บทที่ 738 คำสั่งล่าสังหาร (1)
พลังของศาสตร์ดนตรีที่แฝงอยู่ภายในเหรียญทองแดงโบราณพิเศษเป็นอย่างยิ่ง มันไม่เพียงแต่เพิ่มระดับให้กับสำนึกรู้ แต่ว่ายังมีประโยชน์ต่อการชะล้างดวงวิญญาณให้ใสสะอาด และเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นด้วย
สามารถพูดได้ว่า มันมีประโยชน์เป็นสองเท่าของสุราเซียนมายาและผลึกน้ำตาเงือก แต่ว่าผลลัพธ์แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น
ภายในโลกแห่งดวงดาวแห่งนั้น วิถีการโคจรของดวงดาว ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ล้วนแฝงไปด้วยกฏเกณฑ์เสวียนอ้าวของสรรพสิ่งนับหมื่นในจักรวาล
เสียงพิณที่ดังขึ้นบริเวณริมหูเหมือนลอยข้ามผ่านกาลเวลา ดึงดูดจิตวิญญาณ ทำให้คนเข้าไปภายในขอบเขตของฟากฟ้า
ไม่กี่ช่วงลมหายใจจากนั้น
ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นฉับไวราวเทพเซียน สำนึกรู้ในดวงวิญญาณแจ่มแจ้งกระจ่างใส เกิดความรู้สึกราวกับกำจัด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ออกไป จึงทำให้ ‘พิสุทธิ์’ กว่าเดิมไปอีกขึ้นหนึ่ง
ต้องรู้ว่า ระดับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเดิมเทียบเท่ากับจักรพรรดิ ในตอนนี้เมื่อได้รับการขัดเกลาเพิ่มระดับ จึงเปลี่ยนไปกระจ่างใสและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
แน่นอนว่าการเพิ่มพูนขึ้นของประสาทสัมผัสสำนึกรู้ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงใจเต้น
ในเวลาสั้นๆ สำนึกรู้ในดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงก็อยู่ในระดับสมบูรณ์และกระจ่างใส ประสาทสัมผัสทั้งหมดล้วนแต่ละเอียดลึกซึ้งถึงขั้นสูงสุด พลังเสวียนอ้าวในฟ้าดินบางส่วนปรากฏขึ้นใกล้สายตา
“นี่คือสำนึกรู้สมบูรณ์ซึ่งจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะเท่านั้นจึงจะมีได้…” จ้าวเฟิงทอดถอนใจ
ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งคราวเหมือนสุราเซียนมายา
สุราเซียนมายาส่งผลช่วยเหลือคนในขั้นต่ำกว่าราชันลงไปได้อย่างมากมาย แต่หลังจากอยู่ในระดับราชันแล้ว สำนึกรู้ในดวงวิญญาณจะเปลี่ยนไปจนแข็งแกร่งกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่รู้กี่เท่าตัว
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ผลลัพธ์ของเหรียญทองแดงโบราณจะแข็งแกร่งเป็นสิบเท่าของสุราเซียนมายา ก็ยังไม่สามารถทำให้จ้าวเฟิงทะลวงผ่านขอบเขตใดๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
พรึ่บ!
จิตใต้สำนึกของจ้าวเฟิงกลับคืนมาสู่โลกแห่งความจริง การเพิ่มพูนของสำนึกรู้และประสาทสัมผัสถดถอยลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นดั่งเงาจันทร์ในสายน้ำ
แสงดาวระยิบระยับบนผิวเหรียญทองแดงในมือเขาอับแสงลงไปไม่น้อย
“นายท่าน?” เด็กน้อยครึ่งเซียนมีสีหน้าประหลาดใจ
ช่วงเวลาเมื่อครู่ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของกลิ่นอายสำนึกรู้บนร่าง
จ้าวเฟิงย่อมไม่พ้นไปจากสายตาของเขา
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเราบรรลุเป้าหมายแล้ว…”
จ้าวเฟิงแสดงความขอบคุณและซาบซึ้งใจต่อคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณ
ความเป็นตายของหลิวฉินซินแทบจะยืนยันได้แล้ว
บนใบหน้าของสามีภรรยาตำหนักพิณสวรรค์ยังมีวี่แววสงสัยอยู่ เรื่องความผิดปกติของตำหนักฟั่นหลุนกู่อินพวกเขายังไม่รู้แน่ชัดเลย
“น้องจ้าว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิวฉินซินผู้นั้นเข้ามาภายในตำหนักกู่อินได้อย่างไร?”
สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณมองจ้าวเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลก่อนที่ผืนพสุธาจะถือกำเนิดขึ้น ซ้ำยังเกี่ยวโยงกับกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของผืนพสุธา รวมไปถึงศาสตร์ดนตรี ศาสตร์โชคชะตา และสังสารวัฏเป็นต้น มันไม่ใช่สิ่งที่อิทธิพลใดๆ จะสามารถควบคุมได้อย่างสิ้นเชิง” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
ในหัวของเขามีภาพความทรงจำที่หลิวฉินซินถ่ายทอดให้ ยังมีความลึกซึ้งในศาสตร์ดนตรีซึ่งอยู่ภายในเหรียญทองแดงโบราณระยิบระยับด้วย
อันดับแรก ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินไม่ได้อยู่ในการควบคุมอย่างสิ้นเชิงจากตำหนักเซียนพิณสวรรค์ เกรงว่าต่อให้เป็นบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งคนใดๆ ก็คงไม่อาจทำได้เช่นกัน
อันดับสอง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเหตุและผลของชะตาชีวิต รวมไปถึงแรงผลักดันของพลังลึกลับบางอย่าง
ซึ่งพลังลี้ลับที่ผลักดันนั้นมาจาก ‘ปราชญ์ลิ่วอู’
“ที่แท้เรื่องความเป็นตายจริงๆ ของฉินซิน ปราชญ์ลิ่วอูก็เคยบอกข้าไว้ยามอยู่ที่ทวีปบุปผาคราม”
ความฉงนสนเท่ห์มากมายในใจของจ้าวเฟิงก็คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว
ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ยในตอนแรกว่า ‘โชคร้ายมากกว่าดี’ แต่ไม่ยินยอมเปิดเผยว่าที่สุดแล้วหลิวฉินซินเป็นหรือตาย
“ถ้าหากมิใช่เป็นเพราะฉินซิน ข้าก็คงไม่ออกไปยังนอกดินแดนรวดเร็วเช่นนั้น และย่อมต้องพลาดโอกาสอย่าง ‘อุทยานครึ่งเซียน’ เช่นนั้นแล้วชะตาชีวิตของข้าก็คงไม่เหมือนเดิม”
จ้าวเฟิงเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตา
ในตอนนั้นที่กราบไหว้เป็นอาจารย์และมอบตัวเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่โต คือจุดพลิกผันของชะตาชีวิต
ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จ้าวเฟิงก็คงจะไม่ได้สัมผัสถึงโลกของสำนักวิชารวดเร็วเพียงนี้ กระทั่งอาจเชื่องช้าไปหลายปีหรือหลายสิบปี
ยกตัวอย่างเช่น ในตอนนั้นที่จ้าวเฟิงเชื่อฟังคำแนะนำของจ้าวลัทธิหง ไปเข้าร่วมสำนักสองดาวผ่านสมาพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ในตอนนี้พลังฝึกตนสูงส่งยิ่งกว่า ก็ยังเป็นได้แค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด
เจ้าหอโครงกระดูกเองก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่าติดตามจ้าวเฟิงจึงอยู่ในระดับขั้นอย่างวันนี้ได้
จะต้องรู้ว่า พลังในวันนี้ของเจ้าหอโครงกระดูกเทียบเท่าได้กับจ้าวลัทธิมารจันทราชาดในยามก่อน เมื่อบวกกับร้อยศพต้องสาปแล้วยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าฝ่ายนั้นเสียอีก
ทุกคนลงไปจากชั้นที่สี่สิบเก้า
ในสายตาของคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณยังคงฉงนสงสัย
แต่ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินก็ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาจะควบคุมได้โดยสมบูรณ์จริงๆ
“ผู้อาวุโสจ้าว แม่นางผู้นั้นสามารถมาถึงระดับชั้นที่สี่สิบเก้าได้ น่าจะไม่ตายง่ายๆ เช่นนั้น”
