Skip to content

King of Gods 760

King Of Gods

บทที่ 760 เจรจาแลกเปลี่ยน

ภายใต้แสงสว่างอย่างแรงกล้าของราชันทั้งสาม ทำให้ภายในตำหนักตกลงสู่ความเงียบสงัดและกดดันเป็นอย่างยิ่ง

คนสำคัญในระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดของทวีปบุปผาคราม พลังฝึกตนของทุกคนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสิ้น มีจำนวนไม่น้อยเป็นคนจากสิบยอดสำนัก

ทว่าในเวลานี้คนทั้งหลายต่างไม่กล้าส่งเสียงออกมา

ทวีปบุปผาครามเล็กๆ กลับมีราชันปราณเทวะถึงสามคนมาเยือนในคราเดียว อีกทั้งเบื้องหลังยังเป็นสำนักสองดาวที่ยิ่งใหญ่

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะจ้าวเฟิงจับตัวยอดอัจฉริยะผู้หนึ่งจากตำหนักมารจันทราเอาไว้ ซึ่งฝ่ายหลังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักดังกล่าว

ราชันทั้งสามนั่งอยู่บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติในโถงตำหนัก มองไม่เห็นเค้าสีหน้าอารมณ์ใดๆ ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

พวกเขาทำเพียงแค่รอคอยเงียบๆ ไม่ได้เจตนาปลดปล่อยพลังใดๆ ออกมา แต่กลับทำให้บรรยากาศภายในนั้นตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เวลาจิบชาครึ่งถ้วยผ่านไป

บนฟากฟ้าที่ไกลออกไปมีเสียงแหวกอากาศลอยมา

หลายช่วงลมหายใจจากนั้นจึงปรากฏหนึ่งหญิงหนึ่งชายร่อนลงมายังด้านหน้าของตำหนัก

แบ่งเป็นบุรุษหนุ่มผมม่วงที่เห็นได้รางๆ ว่าอยู่ในภาวะเจ็บป่วยกับหญิงสาววงหน้างดงาม

“จ้าวเฟิง!” ระดับขั้นสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยเสียงต่ำพร้อมเพรียงกัน

หญิงหนึ่งชายหนึ่งเดินเรื่อยๆ เข้าไปภายในตำหนัก จ้าวเฟิงมีสีหน้าสบายๆ ราวกำลังเดินเล่นในสวน จงหวานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายกลับดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

แต่ทว่าหลังจากที่จงหวานเอ๋อร์พบกับราชันทั้งสามแล้ว นางก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่กล้าจะทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่ดี

จงหวานเอ๋อร์รู้ดีว่าจ้าวเฟิงสัมผัสกลิ่นอายของราชันทั้งสามได้ตั้งนานแล้ว แต่ว่ายังสุขุมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ผ่านมา

ถ้าหากบอกว่าจ้าวเฟิงไม่มีไม้ตายอะไร นางไม่มีทางเชื่อเป็นแน่

“จ้าวเฟิง ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน…”

เสียงสตรีอ่อนหวานระรื่นหูดังมาจากราชันที่อยู่ตรงกลาง ผู้ซึ่งเป็นหญิงในชุดคลุมยาวสีเงินยวง ท่าทางสะอาดสูงส่ง ทุกอิริยาบถชวนให้รู้สึกคล้ายเป็นนางเซียนน่าเคารพ

“เฉิงเยว่เซียนกู”

จ้าวเฟิงมองสตรีในชุดสีเงินยวง เอ่ยเสียงเรียบอย่างไร้ซึ่งความประหลาดใจ

สตรีในครรลองสายตาทำให้จ้าวเฟิงนึกถึงเย่หยานหยูที่พบเจอยามอยู่ภายในมิติซากปรักหักพังสือเฉิง

เย่หยานหยูเป็นลูกศิษย์ของเฉิงเยว่เซียนกู

ในตอนนั้นขณะเย่หยานหยูใช้ ‘โล่พลังเซียน’ จ้าวเฟิงเคยเห็นโครงร่างรางๆ ของเฉิงเยว่เซียนกูมาแล้ว

