Skip to content

King of Gods 636

King Of Gods

บทที่ 636 เปิดอุทยานครึ่งเซียน

สำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย

กลุ่มเมฆเหนือยอดเขาจิตวิญญาณหลัก หมอกมายาลอยวนเวียนไปมากลางป่าไผ่

“ซีเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีสายเลือดรายชื่อหมื่นสายพันธุ์โบราณ แต่ว่ามรดกสายเลือดของเจ้าไม่ใช่ประเภทต่อสู้ ถ้าหากประมือกับหนานกงเซิ่ง โอกาสชนะไม่น่าเกินครึ่ง”

เสียงแผ่วเบาลอยละล่องออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ภายในเรือนมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตลบอบอวล

โฉมสะคราญในชุดสีฟ้ากระโปรงจีบสีขาวยืนทอดสายตาออกไป นัยน์ตาสุกใสประหนึ่งดวงดารา เลือนรางราวภาพฝัน ผมยาวสลวยจรดพื้น สะอาดบริสุทธิ์ประหนึ่งเทพเซียนจากสวรรค์

“ฮึ! หนานกงเซิ่งผู้นั้น ถึงแม้จะเป็นอันดับหนึ่งของสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับพลาดท่าและเสียเปรียบต่อหน้าข้าอยู่หลายครั้ง”

มือแบบบางของเมิ่งซีสัมผัสเส้นผมนุ่มสวยดั่งไหม นัยน์ตาเป็นประกายราวอัญมณีคู่นั้นเหมือนจันทร์เสี้ยว ไหวระริกดั่งสายน้ำ ดูดื้อรั้นไม่ยอมใครอยู่บ้าง

เบื้องหน้าของนางมีร่างเงาเจ้าของเรือนผมสีเงินที่มีกลิ่นอายลึกล้ำนั่งขัดสมาธิอยู่

ร่างเงาผมสีเงินนั่นมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง ดูชัดเจนเรียบง่าย แต่กลับเป็นประหนึ่งอากาศที่ว่างเปล่า

“เหอะเหอะ!…เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของข้า ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่จะเปิดครั้งหนึ่งในรอบห้าร้อยปี เหตุใดอาจารย์จะไม่เตรียมตัวเลยแม้แต่น้อย”

ร่างเงาไร้ตัวตนค่อยๆ แบมือออก

พรึ่บ!

กิเลนหยกสีม่วงร่วงหล่นลงสู่มือของเมิ่งซี

“นี่มัน…” เมิ่งซีตกใจเล็กน้อย ภายในกิเลนหยกสีม่วงแฝงไปด้วยกลิ่นอายจิตวิญญาณที่น่ามหัศจรรย์ แต่ไม่ใช่อุปกรณ์หรืออาวุธวิเศษอะไร

“ได้พลังของสิ่งนี้ช่วยเหลือ เมื่อเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียน พลังของเจ้าแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ต่อให้เป็น ‘หนานกงเชิ่ง’ ก็ยังต้องหวั่นเกรงเจ้าอยู่เช่นกัน” เงาร่างเรือนผมสีเงินยิ้มบางๆ

เช้าตรู่วันต่อมา

สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก บนเวทีประลองกว้างใหญ่มีกลิ่นอายของครึ่งก้าวสู่ราชานับไม่ถ้วนปะทะกัน

สามคนในนั้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ในกลุ่มมีชายวัยกลางคนหนวดโค้ง บุรุษหนุ่มหน้าตาเย็นชา และสตรีในชุดเขียว

ส่วนอีกฟาก มีบุรุษอาภรณ์สีดำท่าทีหยิ่งยโส มือข้างหนึ่งไพล่หลังไว้ ดูไม่สะทกสะท้านอะไร มืออีกข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างออกมา แล้วใช้พลังของตนเพียงคนเดียวข่มครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสาม

ข้างเวทีประลองมีผู้ชมอยู่ไม่น้อย

มีตั้งแต่ลูกศิษย์สืบทอดส่วนหนึ่ง ไปจนราชาหลายคน และจักรพรรดิหนึ่งท่าน

“พลังของหนานกงเซิ่งเพียงคนเดียวข่มครึ่งก้าวสู่ราชาทั้งสามคนได้สบายๆ เช่นนี้”

พวกลูกศิษย์สืบทอดด้านล่างเวทีต่างตกใจจนเนื้อเต้น

นี่มันบ้าไปแล้ว!

