Skip to content

King of Gods 634

King Of Gods

บทที่ 634 เคล็ดวิชาดวงตาวิญญาณ

จ้าวเฟิงรู้ดีว่าตวนมู่ชิงต้องการจะไป ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ สำหรับจ้าวหยูเฟยแล้วนี่ถือเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาพินิจพิเคราะห์น้อยๆ ในวันนี้ตนเข้ามาพำนักอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สงบราบรื่นดี ต้องการเพียงแค่ความสงบในการฝึกตนก็พอแล้ว ไม่อยากได้อะไรอื่นอีก

เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำคือจัดแจงคนในเรือหลานเหลยให้เรียบร้อย ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิปราณเทวะยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยตนเอง

“อาจารย์ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะกลับมา?” จ้าวเฟิงถามขึ้น

“อย่างน้อยน่าจะประมาณหนึ่งถึงสองเดือน อย่างมากก็ครึ่งปี ความตึงเครียดที่ซากปรักหักพังสือเฉิงกำลังเผชิญอยู่ไม่ได้จัดการยากมากนัก แต่การจะฟื้นฟูมิติรวมไปถึงการสืบทอดมิติยังต้องการเวลาอยู่ส่วนหนึ่ง” ตวนมู่ชิงเอ่ยยิ้มๆ

ก่อนที่จะจากไป

ตวนมู่ชิงส่งรายละเอียดข่าวคราวอย่างหนึ่งเข้าไปภายในหัวของจ้าวเฟิง เป็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ ‘อุทยานครึ่งเซียน’

ถึงแม้อุทยานครึ่งเซียนจะเปิดขึ้นหนึ่งครั้งในรอบห้าร้อยปี แต่ประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่มีความเป็นมายาวนานมาก

มีทั้งสำนักสามดาวสองแห่ง สำนักสองดาวสามสิบสามแห่ง หลังจากสำรวจมากมายหลายครั้ง จึงมีความรู้ความเข้าใจในอุทยานครึ่งเซียนอยู่ราวๆ เจ็ดแปดส่วน

“อุทยานครึ่งเซียน ทางเข้าอยู่ที่‘ยอดเขาจิตวิญญาณว่านกู่’ อายุจำกัดไม่เกินห้าสิบปี ภายในอุทยานมีข้อจำกัดมากมาย ส่วนประกอบภายในมิติและโลกภายนอกแตกต่างกันมาก…” จ้าวเฟิงศึกษาอย่างคร่าวๆ

‘อุทยานครึ่งเซียน’ ยังเหลือเวลาอีกสองสามเดือนถึงจะเปิดออก

ก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงจดจ่ออยู่กับการฝึกตน จึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเรื่องนี้ไปชั่วเวลาหนึ่ง

“จะต้องจัดแจงคนบน ‘เรือหลานเหลย’ ให้เรียบร้อยเสียก่อน” จ้าวเฟิงชันกายขึ้น เดินออกมาภายนอก

ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักสามดาว ฐานะของจ้าวเฟิงในวันนี้สามารถเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสบายอกสบายใจ ทว่าเขาก็ยังคงระมัดระวัง เพราะภยันอันตรายมรณะที่มาจากดวงวิญญาณอยู่ใกล้มากนัก

บริวารของจักรพรรดิแห่งความตาย ‘สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะและองครักษ์แห่งความตายทั้งสามสิบหก’ น่าจะมีไม่น้อยที่พำนักอยู่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่

จ้าวเฟิงเดินออกจากที่พัก หยิบตราคำสั่งของลูกศิษย์ผู้สืบทอดออกมา จากนั้นให้ผู้ส่งสารของสำนักเอาจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปที่สำนักบรรพตทอง

เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามจากนั้น

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวของสำนักบรรพตทองได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เมื่อเปิดจดหมายออก ภายในมีห้วงความคิดจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นในทันที มีเสียงของจ้าวเฟิงแว่วมาว่า “ผู้เฒ่าหลี่ ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่าน…”

ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวตกใจอย่างมาก

คนที่อยู่ต่ำกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะ ยังมีวิธีการที่เอาห้วงความคิดจิตวิญญาณฝังลงในจดหมายเช่นนี้ด้วย

อีกทั้งเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงของจ้าวเฟิงที่ถูกส่งต่อมาในทันที

หลังจากฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ห้วงความคิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงสามารถแบ่งออกเป็นหลายส่วน

 

เขาจึงเอาห้วงความคิดฝังลงในจดหมาย ถึงแม้จะถูกส่งออกไปไกลก็ยังสามารถเชื่อมโยงกับดวงวิญญาณของตนเองได้

อีกอย่าง นี่เป็นเพียงการใช้ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ แบบพื้นฐานเท่านั้น

จ้าวเฟิงและผู้เฒ่าหลี่เคราขาวติดต่อสื่อสารกันในระยะเวลาสั้นๆ ผ่านทางจดหมาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือสื่อสารอื่นอีก

“สหายน้อยจ้าว เจ้าวางใจให้มาก เรื่องนี้ข้าจะติดต่อไปยังคนระดับสูงของสำนัก การจัดแจงที่อยู่ให้สมาชิกจากภายนอกไม่ใช่เรื่องยากอะไร…” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวเอ่ยตอบ

แล้วในวันนี้เอง

คนในระดับสูงของสำนักบรรพตทองอย่างราชันชุดคลุมฟ้าก็อนุญาติให้รับคนในเรือหลานเหลยจากโลกภายนอกเข้ามา

ในวันต่อมา

บนเรือหลานเหลย หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ย และคนที่เหลือกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกภายนอกของสำนักบรรพตทอง

จ้าวเฟิงจึงสบายใจได้ในที่สุด

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเขา

ต่อจากนี้หากจะมุ่งหน้าไปที่ดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่งก็ยังต้องใช้เรือลำหนึ่ง

หลังจากที่จัดการเรื่องเรือเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านฝึกตน

ในวันนี้

พลังฝึกตนของเขาทำได้เพียงสามประเภทนี้เท่านั้น

อันดับแรก มรดกจักรพรรดิวายุอัสนี

หากฝึกวายุอัสนีสีม่วงบรรลุแล้ว จ้าวเฟิงจะเริ่มฝึก ‘วายุอัสนีสีชาด’ ที่อยู่ในระดับสูงกว่าเดิมได้

อันดับสอง ศาสตร์วิญญาณ ฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’

ระดับขั้นของวิชา ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ สามารถพูดได้ว่าเหนือกว่ามรดกจักรพรรดิวายุอัสนีมาก หากฝึกวิชานี้แล้วน่าจะมีส่วนช่วยให้จ้าวเฟิงคลายพลังดวงตาที่ ‘เนตรมรณะ’ หยั่งรากไว้ในส่วนลึกของดวงวิญญาณได้

อันดับสาม ด้านวิชาสายเลือดดวงตา ศึกษา ‘หมิงถงมรณะ’

ทั้งสามอย่างนี้ สิ่งที่จ้าวเฟิงให้ความสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็น ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’

‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ทำให้ความคิดดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แล้วยังทำให้การใช้พลังวิญญาณทวีขึ้นไปถึงระดับขั้นใหม่

แต่ทว่า เมื่อห้วงความคิดของจ้าวเฟิงสามารถแบ่งจากหนึ่งเป็นสิบได้ ความก้าวหน้าใน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ จึงเริ่มเห็นได้ชัดว่าเชื่องช้าลงตามไปด้วย

การ ‘แบ่งความคิดจากหนึ่งเป็นร้อย’ ที่ลึกล้ำยิ่งกว่า ตามหลักการแล้วต้องอยู่ในขั้นราชันขอบเขตปราณเทวะเป็นอย่างน้อยจึงจะทำได้

จ้าวเฟิงที่ไปถึงขั้นแบ่งจากหนึ่งเป็นสิบอย่างรวดเร็วเช่นนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ลึกล้ำสูงส่งเกินกว่ายอดฝีมือส่วนหนึ่งของสกุลตวนมู่ในแต่ละรุ่นที่ผ่านมาแล้ว

วันต่อมา

จ้าวเฟิงเริ่มฝึกฝน ‘ตำราหมิงถง’