ภายในตำหนัก

การเริ่มต้นสนทนาของจ้าวเฟิงและเฉิงเยว่เซียนกูทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ขึ้นในสถานที่ดังกล่าว

คนทั้งสองมองสบตากันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

แววตาของจ้าวเฟิงคมกริบ ละม้ายคล้ายมีพลังที่สามารถทะลวงผ่านดวงวิญญาณ นัยน์ตาเฉิงเยว่เซียนกูงดงามอ่อนโยน ไร้ซึ่งความโกรธแค้นใดๆ

สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์คือ หลังจากที่ราชันทั้งสามพบจ้าวเฟิงแล้วกลับไม่ได้รุมซักถามหรือลงมือสำเร็จโทษในทันใด

การเจอหน้ากันของทั้งสองฝ่าย ‘ราบรื่น’ กว่าที่คิดมาก เหมือนกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาหลายปีอย่างไรอย่างนั้น

ถึงขั้นที่ว่าจงหวานเอ๋อร์ยังยืนอยู่เบื้องหลังของจ้าวเฟิง

บรรยากาศเช่นนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

เหล่าคนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์มองสบตากันไปมา

ดูออกได้ไม่ยากว่าราชันทั้งสามยังระแวดระวังจ้าวเฟิง

หรือข่าวลือที่ว่าจ้าวเฟิงบรรลุเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะแล้วจะเป็นเรื่องจริง

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราชันปราณเทวะผู้อาวุโสทั้งสามที่มีสำนักสองดาวหนุนหลังอยู่ ฝ่ายที่อ่อนกำลังก็เป็นจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง!”

ราชันลัทธิมารที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าเจ้าจับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักข้าเอาไว้ แล้วยังเหิมเกริมประกาศว่าจะทำลายตำหนักมารจันทราของข้า”

ทันใดนั้นเอง

บรรยากาศในโถงตำหนักที่เพิ่งผ่อนคลายลงก็กดดันขึ้น

ราชันลัทธิมารคนดังกล่าวสวมใส่ชุดเกราะสีดำเก่าแก่ ระหว่างคิ้วมีตราประทับรูปจันทร์เสี้ยวสีแดงหม่น

พลังสายมารที่มีอานุภาพมหาศาลปกคลุมทั้งตำหนักหลังใหญ่

คนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ทุกคนใจเต้นระรัว

“ไม่ผิด ข้าพูดคำนี้เอง! ครั้งนี้หวังว่าทางสำนักของท่านจะมีคำอธิบายให้กับการบุกรุกทวีปบุปผาคราม”

จ้าวเฟิงเอามือไพล่หลัง ก้าวเท้าเดินช้าๆ

“ผู้เยาว์! อย่าคิดว่าเลื่อนขั้นเป็นราชันแล้วข้าตำหนักมารจันทราจะเกรงกลัวเจ้า” ราชันลัทธิมารเอ่ยเสียงต่ำ

“จุ๊ๆ ช่างพูดจายโสโอหังนัก…” ราชันโครงกระดูกทองของตำหนักผาดำยิ้มเอ่ยอย่างเหน็บแนม

มีเพียงเฉิงเยว่เซียนกูที่อยู่ตรงกลางยกมือขึ้นน้อยๆ ทั้งใบหน้าเรียบเฉย เป็นการปรามราชันทั้งสองคนที่โกรธเกรี้ยวจนเกือบจะลงมือโจมตี

แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบ ใบหน้าของจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง ความเย็นยะเยือกเผยขึ้นรางๆ ในแววตา

“จ้าวเฟิง” เฉิงเยว่เซียนกูเปิดปากเอ่ย “พวกข้ารู้มาว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิตวนมู่ แต่จากที่ข้ารู้มา ตวนมู่ชิงไปจากชางไห่ตั้งนานแล้ว”

ทันทีที่เอ่ยจบ สถานที่แห่งนั้นก็เกิดระลอกความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง

คนระดับสูงของสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิ

“หรือว่าเจ้าที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นราชันคนใหม่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับสำนักสองดาวทั้งสามแห่ง ต่อให้เจ้าไม่กลัว แต่ทวีปบุปผาครามไม่ได้ทำอะไรผิด”

