บทที่ 772 การหมั้นหมาย (2)
การหมั้นหมาย?
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วมุ่น หลังจากที่เขาช่วงชิงร่างนี้มาได้แล้ว ก็เพียรพยายามจะทำให้ความปรารถนาในช่วงก่อนตายของเจ้าของร่างเป็นจริง แต่มีเพียงอย่างเดียวที่จะตัดออกก็คือเรื่องแต่งงานเท่านั้น
ในความทรงจำ ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ คู่หมั้นของจ้าวเฟิงเป็นดรุณีวัยแรกแย้มสวยผุดผาดของเขาเมฆา
ลั่วสุ่ยเอ๋อร์เพิ่งจะมีอายุสิบสี่สิบห้าปี ก็มีวงหน้าสะคราญ บุคลิกท่าทางเพลินตา สงบเยือกเย็นราวสายน้ำ
ไม่เพียงเท่านั้น พรสวรรค์ของสตรีนางนั้นก็โดดเด่นอย่างมาก เมื่อหนึ่งปีก่อนลั่วสุ่ยเอ๋อร์ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของราชันในระดับสุดยอดผู้หนึ่ง
แน่นอน ไม่ว่าลั่วสุ่ยเอ๋อร์จะมีใบหน้าสวยสดงดงามเท่าไหร่ จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่านางเป็นเพียงแค่คู่หมั้นของเจ้าของร่างคนก่อนอย่างจ้าวเฟิงเท่านั้น
ความคิดและจิตใจถึงจะเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์
ถึงแม้จะช่วงชิงร่างเพื่อถือกำเนิดใหม่ แต่ว่าจ้าวเฟิงก็ยังคงเป็นจ้าวเฟิง
สำหรับเรื่องของ ‘คู่หมั้น’ จ้าวเฟิงได้ตัดสินใจแล้วว่าจะถอนหมั้น!
เขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวให้ชีวิตนี้มีคู่หมั้นของตนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ในเวลานี้เอง ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านเอ่ยปากพูด
“เฟิงเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าชื่นชมและหลงรักลั่วสุ่ยเอ๋อร์มานาน แต่ว่ามีข่าวหนึ่งที่ไม่บอกเจ้าไม่ได้”
เมื่อได้ยินดังนี้จ้าวเฟิงก็นิ่งไปขณะหนึ่ง
หรือว่าเรื่องนี้ยังมีจุดเปลี่ยนอะไรอีก?
“ว่ากันว่าแม่นางสกุลลั่วผู้นั้นมีแผนจะถอนหมั้น เหตุผลหลักเป็นเพราะว่า ‘องค์ชายแปด’ ของราชวงศ์ต้าเฉียน ถูกใจลั่วสุ่ยเอ๋อร์โดยไม่คาดคิด”
ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านเอ่ยอย่างอดไม่ไหวเล็กน้อย
เมื่อหนึ่งปีก่อน จ้าวเฟิงและลั่วสุ่ยเอ๋อร์เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่ง
ขณะนั้น จ้าวเฟิงตื่นตะลึงเมื่อถูกท่วงท่าที่งดงามของลั่วสุ่ยเอ๋อร์ดึงดูดใจ
ลั่วสุ่ยเอ๋อร์ในตอนนั้นก็ไม่รังเกียจอะไรจ้าวเฟิง ถึงขั้นประทับใจอยู่บ้าง
ด้วยเพราะจ้าวเฟิงเป็นหนุ่มรูปงามอัจฉริยะของตระกูลจ้าว และยังมีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย
“ความหมายของผู้อาวุโสคือ บ้านสกุลลั่วคิดจะถอนหมั้นงั้นหรือ?”
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น ในแววตาก็ปรากฏแววปีติยินดีขึ้น แล้วจึงพยายามปกปิดเอาไว้อย่างสุดแรง
ถอนหมั้น? ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง!