หนานกงเซิ่งเป็นที่หนึ่งในศิษย์สืบทอดของสำนักเสวียนเจิน เป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่อาวุโสที่สุดของสำนัก

ในขณะเดียวกัน เขาเป็นอันดับหนึ่งในเหล่าสิบอัจฉริยะของแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใครๆ ต่างให้การยอมรับ นอกเหนือจากคนที่มีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอย่าง ‘เมิ่งซี’ แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีอัจฉริยะคนไหนรับมือเขาได้เกินสิบกระบวนท่า

วูบ!

บนเวทีประลอง พลังของครึ่งก้าวสู่ราชันสามคนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม แล้วพุ่งดิ่งไปทางหนานกงเซิ่ง

ในชั้นจิตวิญญาณเกิดความรู้สึกสั่นไหว ไอสวรรค์ในฟ้าและดินราวกับถูกแช่แข็ง ความคิดทั้งหมดถูกควบคุมไว้ ยากที่จะหมุนเวียนได้

พลังของครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสามคนรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกัน

บรรดาลูกศิษย์สืบทอดของสำนักที่อยู่ข้างล่างเวทีประลองใจเต้นสะท้านจนหายใจไม่ออก

ต่อให้เป็นหนานกงเซิ่งที่ฝึกตนจนถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน ก็ยากจะรับมือพลังที่ครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสามร่วมมือกันจู่โจมได้

“ทำลาย!”

ร่างกายของหนานกงเซิ่งเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา ขอบเขตพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันบนร่างพลันเพิ่มสูงขึ้น

ตูม!

ชั้นดวงวิญญาณระเบิดเสียงดังกึกก้อง พลังยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างของขอบเขตปราณเทวะทะลวงผ่านทั้งสิ่งของทั้งรูปธรรมและนามธรรม

ในวินาทีต่อมา ค่ายกลทั้งเวทีประลองสั่นสะท้านแล้วอับแสงลง

“ขอบเขตพลังแห่งราชา!”

ทั้งสนามเกิดเสียงดังเกรียวกราว มีเพียงจักรพรรดิองค์เดียวที่สีหน้ายังปกติ ใบหน้าแฝงแววปลาบปลื้ม

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ครึ่งก้าวสู่ราชันทั้งสามกายและใจสั่นสะท้าน โดนพลังราชันที่ยิ่งใหญ่กระแทกจนกระเด็นออกไป มุมปากมีคราบเลือดไหลออกมา

“ขอบเขตพลังของราชารึ? หรือว่าหนานกงเซิ่งผ่านขึ้นเป็นราชาแล้ว?”

“ไม่ใช่! พลังฝึกตนของเขาหยุดอยู่ที่ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน แต่ชั้นดวงวิญญาณเปลี่ยนสภาพสำเร็จ จึงมีขอบเขตพลังที่แท้จริงในขั้นราชาปราณเทวะ”

ด้านล่างเวทีประลองอึกทึกครึกโครม

ในวินาทีนี้

อัจฉริยะยอดฝีมือจำนวนมากมายจับจ้องมาที่หนานกงเซิ่งด้วยแววตาที่ทั้งเคารพและหวั่นเกรงอยู่ในที

เมื่อปลดปล่อยพลังของราชาอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอบเขตปราณเทวะสำหรับหนานกงเซิ่งก็จะไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป

โครม!

พลังจิตตั้งมั่นของราชาคนใหม่ทะลวงพุ่งไปบนก้อนเมฆ หลอมรวมกับอากาศ แล้วกระตุ้นให้เกิดพลังของจักรวาลที่แรงกล้าไร้ขอบเขต

หนานกงเซิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตาผู้นี้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน บรรลุสภาพในอุดมคติที่คนและฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวกัน

นับตั้งแต่นั้น

พลังของเขาจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจต้านทานได้ของราชา และสามารถสังหารคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาได้อย่างรวดเร็ว

“ขอบเขตพลังของราชาคนใหม่!”

“หรือว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีราชาคนใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว?”

ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ราชาในขอบเขตปราณเทวะมากมายหรือกระทั่งจักรพรรดิบางส่วนต่างพากันส่งห้วงคิดเซียนมา

ทว่า ยามที่พวกเขาค้นพบว่าพลังราชาครั้งใหม่นี้สาดซัดออกมาจากอัจฉริยะรุ่นหลังคนหนึ่งก็ต้องตื่นตกใจ

“หนานกงเซิ่งเพิ่งจะมีอายุสามสิบกว่าปีก็สร้างพลังแห่งราชาได้แล้ว”

“ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มี ‘กายจิตว่าง กายจิตวิญญาณฟ้า’ ในเวลาเดียวกัน เป็นร่างกายในระดับสูงสุดทั้งสองด้วย”

บรรดาราชาบางคนเอ่ยอุทานด้วยความตื่นตะลึง

โดยปกติยอดฝีมือจะก้าวถึงขั้นราชาในขอบเขตปราณเทวะต้องใช้เวลากว่าร้อยปี หรือหลายร้อยปีขึ้นไป แต่ทว่าความสามารถของหนานกงเซิ่งนับว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก

การฝึกฝนร่างกายในโลกนี้แบ่งระดับออกเป็น สามัญ จิตวิญญาณ ดิน และฟ้า

โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนจะไม่ผ่านระดับจิตวิญญาณ

ในยามก่อนที่ทดสอบ ณ จวนกว่างหลิง สภาวะร่างกายของจ้าวเฟิงและคนอื่นเป็นเพียงแค่กายครึ่งจิตวิญญาณ รวมไปถึงกายจิตวิญญาณปกติ

กายจิตวิญญาณดินหาได้ยากยิ่งในโลกแห่งนี้

แต่หนานกงเซิ่งผู้นี้กลับมีกายจิตวิญญาณฟ้าที่สูงที่สุด

ไม่เพียงเท่านี้ บนร่างของเขายังมีพื้นฐานสายเลือด ‘กายจิตว่าง’ ซึ่งมีลักษณะพิเศษอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

กายจิตว่างสอดคล้องกับอากาศและฟ้าดินเป็นที่สุด โดยปกติแล้วจะไม่มีทางส่งต่อกันได้ นี่เป็นพื้นฐานสายเลือดที่จะเกิดขึ้นแบบสุ่มๆ ตามลิขิตสวรรค์

พรสวรรค์ร่างกายเช่นนี้ส่งผลให้หนานกงเซิ่งเป็นผู้มีความสามารถอันดับต้นๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์อีกสองคนเท่านั้นที่พอจะเทียบเท่าได้

ภายในลานที่พัก

จ้าวเฟิงเปิดตาขึ้น เมื่ออยู่ๆ สัมผัสได้ถึงพลังของราชาคนใหม่ที่สาดกระจายไปทั่วยอดเขาจิตวิญญาณหลัก

“เขาก็คือหนานกงเซิ่ง?” ห้วงความคิดของจ้าวเฟิงแบ่งออกเป็นยี่สิบสามสิบกลุ่มแล้วลอยออกไป

หลายวันที่ผ่านมานี้ จ้าวเฟิงสูดกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลเข้าไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังฝึกตนจนมั่นคงหนักแน่น

แต่ทว่า

เขาเพิ่งจะทะลวงผ่านได้ไม่นานนัก กลับต้องมาเห็นท่าทางองอาจสง่างามของหนานกงเซิ่งผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยตาตัวเอง

“ขอบเขตพลังของราชา…”

จ้าวเฟิงลอบทอดถอนใจ พลังที่คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งนั้นช่างยิ่งใหญ่ ส่งผลให้ทุกสิ่งที่เผชิญหน้าเล็กจ้อยเหลือเพียงเศษธุลี

ถึงอย่างไรที่นี่เป็นดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บำเพ็ญตนซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล

สิบอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หนานกงเซิ่งอยู่เป็นอันดับแรก

แล้วยังมี ‘เซิ่งเมิ่ง’ ที่เป็นสองขั้วพลังคอยคานอำนาจกันอยู่

เซิ่งก็คือหนานกงเซิ่ง เป็นตัวแทนของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน มีสำนักสามดาวอย่างสำนักเสวียนเจินหนุนหลังอยู่