ใบหน้างามสง่าของเฉิงเยว่เซียนกูมีรอยยิ้มน้อยๆ

แต่ว่าพลังในคำที่นางเอ่ยออกมาทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกหวาดกลัวน้อยๆ ทันทีที่ได้ยิน

ในกลุ่มราชันทั้งสาม เฉิงเยว่เซียนกูผู้นี้รับมือได้ยากที่สุด

พลังฝึกตนของนางอยู่ในขั้นราชันระดับสุดยอด อีกทั้งสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่เป็นสำนักสองดาวย่อมมีราชันมากกว่าหนึ่งคน

“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ? ดูไปแล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์สั่งสอนพวกเจ้าคงยังไม่พอสินะ” จ้าวเฟิงมีสีหน้าเย็นชา

สามราชันหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะแข็งข้อเช่นนี้

แต่ว่าจักรพรรดิตวนมู่เคยให้บทเรียนกับพวกเขามาแล้วจริงๆ

“จ้าวเฟิง! เจ้าอย่าดันทุรังต่อไปเลย จงส่งตัวจงหวานเอ๋อร์มา แล้วข้าจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ในที่แห่งนี้แม้แต่ปลายขน”

ราชันลัทธิมารเอ่ยเสียงต่ำ

ราชันทั้งสามจ้องเขม็งที่จ้าวเฟิง

ภายในตำหนัก เหล่าคนชั้นสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิสีหน้าฉายแววยินดีและประหลาดใจ

ที่จริงแล้วราชันทั้งสามคนเพียงแค่ต้องการหารือกับจ้าวเฟิงเท่านั้น

จงหวานเอ๋อร์คนเดียวแลกกับความปลอดภัยของพวกเขาทั้งหมดย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

“พวกเจ้า…คิดจะขู่ข้างั้นรึ?”

จ้าวเฟิงสีหน้าเคร่งขรึมลง เรือนผมสีม่วงของเขาโบกสะบัดไปมาโดยไร้ซึ่งสายลม

ไอเย็นยะเยือกที่ไร้รูปร่างกระจายตัวไปทั่วตำหนักใหญ่

จนกระทั่งราชันผู้แข็งแกร่งทั้งสามยังรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างประหลาด

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน สีหน้ากลับเคร่งเครียดลงเล็กน้อย

ประการแรก พลานุภาพของจักรพรรดิตวนมู่ยังตราตรึงชัดในความทรงจำของพวกเขา

ประการที่สอง จ้าวเฟิงในเวลานี้ แม้แต่ราชันทั้งสามยังไม่มองไม่ปรุโปร่งด้วยซ้ำ

พวกเขาล้วนแต่เคยเห็น สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงในยามที่อยู่ในระดับนายเหนือแท้ก็มีผลงานที่สามารถสังหารคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้

ถึงขนาดคำสั่งล่าสังหารยังเอาชีวิตเขาไปไม่ได้

ยามนี้ ข่าวที่จ้าวเฟิงพลิกสถานการณ์เสียเปรียบมาได้เปรียบด้วยการไล่ล่าสังหารจักรพรรดิแห่งความตายยังไม่แพร่กระจายมาถึงกลุ่มดินแดนฟากนี้

ในอาณาเขตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ คนที่รู้ข่าวคราวนี้มีจำนวนน้อยนิด

ถ้าหากไม่เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าแม้แต่ความกล้าในการจะต่อรองของราชันทั้งสามคงไม่มีด้วยซ้ำไป

“จ้าวเฟิง ขอเพียงแค่เจ้าส่งตัวจงหวานเอ๋อร์คืนมา พวกเราสัญญาว่าในวันหน้าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับทวีปบุปผาครามอีกต่อไป”

เฉิงเยว่เซียนกูสีหน้าจริงจัง กำลังทำการอ่อนข้อให้ครั้งสุดท้าย

โครงกระดูกทองและราชันลัทธิมารที่อยู่ด้านข้างพยายามอดกลั้นความโกรธเกรี้ยวไว้ ไม่ระเบิดมันออกมา

“จ้าวเฟิง เจ้ารับปากราชันทั้งสามไปเถอะ” ผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นในสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์อดจะเอ่ยปากบอกไม่ได้

“จ้าวเฟิง อย่าทำอะไรผลีผลามลงไป! เจ้านำเรื่องความเป็นความตายของบุปผาครามมาล้อเล่นไม่ได้นะ?”

