Skip to content

King of Gods 735

King Of Gods

บทที่ 735 เงาปรากฏ

คนในรูปวาดฝาผนังกระโดดโลดเต้นออกมา แล้วจึงปรากฏศาลาหลายหลังและระเบียงทางเดินขึ้นในครรลองสายตา

สตรีในชุดโบราณหลายคนกำลังร่ายระบำโดยมีคนเล่นพิณให้จังหวะ คนรับรองแขกเดินไปมา กลายเป็นภาพการร้องรำทำเพลงเพื่อเฉลิมฉลอง

สองฝั่งของการแสดงระบำเป็นเหล่าขุนนาง ส่วนคนที่นั่งด้านบนสุดเป็นกษัตริย์ผู้หนึ่ง

ภาพที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไม่แตกต่างจากเรื่องจริงเลยแม้แต่น้อย ท่าทางยามพูดคุยดื่มกิน สีหน้าและคำพูดของคนพวกนั้นล้วนไม่มีจุดบกพร่องใดๆ

จ้าวเฟิงตกใจอยู่บ้าง เมื่อเขาก้าวเดินไปด้านหน้าก็สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้าน

สภาพแวดล้อมทั้งหมดที่ออกมาจากภาพวาดฝาผนังโบราณเหล่านั้นเหมือนว่ามีพลังจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองที่สตรีผู้นั้นขับขาน หรือว่าจะราชาและเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่ในที่แห่งนั้น ทั้งหมดมีพลังที่ส่งผลต่อความจริงได้ด้วย

แรงต่อต้านนี้ย่อมขวางจ้าวเฟิงไว้ไม่ได้

แต่ปัญหาก็คือนี่เป็นเพียงชั้นแรกเท่านั้น ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าในระดับชั้นที่สูงขึ้นไปกว่านี้จะมีพลังเช่นไร

“ก็แค่การร่ายระบำของมนุษย์โลกเท่านั้น”

หลีเสวี่ยอี้ยิ้มน้อยๆ ขณะเดินตรงมาเบื้องหน้า นับนิ้วเล็กน้อย แล้วภาพเบื้องหน้าก็หายไปทันที

บันไดที่คดเคี้ยวปรากฏขึ้นอีกครั้งและเชื่อมไปยังชั้นที่สอง

จ้าวเฟิงอดเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจไม่ได้ สำหรับคนที่ศึกษาศาสตร์ดนตรี พวกเขาสามารถคลี่คลายการร่ายระบำที่ส่งผลต่อความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้ที่ไม่ได้ศึกษาในด้านนี้ ไม่ลึกซึ้งในท่วงทำนองและดนตรี ฝืนพยายามทำลายตรงๆ ก็จะได้รับแรงต่อต้านอย่างรุนแรง

“เพราะเป็นการเปิดตำหนักที่ผิดสามัญนัก การผ่านด่านทุกชั้นจึงไม่มีรางวัลใดๆ และไม่สามารถได้รับมรดกและลึกซึ้งในวิชาใดด้วย” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยพึมพำ

ถ้าหากว่าตำหนักฟั่นหลุนกู่อินเปิดออกโดยปกติ ทุกครั้งที่อัจฉริยะผู้เข้ามาภายในผ่านขึ้นไปในแต่ละชั้นก็จะได้รับรางวัลด้วย

รางวัลเหล่านั้นบ้างเป็นเครื่องดนตรีล้ำค่า บ้างเป็นความเข้าใจลึกซึ้ง และบ้างก็เป็นเคล็ดวิชาลับแห่งศาสตร์ดนตรี

ในบางชั้นของตำหนักมีถึงขั้นมรดกเก่าแก่ของยอดฝีมือในศาสตร์ดนตรีด้วย

แต่ทว่านี่เป็นการเปิดตำหนักที่ไม่ปกติ จึงไม่มีรางวัลใดๆ เป็นเพียงแค่การมาเที่ยวชมเท่านั้น

