Skip to content

King of Gods 627

King Of Gods

บทที่ 627 อุทยานครึ่งเซียน

สำนักบรรพตทอง ยอดเขาจิตวิญญาณรอง

จ้าวเฟิงที่อยู่ภายในห้องรับรองเอาตราคำสั่งสือเฉิงออกมาอีกครั้ง

“ตอนนี้ข้าเข้ามาถึงภายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่แล้ว เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือจะติดต่อตวนมู่ชิงอย่างไร”

ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงเข้าไปภายในตราคำสั่งสือเฉิง

เขาลองส่งข่าวคราวเข้าไปภายในมิติสือเฉิงที่ห่างไกลผ่านทางตราคำสั่งสือเฉิง

ถ้าหากสามารถติดต่อ ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ ได้ บางทีอาจมีทางลัดอะไรบางอย่างที่ทำให้ได้เข้าพบตวนมู่ชิงเร็วขึ้น

ถึงแม้สำนักบรรพตทองจะคิดหาวิธีติดต่อ ‘ตวนมู่ชิง’ แต่จ้าวเฟิงก็ไม่อาจเอาความหวังของทั้งชีวิตตนมอบให้แก่ผู้อื่น

แต่ทว่า

หลังจากนั้นอีกนาน อีกฟากหนึ่งของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงไม่มีการตอบรับกลับมาแม้แต่นิดเดียว

บางทีอาจจะเป็นเพราะเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงห่างไกลจากที่นี่เกินไป

หรือว่าบางที ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อาจเป็นมิติที่ปิดกั้นจากโลกภายนอก ข่าวคราวจึงกระจายออกไปยากยิ่ง

ครึ่งวันจากนั้น

จ้าวเฟิงเพียรพยายามจะส่งข่าวออกไปหลายครั้ง แต่สูญเปล่าทั้งหมดประหนึ่งโยนหินลงในมหาสมุทร

เฮ้อ!

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาวแล้วสั่นศีรษะน้อยๆ

ข่าวคราวไม่สามารถส่งออกไปได้ เขาไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด

เมื่อไม่มีผลอะไร จ้าวเฟิงจึงเก็บตราคำสั่งสือเฉิงไปเงียบๆ

แล้วในเวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใจกลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยอดเขาจิตวิญญาณหลักที่สูงทะลวงเมฆ  ภายในห้องลับเงียบสงัดที่มีกลิ่นหอมจางๆ

“หืม? กลิ่นอายเมื่อครู่…” ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำ เรือนผมสีขาว ร่างกายเลือนรางอยู่ในกลุ่มลำแสงเจิดจ้าลักษณะคล้ายดอดบัวสีเขียว โดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก

ลำแสงสีเขียวราวดอกบัวนั้นค่อยๆ อับแสงลง ปรากฏเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ ผมสีขาวราวหิมะ ใบหน้าฉายความปิติยามเอ่ยพึมพำ “หรือว่าจะรู้สึกไปเอง?”

ทันทีทันใดนั้น ห้วงคิดเซียนเก่าแก่ที่แกร่งกล้าก็กวาดผ่านทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่อย่างจองหอง ถึงกระทั่งที่ว่าทะลวงออกไปนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์

วินาทีนั้นเอง

ยอดฝีมือผู้มากความสามารถหลายคนภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์วิญญาณสั่นสะท้าน ราชันปราณเทวะของสำนักแข็งแกร่งส่วนหนึ่งยังใจเต้นรัวเร็ว

“นี่เป็นห้วงความคิดเซียนของจักรพรรดิคนไหนกันแน่!”

“ห้วงคิดเซียนที่แข็งแกร่งแบบนี้ ในบรรดาจักรพรรดิของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็หาเจออยู่ไม่กี่คน…”

ห้วงคิดเซียนเก่าแก่กลุ่มก้อนนั้นทำให้คนระดับสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดคลื่นความโกลาหลขึ้น

“ที่แท้ก็เป็นเขา!”