หลีเสวี่ยอี้อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ขณะนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น
อันดับแรก ในกาลก่อนหากว่าหลิวฉินซินหยุดอยู่ที่ชั้นที่สี่สิบแปดหรือชั้นที่สี่สิบกว่าๆ นั่นก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
อันดับสอง ดูๆ แล้วจ้าวเฟิงไม่ได้มีท่าทางเศร้าโศกเสียใจเหมือนอย่างที่คิดไว้ ออกจะสงบด้วยซ้ำไป
“ฉินซินประสบความสำเร็จในการแก้ไขชะตากรรมและชีวิต นางตายไปด้วยความรู้สึกเพียงพอและเป็นสุข สิ่งที่นางทำทั้งหมดเหมือนจะปูทางเพื่อการ ‘เกิดใหม่’ ” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ
ถึงอย่างไร หลิวฉินซินก็ไม่ได้ตายจากด้วยเหตุอัปมงคล นี่เป็นสิ่งที่นางไขว่คว้าตามหา
การที่จ้าวเฟิงตามหานางจนพบก็ทำให้นางจากไปอย่างไร้ห่วงใดๆ นางถึงขั้นเตรียมของขวัญไว้เผื่อจ้าวเฟิงจะมาถึงด้วยชิ้นหนึ่ง
“สำหรับการเกิดใหม่ของฉินซินและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนหนึ่ง ยังต้องไปถามปราชญ์ลิ่วอูอีกที” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ
จนถึงวันนี้เวลาผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
จ้าวเฟิงเกิดสงสัยว่าหลิวฉินซินไป ‘เกิดใหม่’ ยังที่ใดได้หกเจ็ดปีแล้วหรือไม่
หลังออกมาจากตำหนักกู่อินแล้ว
จ้าวเฟิงร่วมมือกับคู่สามีภรรยาตำหนักพิณและคนอื่นๆ ปิดผนึกตำหนักฟั่นหลุนกู่อินอีกครั้งหนึ่ง
ในวันนั้น
จากการชักชวนของคู่สามีภรรยา จ้าวเฟิงจึงรั้งอยู่เป็นแขกที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ชั่วคราว
สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณสวรรค์ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า การกระทำที่มิได้เจตนานี้จะช่วยให้ตำหนักเซียนพิณสวรรค์รอดพ้นจากมหันตภัยครั้งใหญ่
จ้าวเฟิงกำลังอยากจะศึกษาเหรียญทองแดงโบราณประกายดาวนั่นให้ลึกซึ้ง ดังนั้นจึงตอบตกลง
ภายในหอที่วิจิตรสวยงามแห่งหนึ่ง
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ สงบสติอารมณ์ แล้วจึงเริ่มทำความเข้าใจเหรียญทองแดงประกายดาว
สตินึกคิดของเขาดำดิ่งเข้าไปภายในโลกแห่งดวงดาวที่เวิ้งว้างและลี้ลับนั้น เสียงพิณดังวนเวียนไปมาข้างหูของเขา ราวมายาและภาพฝัน เหมือนทะลวงผ่านวังวนของกาลเวลา
จ้าวเฟิงพลันเข้าไปภายในขอบเขตฟากฟ้าที่แยกตัวเป็นเอกเทศ สำนึกรู้ดวงวิญญาณก็เพิ่มขึ้นราวติดปีกบิน
ในครั้งนี้
จ้าวเฟิงทุ่มเทใจเพื่อลึกซึ้งและเข้าใจภายใต้สภาพแวดล้อมที่ ‘สุขสงบ’ และใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า
จ้าวเฟิงเบิกเนตรเทพเจ้าเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ของความเข้าใจ และพยายามประทับความเข้าใจในสำนึกรู้นั้นเข้าไปในหัวสมองด้วย
จ้าวเฟิงมิได้เอาแต่พึ่งพาเหรียญทองแดงโบราณประกายดาว
ในทุกครั้งเขาจะใช้เวลาทำความเข้าใจเพียงสิบช่วงลมหายใจเท่านั้น แล้วจะใช้เวลาหลายชั่วยามทำความเข้าใจในพลังแห่งฟ้าดิน และทำให้สำนึกรู้ที่แท้จริงมั่นคง
ถึงอย่างไรพลังศาสตร์ดนตรีของเหรียญทองแดงประกายดาวก็มีขีดจำกัด
จ้าวเฟิงจะต้องทำให้มันใหญ่ที่สุดและดูดซึมผลลัพธ์นี้
อนึ่ง เหรียญทองแดงนี้เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่หลิวฉินซินหลงเหลือเอาไว้ในชีวิตนี้ จ้าวเฟิงจึงไม่ยินยอมสิ้นเปลืองพลังดังกล่าว อยากจะเก็บรักษาพลังนี้เอาไว้