เมื่อมองเพียงปราดเดียว สตินึกคิดของจ้าวเฟิงก็ดำดิ่งหลอมรวมเข้าไปภายในอย่างลึกล้ำ

ภายใน  ‘ตำราหมิงถง’ บันทึกทฤษฎีวิชาดวงตามรณะไว้เป็นจำนวนมาก

ถึงแม้ว่าตำราลับเล่มนี้จะไม่ได้เอ่ยถึงหลักการสำคัญของ ‘หมิงถงมรณะ’ มากนัก แต่ว่าบันทึกทฤษฎีวิชาดวงตาที่แกร่งกล้า ทั้งในด้านส่งเสริมและด้านควบคุมไว้ไม่น้อย

“วิชาดวงตาเหล่านี้มีแนวโน้มไปทางแขนงมรณะและแขนงวิญญาณ จักรพรรดิแห่งความตายนับว่าเจ้าเล่ห์ยิ่ง ไม่เอ่ยถึงหลักการสำคัญของวิชาดวงตาต้องห้ามที่เป็นประเภทการโจมตีอย่างแท้จริงเลยแม้แต่น้อย…” จ้าวเฟิงมองอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง

ใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงจะอ่านตำราเล่มนี้แบบผ่านๆ จนจบ

จะต้องรู้ว่า สตินึกคิดของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากผ่านตาแล้วจะไม่มีวันลืม จึงมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ลึกล้ำ

‘ตำราหมิงถง’ ทำให้จ้าวเฟิงเข้าใจวิชาดวงตาแขนงมรณะและแขนงวิญญาณได้ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น

ที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้นก็คือ

‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ซึ่งเป็นวิชาเซียนแขนงวิญญาณที่ใช้ฝึกห้วงความคิด เมื่อบวกกับการฝึก ‘ตำราหมิงถง’ จะส่งผลที่ส่งเสริมกันและกัน

สิ่งที่ตำราทั้งสองนี้มีเหมือนกันคือการประยุกต์ใช้พลังวิญญาณ

อีกทั้งเมื่อก่อนจ้าวเฟิงยังเคยศึกษา ‘บันทึกหมิงถง’ ทำให้มีพื้นฐานมั่นคงแล้ว จ้าวเฟิงจึงเข้าใจ ‘ตำราหมิงถง’ ได้ปรุโปร่งลึกซึ้งอย่างรวดเร็ว

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตาเดียว

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงจมดิ่งอยู่กับ ‘ตำราหมิงถง’ และศึกษาหลักการของวิชาดวงตาต้องห้ามมากมาย

เนื่องจากวิชาต้องห้ามต่างๆ ที่จดไว้ใน ‘ตำราหมิงถง’ ล้วนแต่เป็นแขนงมรณะ จึงมีส่วนมากที่จ้าวเฟิงไม่สามารถฝึกได้โดยตรง

แต่ในส่วนวิชาดวงตาแขนงวิญญาณโดยเฉพาะ จ้าวเฟิงศึกษาเพียงเล็กน้อยก็ทำได้แล้ว

ระยะเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา จ้าวเฟิงเริ่มฝึกวิชาสายเลือดดวงตาแบบใหม่แล้ว ส่วนมากจะเป็นประเภทวิญญาณ

เพราะข้อจำกัดที่จักรพรรดิแห่งความตายทำไว้กับ ‘ตำราหมิงถง’ ทำให้วิชาดวงตาเหล่านี้ถูกจำกัดไว้เกี่ยวกับด้านควบคุมและให้ความช่วยเหลือเป็นส่วนมาก

“โซ่ตรึงวิญญาณ!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ทะลักพลังดวงตาที่แข็งแกร่งออกมา

วินาทีต่อมา

เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณต้องร้องเสียงหลง เมื่อร่างกายโดนกักขังจนไม่อาจขยับตัวได้

มองเห็นเพียงแต่โซ่อัสนีสีม่วงโปร่งแสงรัดร่างของเขาไว้

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่โดนรัดอยู่นั้นคือดวงวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูก

ส่วนโซ่สายฟ้าสีม่วงโปร่งแสงคือรูปร่างวิญญาณที่พุ่งตรงดิ่งไปรัดดวงวิญญาณของเป้าหมายในทันที

“ใช้พลังเพียงห้าส่วนเท่านั้น เจ้าก็ไม่มีแรงจะต้านทานแล้วงั้นรึ” จ้าวเฟิงไม่ค่อยพึงพอใจนัก เก็บพลังดวงตากลับมา

โซ่สายฟ้าสีม่วงนั้นรัดร่างของเจ้าหอโครงกระดูกไว้หลายช่วงลมหายใจ ฝ่ายหลังถึงค่อยดิ้นรน