มีเพียงจักรพรรดิจำนวนน้อยที่รู้สึกถึงห้วงคิดเซียนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกปลื้มปริ่ม

ห้วงความคิดเซียนเก่าแก่ที่หยิ่งผยองกลุ่มนั้นกวาดผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์และยอดเขารองห้าหกแห่งในบริเวณดังกล่าว จากนั้นวนเวียนอยู่ครู่หนึ่ง

ยอดเขาจิตวิญญาณรองอันเป็นที่ตั้งของสำนักบรรพตทอง

ราชันชุดฟ้า ราชันทั้งหลาย กับครึ่งก้าวสู่ราชันส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใน ล้วนแต่กระวนกระวายใจเช่นกัน

เพราะว่าห้วงคิดเซียนของจักรพรรดิเคยผ่านไปมาในที่แห่งนี้ชั่วขณะหนึ่ง

ในเวลาดังกล่าว

จ้าวเฟิงเพิ่งจะออกจากห้องรับรองแขกมาเดินเล่น และทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย

“สหายน้อยจ้าว” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ เดินอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน

ใบหน้าของจ้าวเฟิงดูพิกล ด้วยตนเองก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ แต่กลับมีครึ่งก้าวสู่ราชัน เดินไปมาเป็นเพื่อนอยู่ในสำนักบรรพตทอง

“สหายน้อยอย่าเข้าใจผิด นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบน” ผู้เฒ่าหลี่เห็นได้ชัดเลยว่าลำบากใจ

แต่หาก ‘ความจริง’ ของเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน จ้าวเฟิงก็ยังไม่อาจไปไกลจากยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทองได้ง่ายๆ

โดยสรุปแล้วก็คือ

คนระดับสูงของสำนักบรรพตทองยังระแวดระวังจ้าวเฟิงอยู่บ้าง

จ้าวเฟิงกลับไม่ได้เอามาใส่ใจ ให้ครึ่งก้าวสู่ราชันอย่างผู้เฒ่าหลี่มาเดินเป็นเพื่อนก็สะดวกสบายดี

ตลอดทาง ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเดินนำจ้าวเฟิงชมยอดเขาจิตวิญญาณรองของสำนักบรรพตทอง

“เอ๋! ผู้อาวุโสหลี่…”

“ยังมีจ้าวเฟิง!”

หอสูงด้านหน้ามีสองเสียงลอยมา

จ้าวเฟิงจึงหันขวับไปมอง

ในละแวกใกล้เคียงของหอนั้น มีหญิงชายนั่งอยู่ส่วนหนึ่ง มีผู้เยาว์อยู่หนึ่งส่วน อายุล้วนแต่ยังไม่มากนัก ดูเหมือนจะเป็นศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักบรรพตทอง

คนที่เอ่ยปากพูดเป็นโฉมงามในชุดสีขาว คนที่ยืนดูยังมีชายหนุ่มรูปร่างผอมอีกคนหนึ่งด้วย

โฉมสะคราญในชุดขาวและชายหนุ่มรูปร่างเก้งก้างสองคนนี้ จ้าวเฟิงย่อมรู้จักเป็นอย่างดี

ที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในตอนนั้น จ้าวเฟิงเคยประลองแลกเปลี่ยนวิชากับอัจฉริยะหัวกะทิของสำนักบรรพตทอง

ในวินาทีที่เห็นจ้าวเฟิง สตรีชุดขาวและชายหนุ่มอีกคนมีท่าทีปีติยินดี

“คารวะผู้อาวุโส” บรรดาลูกศิษย์ต่างพากันทำความเคารพต่อผู้เฒ่าหลี่เคราขาว

“สหายน้อยจ้าวผู้นี้เป็นแขกของสำนักบรรพตทอง อินหย่วน พวกเจ้าต่างเป็นอัจฉริยะในวัยเดียวกัน น่าจะรู้จักกันเอาไว้” ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยยิ้มๆ

เขาจงใจเรียกบุรุษหนุ่มคิ้วพาดชี้ท่าทางองอาจผู้หนึ่งในกลุ่มคนออกมา

บุรุษหนุ่มคิ้วพาดเฉียงอายุอยู่ที่ประมาณสามสิบกว่าปี กลิ่นอายพลังฝึกตนในร่างกดดันไปยังศิษย์คนอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นหงส์ในฝูงกาที่แท้จริง