“ถึงแม้จะไม่มีรางวัลใดและทำได้เพียงเยี่ยมชม แต่ว่าในทันทีที่มีคนสามารถผ่านด่านไป คนทั้งหมดก็จะขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งได้”

เจ้าตำหนักพิณเอ่ยพลางพยักหน้า

หัวใจสำคัญของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ก็คือหาปัญหาช่องโหว่ที่ปรากฏขึ้นในตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

เมื่อเข้าไปชั้นที่สอง

ภูเขาห่างไกลที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกควัน กลิ่นหอมของมวลบุปผา เสียงร้องของเหล่าสกุณา และเสียงของสรรพสิ่งในธรรมชาติต่างแว่วออกมาจากภาพวาดบนฝาผนัง

ในภูผาที่ห่างไกลมีเสียงคำรามของเสือดังก้อง เสียงดังที่สะท้อนออกมาทำให้อาภรณ์ของจ้าวเฟิงปลิวไสว ฝีเท้าชะงักไป แรงต้านทานรุนแรงกว่าชั้นหนึ่งมากนัก

นี่ขนาดว่าพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงอยู่ในขั้นราชันแล้วด้วยซ้ำ ถ้าเปลี่ยนเป็นอัจฉริยะที่อยู่ที่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เกรงว่าวิญญาณจะโดนเขย่าขวัญไปด้วยแล้ว

“เพียงเสียงคำรามของเสือก็ทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้าน…”

หลีเสวี่ยอี้ลอยตัวไปด้านหน้า แล้วภูผาลึกที่อยู่เบื้องหน้าก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ทันได้แสดงออกมาทั้งหมด

เพียงเข้าใจทฤษฎีประหลาดของศาสตร์ดนตรีที่ในนั้นก็จะทะลวงผ่านไปได้

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ถูกใช้เพื่อทดสอบผู้ที่มาเยือน

แต่จ้าวเฟิงมักจะรู้สึกว่าทิวทัศน์ในภาพวาดฝาผนังไม่ได้เป็นเพียงภาพมายาธรรมดาๆ เท่านั้น

สิบชั้นแรก หลีเสวี่ยอี้ทะลวงผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

ด้วยพรสวรรค์ศาสตร์ดนตรีชั้นสูงของนาง จึงทำให้ผ่านไปถึงชั้นที่สามสิบสองตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อน

ยามถึงชั้นที่สิบห้า ความเร็วของหลีเสวี่ยอี้เชื่องช้าลงเล็กน้อย

“การทะลวงผ่านด่านมีเพื่อทดสอบความเข้าใจในศาสตร์แห่งดนตรี รวมไปถึงพรสวรรค์และความเข้าใจเป็นหลัก พลังฝึกตนไม่ใช่จุดสำคัญแต่อย่างใด” จ้าวเฟิงสรุป

หากมิฉะนั้นแล้ว หลิวฉินซินเมื่อเจ็ดปีก่อนก็คงจะไม่อยู่ชั้นที่สามสิบสองขึ้นไป

ในระดับชั้นที่ยี่สิบ

สัตว์อสูรโบราณที่ดุร้ายขนาดมโหฬารโผล่ออกมาจากรูปวาดฝาผนังทีละตัวๆ กลิ่นอายของมันรุนแรงมากพอจะกระเทือนคนในขั้นนายเหนือแท้

ในเวลานี้เองที่หลีเสวี่ยอี้ต้องการลงมือ นางเผยอริมฝีปากแดงเล็กน้อย เสียงที่สงบและไพเราะราวเสียงเซียนในอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งศาสตร์ดนตรีที่ไร้รูปร่าง แล้วกระแทกจนสัตว์อสูรโบราณเหล่านั้นแตกละเอียดไป

ณ ชั้นที่ยี่สิบแปดของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

ชั้นนี้มีบุรุษชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาองอาจผู้หนึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาสูง บรรเลงพิณอย่างใจจดใจจ่อขณะฟังเสียงของน้ำตกไหลริน

บุรุษชุดขาวผู้นั้นจ้องมองมาที่ฝูงชนอย่างลึกล้ำแล้วอมยิ้มให้

“ราชันในขอบเขตปราณเทวะ!” จ้าวเฟิงเองตกใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าบุรุษคนนั้นจะเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้แล้วก็ตาม

“แขกผู้มาเยือนจากแดนไกล มาบรรเลงดนตรี ดื่มสุราชมทิวทัศน์ด้วยกันดีหรือไม่?”