ในขณะเวลาที่ล่วงเลยไป
พลังเสวียนอ้าวในฟ้าดินซึ่งวนเวียนอยู่ในอากาศเหนือหอคอยที่จ้าวเฟิงอยู่ถดถอยไปอย่างรวดเร็ว สำนึกรู้ในนั้นเหนือกว่าระดับขั้นราชันไปเล็กน้อย
มิติดวงตาซ้าย
พื้นที่ของทะเลสาบวิญญาณสีม่วงเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก แต่กลับค่อยๆ ให้ความรู้สึกใสสกาวและเปล่งประกายขึ้น
นี่ก็คือสำนึกรู้ในดวงวิญญาณที่จะเกิดขึ้นเมื่อแตะถึงขั้นจักรพรรดิปราณเทวะช่วงสมบูรณ์เท่านั้น
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่า เจตจำนงตั้งมั่นของตนเองเป็นประหนึ่งต้นกล้าเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโต พลังของเจตจำนงนี้ทะลวงผ่านฟ้าดิน อานุภาพยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที
ทว่าประกายดาวระยิบระยับบนเหรียญทองแดงโบราณก็เริ่มอับแสงลงไปทีละน้อยเช่นกัน
“ขาดเพียงแต่ระดับพลังของจักรพรรดิเท่านั้น…”
ในใจของจ้าวเฟิงเกิดความรู้สึกรอคอยและยินดีอยู่รำไร
ดวงวิญญาณของเขาได้รับการขัดเกลาจากปัจจัยต่างๆ เช่น พลังอัสนีเทวะหรือห้วงฝันบรรพกาล จึงเทียบเท่าได้กับจักรพรรดิ และมีเงื่อนไขสำหรับการกำเนิดระดับพลังจักรพรรดิไว้พร้อมสรรพแล้ว
ขาดเพียงแต่สำนึกรู้ที่ต้องเพิ่มอีกครึ่งขั้น ทั้งหมดก็จะสมบูรณ์ทันที
เพียงชั่วพริบตา เวลาวันสองวันก็ผ่านไป
บนหอคอยที่จ้าวเฟิงอยู่เกิดการบิดเบี้ยวทับซ้อนของพลังแห่งฟ้าดิน ในบางครั้งยังปรากฏเมฆวายุอัสนีเรืองรองขึ้น ภายนอกยังผุดชั้นแสงใสสกาวออกมาด้วย
ภาพนั้นประหนึ่งมีเมฆมงคลปกคลุมไว้ ช่างแปลกเหนือธรรมดาอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะเก็บงำพลังเอาไว้อย่างไร ก็ไม่อาจปิดกั้น ‘การรวมตัวกันของมนุษย์กับฟ้าดิน’ ประเภทนี้ได้
การเพิ่มระดับของสำนึกรู้เขา คือการลึกซึ้งในการสอดประสานกับฟ้าดินไม่หยุด และเข้าใจความลี้ลับของฟ้าดินในระดับที่สูงส่งยิ่งขึ้น
“เกือบแล้ว…”
เจตจำนงตั้งมั่นของจ้าวเฟิงเป็นประหนึ่งไข่มุกที่ถูกขัดเกลาไม่หยุด ค่อยๆ ใสสกาววาววับ กลมมนและเกลี้ยงเกลา ทั้งยังเปล่งแสงแวววาวที่หาดูได้ยากยิ่งออกมา
ในเวลาดังกล่าว เขาเกิดความรู้สึกคิดไปเองว่าพลังเสวียนอ้าวในฟ้าดินฝั่งหนึ่งยึดเอาเสวียนอ้าววายุ อัสนี และอัคคีเป็นหลัก แล้วหมุนวนโดยมีพลังของตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ประหนึ่งว่ากำลังกราบไหว้จักรพรรดิ
ถ้าหากว่ายินยอม พลังของจ้าวเฟิงในตอนนี้จะสามารถจำกัดและกักขังพื้นที่ของเขตแดนมิติ และมิได้ส่งผลต่อไอสวรรค์ในฟ้าดินแค่ธรรมดาเสียด้วย
จักรพรรดิปราณเทวะทั่วไปจะเข้าใจในฟ้าดินและความว่างเปล่าได้ถึงระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง
ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาสามารถทำให้เขตแดนมิติกลายเป็นสสารและรูปธรรม จนก่อตัวขึ้นเป็นโลกมิติส่วนตัวขั้นต้น
แต่ทว่าโลกมิติส่วนตัวนี้ถูกสร้างอยู่บนมิติของปราณที่แท้จริงและพื้นฐานของแหล่งกำเนิดพลังที่ยิ่งใหญ่
ในชั่วเวลาหนึ่งนั้น
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเต้นระเร่าหลายครั้งอย่างรุนแรงในฉับพลัน เหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือน
ทันใดนั้นเอง!