นักพรตไป๋หยุนเอ่ยห้ามปราม

แววตาของจ้าวเฟิงกวาดมองระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเฉยชา แล้วจึงหยุดสายตาลงที่ร่างของ ‘หยูทียนฮ่าว’ เป็นเวลาสั้นๆ

สำหรับสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์

การเจรจาของราชันทั้งสามถือว่ายอมอ่อนข้อ อดทนอดกลั้น และประนีประนอมอย่างมากที่สุดแล้ว

เมื่อย้อนกลับมามองที่จ้าวเฟิง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ยังแข็งกระด้างอย่างยิ่ง

ผู้ถูกเลือกที่เพิ่งปรากฏตัวทำถึงระดับนี้ได้ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง จนสามารถบันทึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ของทวีปบุปผาครามได้เลย

“ตกลง ข้ายอมรับเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนครั้งนี้” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำเล็กน้อย แต่ก็ตอบรับไป

เขาโบกมือเบาๆ แล้วพลังมหาศาลของขอบเขตปราณเทวะก็ผลักร่างของจงหวานเอ๋อร์ไปยังเบื้องหน้าของราชันทั้งสาม

ราชันทั้งสามประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยคาดคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะ ‘ตรงไปตรงมา’ ในฉับพลันเช่นนี้

เขาผงกศีรษะน้อยๆ ให้เหล่าคนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ทุกคนถอยออกจากตำหนักแห่งนี้

แต่ว่าจ้าวเฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตายังคงจับจ้องไปที่ราชันลัทธิมารจนทำให้ฝ่ายหลังขนลุกเกรียว

“จ้าวเฟิง หรือว่าเจ้าจะกลับคำ?” ราชันลัทธิมารเอ่ยเสียงเข้ม

“เหอะเหอะ กลับคำงั้นรึ? การแลกเปลี่ยนเมื่อครู่ข้ามอบตัวจงหวานเอ๋อร์ให้ ไม่ได้ผิดไปจากที่สัญญาเลย”

จ้าวเฟิงเอ่ยพลางหัวเราะอย่างยียวน

“เจ้า…”

ราชันทั้งสามล้วนแต่ค้างแข็ง

คนในระดับสูงของสหพันธ์ที่เพิ่งจะสลายตัวออกจากตำหนักใหญ่ใจเย็นวาบ

หรือว่าหลังจากที่จ้าวเฟิงทำการแลกเปลี่ยนเสร็จแล้วยังมีอะไรที่อยาก ‘ซักไซ้ไล่เรียง’ อีก จึงยังไม่ยอมถอดใจ

“ทุกคนรีบแยกย้ายเร็ว!”

คนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์กระจายตัวโบยบินจากไป ต่างเกรงว่าจะตกเข้าไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของราชัน

มีเพียงคนเดียวที่ยังรั้งอยู่

เขาหมุนตัวกลับไปที่ตำหนักแล้วยืนอยู่เคียงข้างกับจ้าวเฟิง

“ฮ่าวเอ๋อร์!” หยูซิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็ห้ามไม่ทันเสียแล้ว

เพียงพริบตาเดียว ภายในตำหนักหลังใหญ่ก็เหลือเพียงผู้ถูกเลือกสองคนที่เผชิญหน้ากับราชันทั้งสาม

“โครม…”

ภายใต้พลังมหาศาลของราชันหลายเส้นสาย ทั้งตำหนักพินาศเป็นผุยผงไป

แรงระเบิดรุนแรงทำให้คนในระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์พรั่นพรึงจนโกลาหลไปหมด พยายามที่จะหนีออกไปให้ไกลจากจุดเกิดเหตุ