“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง” จ้าวเฟิงอดที่จะมองชายหนุ่มที่มีนามว่า

‘อินหย่วน’ อย่างพินิจพิเคราะห์ไม่ได้

ถ้าหากทายไม่ผิด อินหย่วนท่านนี้น่าจะเป็น ‘ศิษย์พี่อิน’ ที่สตรีชุดขาวเคยเอ่ยถึง เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักบรรพตทอง และเป็นศิษย์คนสำคัญ

“ผู้อาวุโสวางใจ ข้าจะต้อนรับแขกของเราอย่างดี” อินหย่วนเอ่ยต่อผู้อาวุโสหลี่ด้วยท่าทีนบนอบ

เพราะการจงใจแนะนำจากผู้เฒ่าหลี่คราขาว จ้าวเฟิงและอินหย่วน รวมถึงอัจฉริยะระดับหัวกะทิของสำนักบรรพตทองส่วนหนึ่ง จึงได้แนะนำตัวและทำความรู้จักกันเล็กน้อย

อัจฉริยะเหล่านี้โดยมากแล้วเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์หลักของสำนักบรรพตทอง

หนึ่งในนั้น โฉมงามชุดขาวและชายหนุ่มผอมเก้งก้างยังมีสถานะค่อนข้างต่ำเพราะเพิ่งเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ด้วยเหตุนี้สตรีชุดขาวและสหายจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับจ้าวเฟิง

“เหอะเหอะ พวกเจ้าต่างเป็นคนรุ่นใหม่ ทำความรู้จักกันเข้าไว้ ข้าขอตัวก่อนสักประเดี๋ยว” ผู้อาวุโสหลี่ส่งเสียงหัวเราะแล้วเดินจากไป

ก่อนที่จะจากไป ผู้เฒ่าหลี่ได้ลอบเตือน ‘อินหย่วน’ อย่างลับๆ ผ่านห้วงความคิดเซียน

“ความหมายของผู้อาวุโสคือ ทางที่ดีจงผูกมิตรกับจ้าวเฟิงไว้ อย่ามีปัญหากับเขาได้?”

อินหย่วนอดมองตรวจตราจ้าวเฟิงไม่ได้

ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเพียงคนเดียวของสำนัก สายตาของอินหย่วนย่อมต้องไม่เหมือนคนอื่นๆ

ถ้าหากไม่ได้ผู้อาวุโสหลี่เอ่ยเตือน เขาคงจะไม่สนใจอะไรในตัวจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย

แต่ทว่า

หลังจากที่ประเมินดูคร่าวๆ แล้ว อินหย่วนก็รู้สึกงุนงงไม่น้อย

ในสายตาของเขา จ้าวเฟิงถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน กลิ่นอายพลังฝึกตนในสายเลือดอยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจงใจให้เขาไปผูกมิตรด้วยเลย?

เขาอินหย่วนเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักบรรพตทอง และยังเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

“ความสามารถของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราต่างก็เคยเรียนรู้มาแล้วทั้งนั้น น่าอับอายเหลือเกิน” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยทอดถอนใจขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน

“นอกเหนือจากศิษย์พี่อิน พวกเราก็ยังไม่เคยเห็นอัจฉริยะที่เก่งกาจเช่นนี้…” โฉมสะคราญในชุดขาวเอ่ยชื่นชมจากใจเช่นกัน

คราวก่อน จ้าวเฟิงใช้ความสามารถของตนเองเพียงคนเดียวสังหารคนสองคนในคราวเดียว

ในขณะนั้น จ้าวเฟิงก็ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางเหมือนกับพวกเขา

สิ่งที่คนทั้งสองชื่นชมนั้นออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง แต่คนรอบข้างฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

“เหอะ! จะบอกว่าเจ้าเด็กนี่มีความสามารถพอๆ กับศิษย์พี่อินงั้นรึ?”