ใจของจ้าวเฟิงเต้นระรัว เขาอยากตัดขาดความสัมพันธ์กับว่าที่คู่หมั้นคนนั้นใจจะขาดอยู่แล้ว
ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านอดชะงักค้างไปไม่ได้ สายตาที่มองไปยังจ้าวเฟิงดูแปลกใจ
บุรุษหนุ่มตรงหน้านี้ไม่ได้เศร้าโศกและโกรธเคืองอย่างที่คิดไว้ แถมยังดูมีท่าทียินดีเสียด้วยซ้ำไป
“บ้านสกุลลั่วมีเจตนาจะถอนหมั้นอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ต้องดูเจตนาของลั่วสุ่ยเอ๋อร์
แต่เดาได้เลยว่า ด้วยฐานะที่สูงส่งขององค์ชายแปดและพรสวรรค์ ‘สายเลือดวิถีราชา’ สกุลลั่วคงไม่อาจจะปฏิเสธได้” ผู้เฒ่าในชุดผ้าป่านเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“องค์ชายแปด…สายเลือดวิถีราชา…”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ องค์ชายแปดที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงของดินแดนทวีปจะเจอลั่วสุ่ยเอ๋อร์ได้อย่างไร?
องค์ชายของราชวงศ์ต้าเฉียนจะมีสถานะสูงส่งขนาดไหนกัน?
ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักสามดาว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วยังด้อยกว่ามาก
ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านอธิบาย
“นี่เห็นทีจะต้องพูดถึง ‘ลั่วจุน’ ผู้เป็นพี่ชายของลั่วสุ่ยเอ๋อร์ ลั่วจุนผู้นี้เก่งกาจนัก เป็นถึงอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของดินแดนเกาะเทียนเฟิง ยามนี้เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ”
ลั่วจุน?
ในความทรงจำของจ้าวเฟิงมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนชื่อนี้
จ้าวเฟิงคนก่อนชื่นชมนับถือในตัว ‘ลั่วจุน’ อย่างยิ่ง
ลั่วจุนผู้นั้นเลื่อนขึ้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะด้วยวัยสามสิบสองปี กลายมาเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงลือเลื่องของราชวงศ์ต้าเฉียน
“หลังจากที่ลั่วจุนไปยังดินแดนทวีปแล้ว ก็ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์จากราชวงศ์ อีกทั้งยังผูกมิตรกับองค์ชายแปดจนเป็นเพื่อนกัน เมื่อไม่นานมานี้ ลั่วจุนเดินทางมายังดินแดนเกาะเทียนเฟิงเป็นเพื่อนองค์ชายแปด เดิมทีตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนจวนอ๋องโหว แต่กลับไปพบลั่วสุ่ยเอ๋อร์โดยบังเอิญ…”
ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านเล่าที่มาที่ไปทั้งหมด
จ้าวเฟิงตกลงสู่ห้วงภวังค์เป็นเวลาสั้นๆ
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาเองก็ไม่กล้าจะมีปัญหากับ ‘องค์ชายแปด’
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นถอนหมั้นก็ได้” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว
ถอนหมั้น?
ผู้เฒ่าชุดผ้าป่านและคนอื่นๆ ประหลาดใจ จ้าวเฟิงไม่เพียงไม่เศร้าโศก แต่ยังพูดเรื่องถอนหมั้นออกมาได้โดยไม่ลังเล
“จ้าวเฟิง เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี พวกเรากังวลว่า ‘ลั่วจุน’ ผู้เป็นพี่ชายของลั่วสุ่ยเอ๋อร์จะมาหากดดันเจ้าที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น”
“นั่นสิ ลั่วจุนผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่กลับโผงผางมุทะลุอย่างยิ่ง”
เมื่อเอ่ยถึงนามของ ‘ลั่วจุน’ เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลทั้งเคารพและยำเกรง
“วางใจเถอะ เรื่องแต่งงานก็เอาแบบนี้แล้วกัน” จ้าวเฟิงโบกมือน้อยๆ ท่าทางเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง
แววตาของผู้เฒ่าชุดผ้าป่านเป็นประกาย เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างทว่าหยุดชะงักไป เขาจ้องมองจ้าวเฟิงไปมาแล้วรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป
สวบ สวบ!