เสียงหนุ่มของบุรุษชุดขาวทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกอบอุ่นสบายใจ

ตามวิธีการปกติแล้ว หลีเสวี่ยอี้ต้องไปร่วมบรรเลงเพลงและดื่มสุรากับชายหนุ่มผู้นั้นเพื่อให้เขาประทับใจ จึงจะผ่านด่านไปได้

“บุรุษชุดขาวผู้นั้นมีพลังฝึกตนสูงถึงขอบเขตปราณเทวะ โดยปกติแล้วอัจฉริยะจะไม่สามารถใช้ความลึกซึ้งที่มีต่อศาสตร์ดนตรีฝืนทะลวงผ่านไปได้” สายตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายวิบวับ

หลีเสวี่ยอี้ที่กำลังจะก้าวไปถูกจ้าวเฟิงรั้งเอาไว้

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณและคนอื่นๆ มีสีหน้างุนงง เห็นเพียงจ้าวเฟิงเดินก้าวไปด้านหน้าแล้วเหวี่ยงหมัดใส่บุรุษชุดขาว

โครม!

 

หมัดนี้รวมพลังของราชันที่แข็งแกร่งของจ้าวเฟิงไว้ และยิ่งไปกว่านั้นยังแฝงด้วยการทับซ้อนของเขตแดนทั้งสองอย่างเขตแดนเมืองมายาและเขตแดนวายุอัสนีด้วย

“เจ้า…” บุรุษชุดขาวตะโกนอย่างเจ็บปวดเมื่อจ้าวเฟิงปล่อยหมัดใส่จนกระอักเลือดออกมา

พรึ่บ!

แล้วภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้ารวมถึงบุรุษผู้นั้นจึงกลับเข้าไปในภาพวาดฝาผนังเช่นเดิม

“แบบนี้สิ ถึงค่อยประหยัดเวลาขึ้น” จ้าวเฟิงตบมือเป็นสัญญาณให้หลีเสวี่ยอี้เดินไปข้างหน้าต่อ

หลังจากมาถึงชั้นที่สามสิบแล้ว ระดับความยากในการผ่านด่านก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

เช่นในชั้นสามสิบสาม มีกรงขังขนาดใหญ่ ภายในนั้นผนึกมังกรดุร้ายในตำนานตัวหนึ่งเอาไว้

มังกรร้ายนั่นตัวสีดำมืดทั้งร่าง มีกลิ่นอายสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรที่แข็งแกร่งจนผู้คนในที่แห่งนั้นใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว

มีเพียงสายเลือดเผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์ของจ้าวเฟิงที่ไม่ได้รับผลกระทบใด

ปัง! โครม ตูม!

กรงที่ขังมังกรร้ายเอาไว้สั่นอย่างรุนแรง คาดว่าน่าจะยื้อต่อไปได้อีกไม่ถึงครึ่งช่วงลมหายใจ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นหนึ่งในชนรุ่นหลังชั้นต่ำของเผ่าพันธุ์มังกรแท้ในตำนาน”

ไม่รู้เด็กน้อยครึ่งเซียนปรากฏกายขึ้นเมื่อใด

เขาจ้องไปที่มังกรโหดร้ายสีดำมะเมื่อมตัวนั้นไม่วางตา

 

ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่มังกรแท้รุ่นหลังในระดับต่ำ แต่ว่าร่างมังกรที่แข็งแกร่งมีกำลังรบเทียบเท่าได้กับ ‘จักรพรรดิปราณเทวะ’