ส่วนเมิ่งหรือเมิ่งซี เป็นตัวแทนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย มีสำนักศักดิ์สิทธิ์สามดาวดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง

เมื่อได้เห็นพลังของหนานกงเซิ่ง จ้าวเฟิงคิดกระหวัดไปถึงอีกคนนั่นก็คือเมิ่งซี ว่ากันว่ามีพลังสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แน่นอนว่าคงต่างจากนี้ไม่มาก

ดูไปแล้ว วันที่อุทยานครึ่งเซียนจะเปิดก็ใกล้เข้ามาทุกที ลูกศิษย์สืบทอดที่ปิดด่านฝึกตนต่างก็ทยอยออกมา

อัจฉริยะทั้งสิบคนของดินแดนศักดิ์สิทธิปรากฏตัวทีละคน แต่ละคนพัฒนาขึ้นไม่น้อย

ณ ตอนนี้ จ้าวเฟิงจึงหยุดพักการฝึกตนเอาไว้ แล้วเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ที่มีอยู่ในมือ

คำว่า ‘อุทยานครึ่งเซียน’ ฟังแล้วคล้ายเป็นชื่อของสวนดอกไม้

แต่ความจริงแล้วอุทยานนี้เป็นเขตมิติลึกลับ ภายในจะมีฟ้าและดินที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อยู่ในระดับขั้นที่สูงส่งกว่าที่ซากปรักหักพังสือเฉิงมาก

อันที่จริงจ้าวเฟิงก็เคยเห็นซากปรักหักพังสือเฉิงที่ทรุดโทรมลง ในตอนนี้เทียบเท่าไม่ได้แม้เพียงหนึ่งในสิบของยามรุ่งโรจน์

“ศิษย์น้องจ้าว”

ภายนอกลานที่พักมีเสียงเรียกลอยมา

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยิน จึงปล่อยห้วงความคิดและประสาทสัมผัสออกไปสำรวจ พบว่าเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของสำนัก

ลูกศิษย์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์คนนี้เป็นผู้เยาว์ในชุดคลุมยาวสีเขียว มองดูแล้วอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง

“ศิษย์พี่ต่ง”

จ้าวเฟิงยิ้มเล็กน้อยขณะเดินออกมาที่ลานด้านนอก

พิธีรับศิษย์คราวก่อนทำให้เขารู้จักลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักไม่น้อย ศิษย์พี่ต่งผู้นี้มีนามว่าต่งเหวินเจี้ยน เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเช่นกัน

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ

ต่งเหวินเจี้ยนผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งที่ตวนมู่ชิงรับไว้ อีกทั้งบิดาของเขายังเป็นครึ่งก้าวสู่ราชันระดับกลางภายในสำนักด้วย

ในตอนนั้น จักรพรรดิตวนมู่รับ ‘ต่งเหวินเจี้ยน’ เป็นศิษย์ด้วยเพราะซึ้งในตัวของบิดาเขาที่ทุ่มเททั้งกายและใจทำงานอยู่ข้างกายตน

ในบรรดาอัจฉริยะของสำนัก ความสามารถของต่งเหวินเจี้ยนจัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ

ในปกติตวนมู่ชิงใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการปิดด่านฝึกตน ปิดด่านครั้งหนึ่งใช้เวลายาวนานหลายปีหรือกระทั่งหลายสิบปี ฉะนั้นตวนมู่ชิงจึงแทบไม่ได้ชี้แนะอะไรมากมายให้กับต่งเหวินเจี้ยนเลย

“ศิษย์น้องจ้าว เหลืออีกเพียงสามวันอุทยานครึ่งเซียนก็จะเปิดแล้ว อาจารย์ก็อยู่ข้างนอก เจ้าเตรียมตัวถึงไหนแล้ว?” ต่งเหวินเจี้ยนพูดคุยอย่างเป็นมิตร

ทั้งสองล้วนแต่อยู่ภายใต้จักรพรรดิคนเดียวกัน คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์สืบทอดของสำนัก อีกคนเป็นลูกศิษย์ที่รับมา ไม่ว่าตำแหน่งต่างกันสักเพียงใดก็เป็นคนร่วมสำนักเดียวกัน

จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้สนิทกับคนอื่นๆ ในสำนักศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงต่งเหวินเจี้ยนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันได้