สำนักบรรพตทองนอกเหนือจากอินหย่วนแล้วยังมีอัจฉริยะที่เก่งกาจอีกหลายคน พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางหรือถึงขั้นสุดยอดก็มี

อัจฉริยะเหล่านี้ล้วนแต่ลอบหัวเราะในใจ

ศิษย์พี่อินได้ยินแล้วกลับยิ้มๆ และไม่ได้แสดงความเห็นใดออกมา

คนอื่นๆ ไม่ค่อยเชื่อสตรีชุดขาวและพวกเท่าไหร่นัก คนทั้งสองจึงมีสีหน้าขัดเขิน

ถัดจากนั้น

จ้าวเฟิงตามศิษย์พี่อินและอัจฉริยะของสำนักในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางส่วนไปดื่มชาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน

“ศิษย์พี่อิน ตอนที่ท่านทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงไม่น่าจะใช้เวลานานกระมัง”

ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จ้าวเฟิงก็เอ่ยขึ้นมา

หืม?

ศิษย์พี่อินรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จ้าวเฟิงผู้นี้เพิ่งจะเข้ามาภายในสำนักบรรพตทองเหตุใดจึงรู้ว่าตนเองทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว ?

จะต้องรู้ว่า ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาตั้งจิตสงบใจ เก็บกักกลิ่นอายของตนเอาไว้

ตามปกติแล้ว คนที่อยู่ในระดับขั้นต่ำกว่ายากที่จะลอบสำรวจขอบเขตการฝึกตนของคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า

“ศิษย์พี่อินทะลวงผ่านถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเมื่อสองเดือนก่อน คนในสำนักทั้งหมดต่างรับรู้กันทั่ว…”

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายเอ่ยตอบเรียบๆ

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลรับไม่ได้ที่จ้าวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้อาวุโสและศิษย์อันดับหนึ่ง

เขามองข้ามรายละเอียดข้อหนึ่งไป

จ้าวเฟิงเพิ่งจะเข้ามาภายในสำนักบรรพตทอง เพิ่งเจอกับศิษย์พี่อินเป็นครั้งแรก และไม่รู้จักมักคุ้นอะไรกับฝ่ายหลังเลยแม้แต่น้อย

บนใบหน้าศิษย์พี่อินมีแววครุ่นคิด ในใจเริ่มระมัดระวัง

ถ้าหากจ้าวเฟิงใช้เพียงการสังเกตอย่างเดียวแล้วตัดสินได้ว่าเขาเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเมื่อเร็วๆ นี้ แขกผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“พวกเจ้าไม่รู้ว่าตอนอยู่บนเรือมังกรทอง พลังของจ้าวเฟิงน่ากลัวพอๆ กับพวกครึ่งก้าวสู่ราชันเลยทีเดียว ประมือกันในเวลาสั้นๆ แล้วยังอยู่รอดปลอดภัยกลับมาด้วย…” นัยน์ตาของสตรีชุดขาวทอแสงประหลาดขณะเล่าเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอบนเรือ

ในความเป็นจริงแล้ว

การรบกับองครักษ์แห่งความตายบนเรือมังกรทอง นางไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดอย่างแน่ชัด

นางคิดว่าสุดท้ายที่ได้ชัยเป็นเพราะครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสาม จ้าวเฟิงทำเพียงคอยควบคุมเท่านั้น

สุดท้ายแล้วผู้ที่ไล่ล่าสังหารก็ยังเป็นครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสามอยู่ดี

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำสามารถประมือกับครึ่งก้าวสู่ราชันได้ชั่วขณะหนึ่งงั้นรึ? ฟังๆ ไปแล้วทำไมจึงเหมือน ‘เรื่องเล่า’ ที่ขาดความสมจริงยิ่งนัก”

ชายผมสีน้ำตาลและคนอื่นๆ หัวเราะเสียงดัง

 

พลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำประมือกับครึ่งก้าวสู่ราชัน แค่อยู่รอดในไม่กี่ช่วงลมหายใจก็นับว่าประหลาดชวนสะพรึงขวัญ คงเป็นเพียงแต่นิยายหลอกเด็กเท่านั้น

ศิษย์พี่อินอดจะหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้

คำพูดของคนทั้งสองไร้ซึ่งความสมเหตุสมผลและเกินจริงไปมาก

หรือบางทีสตรีชุดขาวและพวกเพียงแค่อยากจะยกหางจ้าวเฟิงให้สูงขึ้น เพื่อให้พวกตนมีที่ยืนมั่นคงอยู่ในสำนัก