“ครั้งก่อนข้าพ่ายแพ้อยู่ที่ด่านชั้นนี้ ทว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนก็พบกับสัตว์อสูรโบราณตัวหนึ่งเช่นกัน”

หลีเสวี่ยอี้เอ่ย

ความยากของด่านนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว หากต้องการจะผ่านด่านทดสอบต้องใช้พละกำลังของศาสตร์ดนตรีสยบมังกรร้ายตัวนี้

ถึงกระนั้นจ้าวเฟิงก็มองออก ถึงแม้มังกรร้ายจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ในด้านสติปัญญาก็ถือว่ามีไม่มากนัก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม

หากคิดจะสยบมังกรโหดร้ายตัวนั้นและให้มันกลับเข้าไปในภาพวาดฝาผนัง ยังถือว่ายากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง

ระดับขั้นและความลึกซึ้งในศาสตร์ดนตรีของหลีเสวี่ยอี้ย่อมไม่อาจเทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อนได้

นางยืนอยู่หน้ากรงขัง รอบกายห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายอ่อนโยนอบอุ่นราวกับความอาทรที่มารดามีต่อทารก

ต่อจากนั้นจึงเห็นหลีเสวี่ยอี้ก้าวย่างอย่างอ่อนช้อยงดงาม แล้วเริ่มร่ายระบำ เสียงเพลงที่ดังขึ้นข้างหูปลอบประโลมจิตวิญญาณให้เป็นสุข

แววตาของมังกรร้ายถูกหลีเสวี่ยอี้ดึงดูดเอาไว้ สุดท้ายแล้วอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยวก็สงบลง

สองชั่วยามจากนั้น มังกรร้ายก็หลับสนิทลง ฉากที่ปรากฏเบื้องหน้าก็กลับเข้าไปอยู่ในภาพวาดฝาผนังดังเดิม

ในขณะที่เข้าใกล้ชั้นที่สี่สิบ ความยากก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าหรือสิบเท่าขึ้นไป

พรสวรรค์และความลึกซึ้งในศาสตร์ดนตรีของหลีเสวี่ยอี้ยากจะรับมือไหว

โชคยังดี คนเข้ามาภายในตำหนักหลังนี้ไม่ได้มีเพียงนางผู้เป็นยอดหญิงแห่งศาสตร์ดนตรี แต่ยังมีคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณด้วย

ถึงแม้ว่าการผ่านด่านจะไม่ได้รางวัลใด แต่ว่าพวกเขาก็ร่วมแรงร่วมใจรับมือกับปัญหายาก

ในชั้นที่สี่สิบ

ตรงไหล่เขามีผู้เฒ่าไว้เคราแพะถามคำถามประหลาดสามข้อ ไม่ได้เพียงเพื่อทดสอบศาสตร์ดนตรี แต่ว่ายังเกี่ยวโยงถึงปรัชญาชีวิตบางส่วนด้วย

เมื่อมาถึงด่านนี้ ขนาดคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณยังขบคิดคำตอบไม่ออกในเวลาอันสั้น

กลิ่นอายของผู้เฒ่าแม้แต่จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนก็ยังมองไม่ออก

จนถึงเวลานี้ ด่านทดสอบของตำหนักฟั่นหลุนกู่อินไม่เพียงแต่ทดสอบดนตรี หมากรุก โคลงกลอน และวาดภาพ แต่เพิ่มไปจนถึงระดับสูงอย่างหลักปรัชญาของมนุษย์ และโชคชะตาในฟ้าดิน

ยังดีที่การจะผ่านด่านทดสอบไม่ได้อาศัยความรู้ของคนเพียงผู้เดียว

กำลังหลักเป็นหลีเสวี่ยอี้และสามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณ เบื้องหลังยังมีความคิดของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยและเด็กน้อยครึ่งเซียน

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเข้าใจเรื่องโชคลางและการทำนาย จึงให้ความช่วยเหลือได้บางส่วน ส่วนเด็กน้อยครึ่งเซียนมีระดับขั้นพลังที่สูงส่ง ทั้งยังเคยผ่านด่านเคราะห์เซียนและใช้เลือดคืนชีวิต ความเข้าใจในชีวิตจึงย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

สติปัญญาของคนเหล่านี้มีอยู่อย่างไม่จำกัด

ด่านทดสอบนี้ใช้เวลาไปครึ่งวัน สุดท้ายถึงคลี่คลายลงได้

“เหอะ เหอะ…แมวความลับสวรรค์งั้นรึ?”