ทว่าพวกเขาก็ยังคงอดไม่ไหว ต้องเหลียวกลับไปดู

จึงมองเห็นเพียงลำแสงทรงพลังของราชันทั้งสามปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่ละคนโมโหโกรธเกรี้ยวอย่างมาก

“หยูทียนฮ่าว?” จ้าวเฟิงไม่ไยดีราชันทั้งสาม ดวงตามองไปที่หยูทียนฮ่าว

“จ้าวเฟิง อย่าคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วง การรับมือราชันผู้หนึ่งไม่ได้ยากเย็นอะไร” หยูทียนฮ่าวเอ่ยเสียงเรียบ

เขาสาดซัดพลังของครึ่งก้าวสู่ราชันออกมาจากร่าง สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานถูกเปิดออก พลังและจิตต่อสู้ทั่วทั้งร่างพุ่งโจมตีไปที่ราชันในขอบเขตปราณเทวะทันที

“จ้าวเฟิง เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้าเคยบอกไว้ว่า สำนักมารจันทราจะต้องมีของแลกเปลี่ยนกับการรุรกรานทวีปบุปผาคราม หากไม่เช่นนั้นแล้วชื่อของตำหนักมารจันทราจะหายไปจากชางไห่ภายในร้อยวัน” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงยิ่งเอ่ยยิ่งเย็นชา

“จ้าวเฟิง! เจ้าอย่าคิดรังแกกันให้มากเกินไป…” ราชันลัทธิมารสีหน้าโหดเหี้ยมดำคล้ำ โกรธจนถึงขีดสุด พลังมหาศาลสายมารเส้นหนึ่งตรงดิ่งมายังจ้าวเฟิง

ท้องฟ้าฟากหนึ่งโดนเมฆเพลิงมารสีแดงหม่นที่ปลดปล่อยด้วยความพิโรธปกคลุมเอาไว้ แล้วยังปรากฏเขตแดนมิติที่เลือนรางอีกแห่งหนึ่งขึ้นด้วย

“เหอะ!” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น ในขณะที่ห้วงความคิดกระตุก เจตจำนงดวงตาก็ทะลวงผ่านฟ้าดิน

โครม!

พลังมหาศาลที่ราชันลัทธิมารสร้างขึ้นสูญสลายหายไปอย่างรวดเร็วเสมือนโดนโจมตีจากด่านเคราะห์หมื่นอัสนี

ทันใดนั้นเอง พลานุภาพรุนแรงเหนือใครก็ปะทะเข้ากับร่างของราชันลัทธิมารจังๆ

ในเวลานี้ ราชันทั้งสามล้วนแต่สัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าที่ไม่อาจต้านทานได้ ชั้นดวงวิญญาณส่งเสียงดังกระหึ่ม

อั๊ก!

ราชันลัทธิมารใบหน้าซีดเผือด กระอักเลือดออกมาในทันที

“พลังจักรพรรดิ!”

เฉิงเยว่เซียนกูและโครงกระดูกสีทองพูดอะไรไม่ออกในฉับพลัน

ต่อจากนั้น จึงเห็นจ้าวเฟิงก้าวเท้าออกมาแล้วโบกมือน้อยๆ

ครืน~

อากาศรอบด้านชวนให้รู้สึกหลอนไปว่าสั่นไหวทับซ้อนกัน ตาเปล่าสามารถมองเห็นระลอกของสายอัสนีที่น่าสะพรึงกลัว

กลิ่นอายอัสนีเทวะทำลายล้างที่ไม่สูญสลายไป ทำให้ดวงวิญญาณของราชันทั้งสามรู้สึกกดดันและตกใจอย่างยิ่ง

ตุ้บ!

ราชันลัทธิมารของตำหนักมารจันทราลอยละลิ่วลงมาจากฟ้า ใจและกายราวกับโดนสายอัสนีบาตฟาดใส่ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งขณะคุกเข่าลง

“จักรพรรดิจ้าวเฟิง ขอท่านยั้งมือด้วย!”

เฉิงเยว่เซียนกูและพวกเหมือนพลันตกลงไปในหุบเหวลึก ส่งเสียงกรีดร้องขอความเมตตาด้วยความหวาดผวา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version