นอกเหนือจาก ‘โซ่ตรึงวิญญาณ’ แล้ว จ้าวเฟิงยังฝึกวิชาดวงตาประเภทต่างๆ จำนวนไม่น้อย ซึ่งส่วนมากมักเป็นแขนงวิญญาณ

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ…หนามจิตวิญญาณ…ดวงตานิมิตมาร…เนตรสืบวิญญาณ…เนตรมารจู่โจม……”

ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏหลักการเสวียนอ้าวของวิชาดวงตาต้องห้ามเหล่านี้

มีวิชาดวงตาบางส่วนที่ถึงแม้จะเป็นแขนงมรณะ แต่จ้าวเฟิงใช้พลังแขนงอื่นก็ยังสามารถสำแดงออกมาได้

เพราะอย่างไรพลังดวงตาของเขาก็ทำการสับเปลี่ยนได้ สายเลือดดวงตาอื่นยากที่จะมีจุดเด่นเช่นนี้

ในกลุ่มนี้ สิ่งที่จ้าวเฟิงศึกษาล้ำลึกที่สุดก็คือ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ซึ่งคล้ายคลึงกับ ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ เมื่อก่อนของเขา แต่เป็นวิชาที่แข็งแกร่งขึ้น

กล่าวคือ ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ในยามก่อนคือการเอาเมล็ดพันธุ์พลังดวงตาหลอมรวมเข้าไปภายในดวงวิญญาณของเป้าหมายเพื่อคุกคามชีวิต ทำให้สามารถใช้อีกฝ่ายในฐานะเจ้านายและลูกน้องได้

แต่ว่าพลังควบคุมของเมล็ดดวงใจทมิฬค่อนข้างมีขีดจำกัด ไม่อาจควบคุมความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้โดยตรง ทำได้เพียงแค่เอาความตายมาขู่เข็ญ ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่สนใจความเป็นความตายของตน เช่นนั้นเมล็ดดวงใจทมิฬก็จะไร้ซึ่งความหมายใดๆ

หรือถึงแม้ชีวิตเป้าหมายจะตกอยู่ในอันตราย หากยังมีใจเป็นอื่นก็สามารถต่อต้านได้ทุกเวลา ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างมาก

“ตราผนึกดวงใจ จะใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามในศาสตร์วิญญาณที่สูงส่ง ประทับพลังดวงตาของตนเองไปยังส่วนลึกของดวงวิญญาณ เพื่อส่งผลกระทบและเปลี่ยนแปลงสตินึกคิดของฝ่ายตรงข้าม สิ่งมีชีวิตที่โดนตีตราด้วย ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ จะยอมศิโรราบจากจิตใจที่แท้จริง จึงยากที่จะขัดขืนได้”

จ้าวเฟิงรับรู้ถึงความน่ากลัวและความอันตรายของวิชาดังกล่าว

‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ เรียกได้ว่าเป็นตราประทับทาสเลยทีเดียว

ทันทีที่โดนตีตราประทับ ความคิดของเป้าหมายจะเปลี่ยนไป กลายมาเป็นทาสยอมจำนนต่อเจ้านายอย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหอโครงกระดูกที่ในยามก่อนโดนจ้าวเฟิงขู่คุกคามด้วยเมล็ดดวงใจทมิฬ แม้โดนควบคุมโดยจ้าวเฟิงก็มักจะมีใจคิดไม่ซื่ออยู่เสมอ

แต่ถ้าหากเขาโดนตีตราจาก ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ ต้องห้ามแล้ว ในทันทีที่สำเร็จ เจ้าหอโครงกระดูกจะยอมจำนนศิโรราบ ตกเป็นทาสของจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์ ยากที่จะแปรพักตร์เป็นอื่นได้

ตราผนึกดวงใจทมิฬเป็นวิชาดวงตาต้องห้ามในการควบคุมดวงวิญญาณของข้าทาส

แน่นอนว่าวิชาต้องห้ามนี้ย่อมมีข้อจำกัดด้วยเช่นกัน

อันดับแรก การเรียกใช้ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ มีผลสำเร็จไม่สูงมากนัก ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับความต่างของดวงวิญญาณทั้งสองฝ่าย