“เรื่องเหล่านี้พวกข้าล้วนแต่เห็นด้วยตาของตนเอง หากไม่เชื่อพวกเจ้าลองถามผู้อาวุโสหลี่ดู…” สตรีชุดขาวรู้สึกอับอายเหลือประมาณ

ที่นางพูดมาทั้งหมดคือเรื่องจริงที่นางเห็นจากสองตาของตนเอง คนพวกนี้ไม่เชื่อก็ช่าง แต่นี่ยังจะมาล้อเลียนกันอีก

ถ้าหากผู้อาวุโสหลี่อยู่ที่นี่ต้องสามารถยืนยันได้แน่

เพียงแต่ผู้อาวุโสอยากจะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่สังสรรค์กันจึงไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย คนทั้งหลายย่อมไม่มีทางไปหาผู้อาวุโสเพื่อให้ท่านมายืนยันเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่

“ความหวังดีของท่านทั้งสอง จ้าวเฟิงขอน้อมรับไว้ด้วยใจ”

จ้าวเฟิงมีท่าทีสงบราบเรียบ สายตาที่ทอดมองไปยังคนทั้งสองซาบซึ้งและปลอบโยน

หลังจากที่พูดคุยสังสรรค์กันจบ ในฝูงชนก็มีคนเอ่ยปากอยากประลองพลังกันในทันที

“อืม ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่มีขึ้นในทุกห้าร้อยปีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเราสำนักบรรพตทองมีเพียงห้ารายนามเท่านั้น ได้ยินมาว่าการแข่งขันภายใน ‘อุทยานครึ่งเซียน’ รุนแรงยิ่งนัก…” ศิษย์พี่อินผงกศีรษะแล้วเอ่ย

 

ในระยะนี้เขาเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง แล้วยังจะได้เจอ ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่มีขึ้นครั้งหนึ่งในรอบห้าร้อยปีอีก แน่นอนว่าย่อมต้องตื่นเต้น อยากจะแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์

และแน่นอนว่า

สิ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่ขาดแคลนเลยแม้แต่น้อยก็คือเหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย ภายในนั้นมีบางคนที่สูงส่งมีความสามารถ กระทั่งศิษย์พี่อินยังรู้สึกเป็นกังวลยิ่ง

หากต้องการจะได้ชัยชนะใน ‘อุทยานครึ่งเซียน’ การพึ่งพาเพียงกำลังของตนเท่านั้นย่อมไม่เพียงพอ

“ไม่ผิด ทุกคนเราลองมาประลองพลังกันสักหน่อยเถิด จะได้ต่างคนต่างพัฒนา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้หลังจากที่เข้าร่วม ‘อุทยานครึ่งเซียน’ แล้วได้ร่วมมือกันเป็นกลุ่ม แน่นอนว่าในยามที่พวกเราประลองพลังกันย่อมไม่อาจละเลย ‘แขก’ ของเราได้ ”

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายมีแววนึกสนุก สายตาจับจ้องไปที่จ้าวเฟิง

ด้วยเพราะ ‘คำคุย’ ที่สตรีในชุดขาวและพวกเอ่ยถึงจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้ ทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ร่วมกันวางแผนเพื่อแหกหน้าและแฉคำโกหกเหล่านั้น

“อุทยานครึ่งเซียน?”

ใบหน้าจ้าวเฟิงมีแววสนใจใคร่รู้ แต่กลับไม่ใส่ใจจิตต่อสู้ที่ยั่วยุเขาจากผู้คน

หากทำความเข้าใจจากชื่อ เซียนก็คือขอบเขตเซียนสวรรค์ ชึ่งเป็นขอบเขตสูงสุดของผืนพสุธา เช่นนั้นครึ่งเซียนโดยปกติแล้วจะหมายถึงขอบเขตเทวาเร้นลับที่สมบูรณ์ อีกเพียงครึ่งก้าวจะเข้าสู่ขอบเขตของเซียนแล้ว

ขนาดเซียนจื่อเย่ในยุคที่รุ่งโรจน์ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเป็น ‘ครึ่งเซียน’ ด้วยซ้ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version