้โดดเด่นในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ ครบพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน ก็ยังพ่ายแพ้เช่นนี้อีก” ผู้เฒ่าชุดสีแดงหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ

การประลองสนามแรกในวันนี้ เขาส่งเจียงจื่อเล่อไปรับมือด้วยต้องการให้

จ้าวเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ควรจะชนะอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่กลายเป็นว่าพลังของจ้าวเฟิงยังคงแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดคิดไว้นัก

“ไม่ควรจะสู้ยืดเยื้อเพื่อประหยัดปราณที่แท้จริง” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

เป้าหมายของเขาคือการเอาชนะร้อยครั้งติดต่อกันในคราวเดียว

ต่อมา คู่ต่อสู้บางส่วนของจ้าวเฟิงพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง พลังรบโดยมากมักเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย แต่ว่าพลังของคู่ต่อสู้เหล่านี้สู้เจียงจื่อเล่อไม่ได้เลย

จ้าวเฟิงเพิ่มความเร็วและการโจมตีขึ้นอีกหนึ่งระดับ ในการโจมตีทุกครั้งสามารถเอาชนะขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายได้อย่างรวดเร็ว

เพี๊ยะ โครม!

สวบ! สวบ!

บนเวทีประลอง ผู้ที่มาประมือแต่ละคนล้วนแต่โดนจ้าวเฟิงโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ในบางครั้งจ้าวเฟิงก็จะต่อสู้พร้อมกันหลายๆ คนเพื่อประหยัดเวลา

ชนะสามสิบห้าครั้งติดต่อกัน…สี่สิบครั้งติดต่อกัน…สี่สิบห้าครั้งติดต่อกัน!

เวลาผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จ้าวเฟิงก็เอาชนะได้ห้าสิบครั้งติดต่อกันแล้ว!

หรือจะเรียกได้ว่า การท้าชิงเอาชนะร้อยสนามติดต่อกัน เขาจัดการไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหล่าผู้ชมในสนามอ้าปากอย่างตกตะลึง ใจจดใจต่อตั้งใจมอง

ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ

ตั้งแต่จ้าวเฟิงสู้รบมาจนถึงตอนนี้ ปราณที่แท้จริงยังใช้ไปไม่เท่าไหร่

การโจมตีของเขาใช้ความเร็วเป็นหลัก การระเบิดพลังกายก็ใช้ปราณที่แท้จริงเพียงน้อยนิด และเอาชนะด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเร็วของท่าร่าง มาจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคู่ต่อสู้คนใดรวดเร็วได้เท่าจ้าวเฟิงเลย

“ชนะติดต่อกันหกสิบครั้ง!”

เหล่าผู้ชมข้างสนามล้วนแต่มองตามไม่ทัน เกรงว่าหากเผลอเรอเพียงนิดก็จะพลาดการ

ประลองไปยกหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าจ้าวเฟิงจัดการปัญหาได้รวดเร็วยิ่งนัก!

หลังจากชนะในครั้งที่หกสิบ คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

จากนั้นมาเหล่าคู่ต่อสู้กว่าครึ่งล้วนแต่ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย ในหมู่คู่ต่อสู้พวกนี้ มีแค่บางคนเท่านั้นที่เทียบเท่าเจ้าหอโครงกระดูกและหลี่อวิ๋นหยาได้

คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในสนามประลองเหล่านี้มาจากดินแดนต่างๆ ถึงกระทั่งว่าเป็นยอดคนในยุคเดียวกันของสำนักสองดาวบางส่วน

ความสามารถทางสายเลือดที่แปลกพิสดาร เคล็ดวิชามากมายที่ปรากฏขึ้นไม่จบไม่สิ้น ล้วนแต่ยากที่จะรับมือได้ทั้งนั้น

 

โชคดีที่ร่างกายและแหล่งกำเนิดพลังของจ้าวเฟิงดูดซึมเอากลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล ในทุกครั้งที่โจมตีจะเป็นประหนึ่งสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่มีพลังกดดันรุนแรงต่อสายเลือดมากมาย

ผลของพลังกดดันนี้พอๆ กันกับเจียงฟานที่มีสายเลือด ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เลยทีเดียว

“ครั้งที่เจ็บสิบ!” กรรมการผ่อนลมหายใจอย่างหมดแรงแล้วเอ่ยประกาศขึ้นอีกครั้ง

“จ้าวเฟิง คู่ต่สู้ของเจ้าคือข้า” ชายหนุ่มท่าทางองอาจราวรัตติกาลปรากฏกายบนเวทีประลอง

เย่หมัวอวี่!

ผู้เข้าชมในสนามต่างพากันตกตะลึง

คู่ต่อสู้ในครานี้ ที่แท้แล้วเป็นผู้ท้าชิงชนะร้อยครั้งติดต่อกันในคราวก่อน เย่หมัวอวี่!

“เหอะ! เย่หมัวอวี่ที่เป็นผู้แพ้การประลอง ย่อมต้องไม่หวังให้คนนิรนามเช่นนี้ได้รับเกียรติยศจากการชนะร้อยครั้งติดต่อกันภายหลังตนแน่” ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดลอบยิ้มเย็น

“เริ่มได้!” กรรมการเพิ่งเอ่ยประกาศเสร็จ เย่หมัวอวี่ก็ลงมือในทันที

จากที่ดูการประลองในครั้งก่อน จ้าวเฟิงล้วนแต่ใช้ความเร็วราวสายฟ้าโจมตีศัตรูให้ล่าถอยไป เย่หมัวอวี่จึงไม่อยากเป็นฝ่ายโดนโจมตีก่อน

“ผืนนภารัตติกาล!”

ร่างของเย่หมัวอวี่สั่นสะท้านแล้วหายวับไป กลืนหายเข้ากับความมืดมืดในบริเวณโดยรอบ

ในผืนรัตติกาลนี้ ประสาทสัมผัสทางสายตาของจ้าวเฟิงโดนจำกัดเป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้ยากจะจับร่องรอยการเคลื่อนไหวของเย่หมัวอวี่

ผืนนภารัตติกาลถือได้ว่าเป็นอาณาเขตพลังสายเลือดของเย่หมัวอวี่

ในยามก่อนยังไม่มีใครสามารถทำลายเคล็ดวิชาสายเลือดของเย่หมัวอวี่ได้ หากว่าไม่ใช่เพราะโดนผลัดโจมตีจนปราณที่แท้จริงของสายเลือดสลายไป เขาก็คงจะไม่พ่ายแพ้เช่นนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version