พลังมรณะที่สะเทือนทั่วฟ้าดินตรงดิ่งผ่านทะเลความว่างเปล่าเข้ามาภายใน ‘ดินแดนพิณสวรรค์’ อันเป็นที่ตั้งของตำหนักเซียนพิณสวรรค์
ครึ่งชั่วยามต่อมา
พลังแห่งความตายที่ทรงอานุภาพกลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และกำลังบินตรงมาที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์
“เป็นพลังของจักรพรรดิ ซ้ำยังเป็นพลังมรณะที่พบเจอได้ยากอีกด้วย!”
สามีภรรยาตำหนักเซียนพิณสวรรค์ใจเต้นแรง
“ทั้งสำนักเตรียมตัว!”
คนทั้งตำหนักเซียนพิณสวรรค์รีบเตรียมการอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งเปิดค่ายกลปกป้องภูเขา
“มาแล้วหรือ?” เด็กน้อยครึ่งเซียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของหอคอยมองไปยังทิศทางด้านหน้า
พลังของจักรพรรดิกลุ่มนั้นทะลวงผ่านฟ้าดิน หากจะพูดเรื่องระดับความแข็งแกร่งของพลัง ก็อาจไม่ด้อยไปกว่าขอบเขตเทวาเร้นลับเลยทีเดียว เพราะที่จริงขอบเขตเทวาเร้นลับจะเป็นการเพิ่มจำนวนขึ้นของปราณที่แท้จริง รวมไปถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันของดวงวิญญาณและสรรพสิ่งรอบตัว
ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กน้อยครึ่งเซียนเองก็ตาม ในระดับชั้นจิตวิญญาณก็ยังสัมผัสได้ถึงความกดดันไม่สงบสุข
ยิ่งพลังมรณะที่ยิ่งใหญ่นั้นเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในรัศมีพันลี้ล้วนถูกปกคลุมด้วยเงาของพลังมรณะ ร่างกายและจิตใจค้างแข็ง รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจากสัญชาตญาน
จะตัวเล็กอย่างมดปลวก หรือว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ราชันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ล้วนแต่กระวนกระวายใจเพราะความกลัวต่อความตาย
“จักรพรรดิแห่งความตาย! เจ้ามาบุกที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ของข้าทำไมกัน”
คู่สามีภรรยาตำหนักเซียนพิณสวรรค์ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ พลังของราชันทั้งสองกลุ่มแผ่กระจายปกคลุมปากประตูสำนัก
ราชันทั้งสองคนยืนเคียงข้างกัน ผู้หนึ่งถือพิณ อีกคนถือกระบี่ เขตแดนมิติของทั้งคู่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
เดิมทีสามีภรรยาของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ก็เป็นคู่ที่คำนึงถึงหลายๆ ด้าน ฝึกและส่งเสริมซึ่งกันและกันมาเป็นเวลานาน จึงกลายมาเป็นยอดฝีมือที่ร่วมมือโจมตีคู่ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดินแดน
คนทั้งสองร่วมมือโจมตี พิณและกระบี่เคียงข้าง ทั้งสองเคยมีผลงานสู้รบโจมตีราชันในระดับสุดยอดซึ่งๆ หน้า
แต่ว่าในเวลานี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังของความตายที่เหมือนจะกลืนกินทุกอย่างได้ คนทั้งสองหน้าซีดเผือด ราวกับเป็นเพียงเทียนเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางลมพายุรุนแรง
ในครรลองสายตา
ฟ้าดินเหมือนตกเข้าสู่ความมืดมิด ร่างเงาสูงใหญ่ที่ลึกล้ำเก่าแก่ บนศีรษะสวมศิราภรณ์สีทอง เป็นประหนึ่งเงาแห่งความตายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้
“จักรพรรดิแห่งความตาย!”
ทั่วทั้ง ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ ตกอยู่ในความเงียบสงัด
คู่สามีภรรยาแห่งตำหนักเซียนพิณสวรค์รู้จักจักรพรรดิแห่งความตายเก่าแก่ผู้นี้ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ควบคุมตำหนักเซียนพิณสวรรค์รุ่นก่อนเคยร่วมล้อมไล่ล่าสังหารจักรพรรดิแห่งความตาย ถึงแม้พอจะช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในวันนี้จักรพรรดิแห่งความตายมาเยือนถึงถิ่น ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ก็ยากที่จะรอดไปได้