เวลานี้เอง เหล่าสมาชิกที่ทำภารกิจของสำนักก็รุดมาถึง ในนั้นยังรวมศิษย์พี่ก่วงด้วย
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ศิษย์พี่ก่วงตื่นตระหนกไปเล็กน้อย
“โชคชะตาของจ้าวเฟิงคนนั้นนับว่าดีจริงๆ ผู้อาวุโสในตระกูลของเขามาช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี”
แววตาของศิษย์พี่ก่วงฉายแววหงุดหงิด
ตั้งแต่ป่าไร้เลือนรางจนมาถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงผู้นั้นผ่านอันตรายมาทั้งหมดกี่ครั้งแล้ว? คิดไม่ถึงว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้ทุกครั้ง
จ้าวเฟิงเอ่ยลาผู้อาวุโสของตระกูล สายตาคมกริบของจ้าวเฟิงปราดผ่านร่างของศิษย์พี่ก่วงไป
ศิษย์พี่ก่วงใจเย็นวาบ แววตาของจ้าวเฟิงทำให้ใจเขาร้อนรน รู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่ก่วงผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับบ้านสกุลอินลอบทำร้ายข้าหลายครั้ง แต่ว่าคนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของราชัน ต้องรอให้สบโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยจัดการเขา” จ้าวเฟิงตัดสินใจ
ดินแดนอู๋เชวีย
ราชวงศ์ชาวพื้นเมืองที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ล่มสลายไปเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น
ฟากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นกลับเสียหายเพียงเล็กน้อย ตลอดช่วงเวลานั้นคือการฆ่าล้างสังหาร
ในวันนั้น
กลุ่มปฏิบัติภารกิจของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็นั่งเรือทะเลความว่างเปล่าเดินทางออกจากดินแดนอู๋เชวีย ทิ้งเพียงเรื่องเล่าไว้ยังดินแดนดังกล่าว
การสร้างราชวงศ์เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างหนึ่ง
นี่จะเป็นสิ่งที่เล่าสืบทอดต่อกันอย่างยาวนาน ณ ดินแดนอู๋เชวีย เหมือนกับดินแดนทวีปบุปผาครามในกาลก่อน
ภายในเรือ
เมื่อรู้เรื่องที่จ้าวเฟิงโดนลอบสังหาร ศิษย์พี่วั่นเอ่ยถามด้วยสีหน้าห่วงใย แล้วยังเสนอตัวขอตรวจรักษาบาดแผลอีกด้วย
ความรู้สึกดีๆ ที่ศิษย์พี่วั่นมีต่อจ้าวเฟิง หากเป็นคนมีสมองก็จะมองออกได้ไม่ยาก
เมื่อเห็นศิษย์น้องผู้แบบบางอ่อนหวานซึ่งเป็นหญิงในดวงใจอยู่ใกล้ชิดจ้าวเฟิงเช่นนี้ ศิษย์พี่ก่วงก็โกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ
การลอบสังหารของบ้านสกุลอินในครั้งนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า
การถามไถ่อย่างอบอุ่นของศิษย์พี่วั่นทำให้จ้าวเฟิงจนใจเล็กน้อย
เดิมที เพื่อที่จะขจัดความสงสัยในใจของศิษย์พี่วั่น เขาจึงลอบใช้ ‘วิชาดวงตาควบคุมจิตใจ’ ส่งผลให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
คิดไม่ถึงเลยว่าความรู้สึกดีที่ศิษย์พี่วั่นมีต่อเขาจะค่อยๆ กลายมาเป็นความรู้สึกจากใจจริงแทน
วิชาดวงตาควบคุมจิตใจประเภทนี้ จ้าวเฟิงไม่กล้าใช้อย่างโจ่งแจ้งมากนัก ดังเช่นจะไม่ใช้กับคนอย่างศิษย์พี่ก่วงเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนจับสังเกตจากอาจารย์ที่เป็นราชัน