“ฝึกตนครั้งนี้ถือว่าสำเร็จไปบ้างแล้ว บางทีอาจจะสู้กับอัจฉริยะทั้งสิบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้า” จ้าวเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ยังถ่อมตนเช่นเคย

แววตาที่ต่งเหวินเจี้ยนมองไปยังจ้าวเฟิงดูสับสน มันแฝงไปด้วยอารมณ์อิจฉาและเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน ด้วยเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิด้วยกันทั้งคู่ แต่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน

ต่งเหวินเจี้ยนมีชื่อเข้าร่วมในสถานโบราณจากการแข่งขัน ผ่านมาด้วยความสามารถของตัวเอง

ปีนี้เขาอายุสามสิบห้าปี ฝึกฝนจนบรรลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด นอกจากเหล่าอัจฉริยะทั้งสิบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งไม่น้อย

แต่ทว่า

ด้วยพลังพรสรรค์ของจ้าวเฟิง ต่งเหวินเจี้ยนจะไม่ศรัทธาก็ไม่ได้ จ้าวเฟิงเพิ่งจะมีอายุยี่สิบกว่าปี อย่างมากก็ไม่เกินยี่สิบสามปี แต่กลับฝึกตนจนเก่งกาจเป็นที่น่าตื่นตะลึง

ในครั้งก่อนที่จ้าวเฟิงเดิมพันจะใช้สิบกระบวนท่าเอาชนะจั่วหง ตัวของต่งเหวินเจี้ยนก็ประจักษ์ดวงตาตนเอง

ต่งเหวินเจี้ยนคิดว่าต่อหน้าจ้าวเฟิงก็น่าจะต้านไว้ได้ไม่เกินสามสิบกระบวนท่า

เจอกันครั้งนี้ เขาจึงอยากเห็นพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงที่ทะลวงผ่านไปแตะขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย ภายในร่างกายมีกลิ่นอายของพลังที่แฝงอยู่ซึ่งนำแรงกดดันมาให้เขาไม่น้อย

ในวันนี้

จ้าวเฟิงและต่งเหวินเจี้ยนทักทายพูดคุยกับหลายๆ คนภายในสำนัก ด้วยมีสองจุดมุ่งหมาย

อย่างแรกคือแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุทยานครึ่งเซียน

อุทยานครึ่งเซียนอยู่มาหลายปีแล้ว จักรพรรดิและราชาแต่ละคนจะมีข้อมูลที่แตกต่างกัน

ข้อมูลที่ราชาจักรพรรดิบางส่วนมีอาจจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์ยิ่งกว่า

เหมือนดั่งจักรพรรดิตวนมู่ที่เก็บตัวฝึกตนเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี โดยปกติแล้วก็อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง ดังนั้นข้อมูลที่เขามีในมืออาจจะไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ย่อมไม่ใช่ข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วน

แล้วยังมีอีกหนึ่งเป้าหมายคือ

เมื่อมาจากสำนักเดียวกัน ถึงเวลาที่ต้องเข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนก็จะรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือกันได้

เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายพวกนี้ ต่งเหวินเจี้ยนจึงไปทำความรู้จักพูดคุยกับศิษย์คนอื่นๆ

เพราะอย่างไรลูกศิษย์ที่เข้าไปภายในอุทยานครึ่งเซียนก็มีสำนักศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง รวมไปถึงสำนักสองดาวทั้งสามสิบสามแห่ง

แต่ไหนแต่ไรมา มีบางคราที่เหล่าอัจฉริยะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายกันในอุทยานครึ่งเซียนจนบาดเจ็บล้มตายไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

สามวันผ่านไปราวกะพริบตา

 

วันนี้

อุทยานครึ่งเซียนที่จะเปิดขึ้นครั้งหนึ่งในรอบห้าร้อยปี ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว

โครม!

บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่สาดซัดพลังมหาศาลที่สะเทือนปั่นป่วนทั้งฟ้าและดิน เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นลำแสงพลังสว่างเจิดจ้าเป็นโครงร่างป่าไม้ปรากฏขึ้นยังมุมหนึ่งของยอดเขา ประหนึ่งเป็นภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version