ผู้เฒ่าเคราแพะผู้นั้นลูบเคราพลางยิ้ม สายตามองไปที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อย

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมองผู้เฒ่าอย่างครุ่นคิดเช่นกัน ก่อนจะเผยอารมณ์สับสนที่หาดูได้ยากยิ่งออกมา

พรึ่บ!

ภาพเบื้องหน้าหายไป ผู้เฒ่าเคราแพะกลับไปอยู่ในภาพวาดดังเดิม

ตำหนักฟั่นหลุ่นกู่อินแห่งนี้มีทั้งหมดสี่สิบเก้าชั้น หลังจากชั้นที่สี่สิบแล้วก็เหลือเก้าชั้นสุดท้าย

เก้าชั้นต่อมา ระดับความยากของแต่ละด่านทดสอบมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นปรากฏรูปร่างของบุคคลในตำนานโบราณต่างๆ ส่วนหนึ่งออกมา ซึ่งไม่สามารถจะโจมตีโดยซึ่งๆ หน้าได้

“กลัวแต่ว่าถึงเป็นยอดฝีมือในระดับเทพก็ยังไม่อาจทะลวงผ่านได้ พลังของตำหนักฟั่นหลุนกู่อินแห่งนี้…” สีหน้าของเด็กน้อยครึ่งเซียนเคร่งขรึมลง

เคราะห์ดีที่ในครั้งนี้ไม่ได้เปิดตำหนักออกตามปกติ ต่อให้ไม่สามารถผ่านด่านทดสอบ ก็ยังถอยกลับไปด่านทดสอบอันก่อน แล้วต่อจากนั้นจึงเข้าไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ถ้าหากเป็นการเปิดออกโดยปกติธรรมดาที่มีรางวัลมรดก เพียงแค่ผ่านด่านไม่ได้ก็จะถูกส่งออกจากตำหนักไป

ชั้นที่สี่สิบสี่…ชั้นที่สี่สิบห้า…ชั้นที่สี่สิบหก

คนทั้งหมดต้องเค้นหัวสมอง ยากลำบากเกินจะเปรียบ กว่าจะผ่านด่านทดสอบแต่ละด่านไปได้

และในชั้นที่สี่สิบเจ็ด คนทั้งหมดติดอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งเดือน ล้มเหลวไปหลายครั้งจนต้องล่าถอยไปที่ชั้นที่สี่สิบหก แล้วกลับเข้าไปใหม่อีครั้ง

ทุกครั้งที่เข้ามาใหม่อีกครั้ง การทดสอบและภาพวาดฝาผนังก็จะเปลี่ยนไป

จ้าวเฟิงใจเย็นวาบ ต่อให้หลิวฉินซินจะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจและแตกฉานในการทำนาย แต่หากจะผ่านมาได้จนถึงขั้นนี้ เกรงว่าพลังฝึกตนและสภาพจิตใจของนางในตอนนั้นก็ยังไม่อาจแบกรับได้ไหว

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงเองก็มองข้ามปัจจัยอย่างนึงไป นั่นก็คือการผ่านด่านทดสอบแบบธรรมดาจะได้รับรางวัลและความเข้าใจส่วนหนึ่ง หรือกระทั่งเป็นมรดกด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดล้วนแปรผันได้

“ชั้นที่สี่สิบแปดแล้ว!” คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ต่อให้เป็นบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ว่ากันว่ายามที่ผ่านด่านทดสอบอย่างเป็นทางการก็หยุดอยู่ชั้นที่สี่สิบ