ทว่าในระหว่างทาง ความอาฆาตโกรธเกลียดของศิษย์พี่ก่วงผู้นี้กลับทำให้จ้าวเฟิงสนุกอย่างยิ่ง
“ศิษย์น้องจ้าว เหลืออีกห้าเดือนก็จะเป็นเวลาเปิด ‘มิติเทพลวงตา’ ถ้าหากว่าเจ้าขยันขันแข็งขึ้นหน่อย บางทีอาจจะได้รับโอกาสสักครั้ง”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ศิษย์พี่วั่นอดจะเอ่ยปากพูดไม่ได้
เมื่อพูดถึง ‘มิติเทพลวงตา’ ศิษย์อายุน้อยๆ หลายคนในที่ดังกล่าวอดจะตื่นเต้นไม่ได้
“ว่ากันว่า ‘มิติเทพลวงตา’ แห่งนั้นเป็นมิติทับซ้อนที่ ‘เทพโบราณ’ ในขอบเขตเทพเจ้าทิ้งไว้ก่อนจะสูญสลายไป ในทุกร้อยปีจะเชื่อมต่อกับพื้นที่ทวีปครั้งหนึ่ง”
“ภายในมิติเทพลวงตามีทรัพยากรยุคบรรพกาลและยุคโบราณหลงเหลือทิ้งไว้”
“ทรัพยากรและของล้ำค่าที่หายสาบสูญของทวีปล้วนแต่สามารถหาได้จากในมิติเทพลวงตา…”
ศิษย์หลายคนพูดคุยกัน
ขนาดดวงตาศิษย์พี่วั่นยังสาดแสงเป็นประกาย
จ้าวเฟิงพอจะรู้เรื่องของ ‘มิติเทพลวงตา’ จากศิษย์พี่วั่น
อันดับแรก มิติเทพลวงตาไม่ใช่สิ่งที่อำนาจและสำนักใดจะครอบครองไว้เพียงผู้เดียวได้
ตามตำนานว่าไว้ว่าเป็นมิติทับซ้อนที่เทพเซียนทิ้งเอาไว้ ได้เชื่อมโยงกับรอยต่อของทั้งดินแดนทวีปรวมไปถึงมหาสมุทรในละแวกใกล้เคียง
พูดได้ว่า ในฟากของดินแดนทวีป สำนักใหญ่ตระกูลใหญ่ทั้งหมด ขอเพียงแค่มีความสามารถก็ล้วนแต่สามารถเชื่อมโยงกับที่นั่นได้
แต่ด้วยเพราะอุโมงค์มิติที่เชื่อมโยงค่อนข้างจะไม่เสถียร ยอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะเข้าไปก็จะทำให้ไม่มั่นคง
โดยปกติแล้ว ในแต่ละสำนักและขั้วอำนาจจะส่งขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันรวมไปถึงยอดฝีมือในสังกัดเข้าไปภายใน ทว่ามีน้อยนิดนักที่จะส่งราชันในขอบเขตปราณเทวะเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
มิติเทพลวงตาไม่ใช่มรดก แต่ว่าเป็นมิติทับซ้อนที่ถูกเซียนทอดทิ้งปล่อยให้รกร้าง
ในทุกร้อยปีมันและดินแดนทวีปก็จะเชื่อมโยงกันครั้งหนึ่ง
อีกทั้งมันไม่มีขีดจำกัดด้านอายุ จำกัดเพียงพลังฝึกตนเท่านั้น ยอดฝีมือที่แก่ชรามากก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน
สามารถพูดได้ว่า นี่คืองานเลี้ยงเฉลิมฉลองและเวทีใหญ่ของดินแดนทวีป
ภายในมิติเทพลวงตา สามารถพบเจอลูกศิษย์เชื้อพระวงศ์ อัจฉริยะของตระกูลใหญ่ๆ หรือยอดฝีมือต่างเผ่าพันธุ์
ขนาดสมาชิก ‘สำนักสามดาว’ หรือกระทั่ง ‘สำนักสี่ดาว’ ล้วนแต่จะปรากฏกายภายใน ‘มิติเทพลวงตา’ อีกทั้งยังมีทุกช่วงวัยอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยที่การเชื่อมต่อของมิติเทพลวงตาจะทำให้ลูกศิษย์คนสำคัญเหล่านั้นเลือดร้อนขึ้นมา
“ในเมื่อมิติทับซ้อนแห่งนี้มีทรัพยากรมหาศาลให้เก็บเกี่ยว เช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจจะพลาดได้” จ้าวเฟิงเอ่ยโดยไม่รู้ตัว
เขาในตอนนี้เหมือนกับเด็กน้อยครึ่งเซียน ได้ยินคำว่าทรัพยากรที่ล้ำค่า ดวงตาก็เป็นประกาย
เมื่อเขาเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฝูงชนภายในเรือ
“เจ้าเด็กน้อย! ขนาดพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้เจ้ายังไม่มีเลย อย่าได้คิดจะเข้าไปใน ‘มิติเทพลวงตา’ เพื่อแย่งชิงเอาทรัพยากร” ผู้เฒ่าในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเอ่ยเยาะๆ
สำหรับมิติเทพลวงตา ยอดฝีมือในวัยอาวุโสกว่าก็สนใจอย่างยิ่ง แต่ว่าจำนวนของยอดฝีมืออาวุโสมีน้อยยิ่งกว่า
สำนักกับขั้วอำนาจส่วนหนึ่งยังอยากจะมอบโอกาสนี้ให้แก่ผู้เยาว์ที่มีความสามารถมากกว่า
อีกทั้งภายในมิติเทพลวงตา มีโอกาสบางอย่างที่จำกัดคุณสมบัติและอายุด้วย
“ฮ่าฮ่า! ศิษย์น้องจ้าว ข้าว่าเจ้ารออีกร้อยปีเถอะ คนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่เข้าไปในมิติเทพลวงตาครั้งนี้ พลังฝึกตนต่ำสุดอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หรือครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
ศิษย์พี่ก่วงหัวเราะเสียงดัง เมื่อสุดท้ายหาโอกาสโจมตีจ้าวเฟิงได้
แน่นอนว่าเขามองข้ามไปว่าจ้าวเฟิงยังมีสัตว์วิเศษ สัตว์วิเศษที่ยืมมาไม่สามารถเพิ่มเข้าไปในรายชื่อได้ แต่ว่าสัตว์ที่ตนเองฝึกฝนไว้และสัตว์วิเศษที่ทำพันธะสัญญาเป็นของตนเองจะไม่โดนจำกัด
อีกทั้งตามหลักการของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่ได้จำกัดจำนวนผู้เข้าแข่งขัน
สามวันต่อมา
เรือทะเลความว่างเปล่าที่ทุกคนนั่งก็มาถึงดินแดนเกาะเทียนเฟิง
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ตำหนักส่งภารกิจ
กลุ่มปฏิบัติภารกิจได้รับรางวัลจำนวนมากมาย
ผู้เฒ่าชุดขาวที่เป็นผู้นำได้รางวัลจากการทำภารกิจมากที่สุด
จ้าวเฟิงเองก็ได้ผลตอบแทนจำนวนมากพอจะทำให้คนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปต้องใจเต้น
เมื่อภารกิจลุล่วง จ้าวเฟิงไปที่ปราการแลกเปลี่ยนในครั้งก่อน ได้ผลึกเริ่มต้นจากประมูลขาย ‘ราชากิ้งก่าโคลนพิษ’ สองตัว
ต้นทุนของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นมาอีกก้อนหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว
เขาเอาผลึกกับของรางวัลไปแลกเปลี่ยนทรัพยากรและยาประเภทฝึกร่างกาย
ที่สำคัญก็คือ การฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ค่อนข้างต้องการพลัง จึงต้องใช้ทรัพยากรมาก
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ‘ลั่วจุน’ ผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนเกาะเทียนเฟิงมาเยือนยังสำนักเรา”
“ลั่วจุนผู้นั้นเป็นถึงหนึ่งในราชันที่อ่อนวัยที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉียน”
“ว่ากันว่าในครั้งนี้ยังมีบุคคลลึกลับมาเยือน ทำให้ผู้อาวุโสที่กุมอำนาจหลายคนของสำนักต้องไปต้อนรับด้วยตนเอง…”
ในระหว่างทางกลับมายังที่พัก จ้าวเฟิงได้ยินเสียงพูดคุยกันของลูกศิษย์สำนักส่วนหนึ่ง
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พี่ชายของลั่วสุ่ยเอ๋อร์มาถึงสำนักอย่างรวดเร็วเช่นนี้เลย
หลังจากกลับไปถึงที่พักแล้ว จ้าวเฟิงก็รีบกางค่ายกล แล้วจึงตั้งป้ายปิดผนึกฝึกตน
เขาไม่คิดเลยว่าแผนการฝึกตนใหม่ของเขาจะถูกรบกวน