ในสถานการณ์ส่วนมาก เมื่อแรงต่อต้านของอีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สุดท้ายไม่สามารถทำได้สำเร็จ จะทำให้ดวงวิญญาณหรือความคิดของเป้าหมายสูญสลาย

และแน่นอนว่าอัตราส่วนที่จะสำเร็จย่อมมีความเกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมค่อนข้างมาก

ในข้อนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ เพียงหนึ่งห้วงความคิดเดียวก็มีพลังควบคุมสูงส่งอย่างยิ่งแล้ว

จ้าวเฟิงจึงลองสร้างสถานการณ์หนึ่ง แบ่งห้วงความคิดของตนเองออกเป็นจำนวนมาก แล้วสาดซัดออกไปจับเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีพลังไม่แข็งแกร่งมากนัก

นอกจากผลสำเร็จจะไม่สูงมากแล้ว เมล็ดดวงใจทมิฬยังสิ้นเปลืองพลังดวงตาไปมากอีกด้วย

ระดับในการสูญเสียพลังจะเกี่ยวโยงกับความสามารถในการควบคุมพลังดวงตา รวมไปถึงความแตกต่างของดวงวิญญาณทั้งสองฝ่าย

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!” ร่างกายของจ้าวเฟิงสาดซัดระลอกพลังออกไปอีกครั้ง ทำให้ดวงวิญญาณทั้งหลายต้องสั่นสะท้าน

พรึ่บ!

ในวินาทีต่อมา วิหคตัวหนึ่งในระดับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบินจากที่ไกลออกไปหลายลี้ ตรงเข้ามาด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ

เวลาผ่านไปหนึ่งสองช่วงลมหายใจ

สวบ!

วิหคในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตัวนี้ขยับปีก สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัวขณะที่ร่อนลงบนบ่าของจ้าวเฟิง

“อืม ทั้งสติและความคิดของเจ้าตกเป็นทาสโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อให้ข้ามีเพียงพลังฝึกตนในขั้นขอบเขตรวบรวมปราณมันก็ย่อมภักดีต่อข้า” จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ

นี่เป็นครั้งที่สิบแล้วที่เขาลองเรียกใช้ ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ นอกเหนือจากในครั้งแรกที่เกิดความผิดพลาด ที่เหลืออีกเก้าครั้งล้วนแต่ประสบผลสำเร็จทั้งหมด

พลังในการควบคุมดวงเทพเจ้าของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด ยิ่งฝึก ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ไปแล้ว เคล็ดลับการใช้พลังวิญญาณยิ่งลึกล้ำขึ้น

ต่อมา

จ้าวเฟิงลองเอาห้วงความคิดแบ่งเป็นสิบส่วน แล้วใช้มันควบคุมเหล่าสัตว์อสูรในละแวกใกล้เคียงพร้อมกัน ระดับของเป้าหมายไม่สูงมากนัก แต่มีสิ่งมีชีวิตธรรมดาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากอยู่ในระดับขอบเขตรวบรวมปราณขึ้นไปทั้งนั้น

หลายช่วงลมหายใจผ่านไป

เป้าหมายวิหคและแมลงอสูรจำนวนนับสิบซึ่งล้วนแต่เป็นขอบเขตรวบรวมปราณขึ้นไป มีเจ็ดแปดตัวกลายเป็นทาสของจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์ ส่วนอีกสองตัวล้มเหลวไป เพราะการแบ่งใช้หลายห้วงความคิดในเวลาเดียวกันทำให้เกิดความเสียหายบางส่วน

ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงสามารถฝึกฝน ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ และ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ไปถึงขอบเขตพลังที่สูงส่งยิ่งกว่า เชื่อได้ว่าจะเพิ่มอัตราส่วนความสำเร็จมากขึ้น

ภายในประคำหมื่นวิญญาณ

เจ้าหอโครงกระดูกมองเห็นวิชาดวงตาวิญญาณครั้งใหม่ของจ้าวเฟิง ก็อดจะเกิดความกลัวเกรงขึ้นไม่ได้ เป้าหมายสิ่งมีชีวิตที่โดนควบคุมโดย ‘ตราผนึกดวงใจทมิฬ’ จะกลายเป็นทาสอย่างแท้จริงตั้งแต่สมองและวิญญาณ เป็นเหมือนกับร่างหุ่นเชิดเลยทีเดียว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version