เพียงแต่กลุ่มคนเหล่านี้เป็นแค่พวกทะลวงผ่านด่านทดสอบและเยี่ยมชมเท่านั้น ไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่สามารถลองได้ใหม่อีกครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นการผ่านด่านทดสอบที่แท้จริง

อีกทั้งการเข้าร่วมของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยและเด็กน้อยครึ่งเซียนช่วยชดเชยสิ่งที่ขาดไปของสามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณและหลีเสวี่ยอี้ได้

ความยากในการทะลวงผ่านด่านชั้นที่สี่สิแปด เรียกได้ว่าเป็นขั้นที่ไม่อาจจะบุกผ่านไปได้

 

ภาพวาดภายในชั้นนี้มีแค่คนๆ หนึ่งหรือสองสามคน อาจจะร้องเล่นเต้นระบำ หรือกระทั่งวาดภาพ เดินหมากกัน

คนที่อยู่ในรูปเหมือนดั่งเทพเซียน ความลึกซึ้งในศาสตร์แห่งดนตรีมาจนถึงระดับขั้นที่แก้ไขชะตาชีวิตได้

หญิงสาวหนึ่งในนั้นบรรเลงเสียงเพลงทำให้คนตกลงไปสู่ห้วงฝันจนไม่อาจจะถอนตัวได้

โชคดีที่คนกลุ่มนี้ผ่านด่านทดสอบโดยการส่งแค่ตัวแทนออกไปคนหนึ่ง และให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที

ในชั้นนี้ยังมีเนื้อหาของ ‘ศิลปะการดวลหมากรุก’ ด้วย

ในภาพนั้นยังมีผู้เฒ่าสองคนกำลังวางหมากอยู่ราวไม่รับรู้ถึงสิ่งใดๆ ของโลกภายนอก

สำหรับศิลปะหมากรุก ผู้อาวุโสผู้หนึ่งของตำหนักพิณมีความมั่นใจ จึงเสนอตัววางหมาก

ผลสุดท้ายแล้ว ผู้อาวุโสของตำหนักพิณยืนวางหมากอยู่หน้าตารางหมากรุก ยืนอยู่เพียงชั่วครู่ร่างกายก็แข็งทื่อ

เพียงแค่เวลาไม่กี่ช่วงลมหายใจ ผู้อาวุโสตำหนักพิณผู้นั้นก็กลายเป็นรูปแกะสลักหิน ราวกับว่าผ่านหมื่นช่วงวสันต์ฤดูมาแล้ว

“พลัง…พลังของเวลา!” เด็กน้อยครึ่งเซียนตื่นตระหนก นี่เป็นเขตแดนเซียน

ในชั้นนี้ไม่ว่าใครคนใดในภาพวาดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับพลังดั้งเดิมที่สูงส่งของฟ้าดิน

ชั้นที่สี่สิบแปดยากเกินความสามารถของทุกคน

พวกเขาทำได้เพียงทดลองอย่างระมัดระวัง หากมีอะไรไม่ถูกต้องจะรีบล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ทดสอบซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้หลายสิบรอบ

ทดลองมาจนถึงรอบที่สี่สิบแปด จึงปรากฏรูปวาดหญิงสาวผิวขาวนวลเรียนราวหิมะ สวมชุดสีขาวยาวระพื้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกวีและทำนองโบราณ ประหนึ่งเซียนในรูปวาดก็ไม่ปาน

หญิงสาวผู้นั้นสุขุมนุ่มลึก สง่างามดุจเทพเซียน วงหน้างามจนใครๆ ต้องลุ่มหลง นางนั่งอยู่ด้านหน้าพิณโบราณด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“เงาร่างนี้ …” หลีเสวี่ยอี้รู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย

“ฉินซิน! เป็นไปได้อย่างไร …”

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายและจิตใจแข็งค้าง จ้องเซียนชุดขาวโบราณในภาพทิวทัศน์เขม็ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version