บทที่ 777 การเตือนของจ้าวเฟิง
ในละแวกใกล้เคียงของป้อมปราการตระกูลจ้าว
การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้วิธีการเช่นนี้จะสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว คนในระดับสูงของตระกูลจ้าว เกิดความรู้สึกประหลาดราวกับตกอยู่ในห้วงมายา
จิตสำนึกของฝูงชนมองกลับไปยังจ้าวเฟิงที่อยู่บนยอดเขาด้านหลัง
บุรุษหนุ่มผู้นั้นมีเรือนผมสีม่วงอ่อนที่น่าหลงใหล ปลิวไสวตามสายลม ดวงตาสองข้างปิดลงและเข้าสู่การฝึกตนอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นรายละเอียด แต่ความรู้สึกและวิจารณญาณบอกพวกเขาว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของการแพ้ชนะในครั้งนี้ก็คือเด็กหนุ่มคนนี้
“เป็นเฟิงเอ๋อร์ที่เปลี่ยนสถานการณ์การรบ! เขาช่วยตระกูลเอาไว้!”
ท่านปู่จ้าวตะลึงตะลาน แล้วจึงตะโกนอย่างดีใจ หนวดสั่นระริก แสดงถึงความภาคภูมิใจ
คนอื่นไม่ได้เห็นขั้นตอนโดยละเอียด แต่เขาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นกลับเห็นอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มบนยอดเขาและผู้อาวุโสแมวขโมยที่อยู่บนบ่า ยิ่งดูลึกลับอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในสายตาคนมากมาย
ในแววตาของเหล่าคนระดับสูงจากตระกูลจ้าวมีทั้งความประหลาดใจและความยำเกรง
การต่อสู้ในครั้งนี้ เดิมทีตระกูลจ้าวไม่มีโอกาสจะชนะด้วยซ้ำ ถึงขนาดว่าตกอยู่ในสถานการณ์ตายเก้าส่วนรอดส่วนหนึ่งด้วย
แต่ในระหว่างการต่อสู้ ยอดฝีมือของบ้านสกุลอินกลับเหมือนโดนมนต์ดำ ปล่อยให้พวกเขาสังหาร
“หาผู้รอดชีวิต! จัดการของที่ยึดมาเสีย!”
ผู้อาวุโสสูงสุดขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันเอ่ยสั่ง
ในครั้งนี้ กลุ่มศัตรูจากบ้านตระกูลอิน พลังฝึกตนล้วนแต่อยู่เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงและครึ่งก้าวสู่ราชันมีอยู่หลายคน
ด้วยเหตุนี้ของที่ยึดมาได้จึงมีจำนวนมากมายอย่างยิ่ง
“เฟิงเอ๋อร์ ของที่ได้จากการต่อสู้พวกนี้ให้เจ้าจัดการเถอะ”
ท่านปู่จ้าวเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาเอ่ย จากนั้นจึงแบ่งประเภทข้าวของกองใหญ่ที่ได้มา
ในฐานะที่เป็น ‘ปู่’ เขาย่อมต้องอยากให้หลานของตนเองได้รับของรางวัลที่ควรจะได้
ดวงตาสองข้างของจ้าวเฟิงกวาดมอง รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วจึงเลือกทรัพยากรแขนงวารีและสมบัติที่พอมีมูลค่าหลายอย่างออกมาจากเหล่าของที่ยึดมา
สมบัติและทรัพยากรทั่วๆ ไป เขาไม่ได้เห็นค่านัก บางทีอาจเป็นของที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับเขา
ในระหว่างนี้
ตระกูลจ้าวกำลังจัดคนไปตรวจสอบศัตรูจากสกุลอินที่ยังหลงเหลืออยู่รอบๆ โดยเฉพาะคนที่หลบหนีออกไปได้ รวมไปถึงส่งคนสอดแนมข่าวคราวของอีกฝ่ายด้วย
ห่างออกไปสองพันลี้ ในเมืองเก่าแก่หักพังที่ตั้งบนเขา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…ทั้งกองตายหมดแล้วหรือ? ”
บุรุษหนุ่มร่างกำยำในชุดดำมีสีหน้าสงสัยระคนแปลกใจ เหมือนวิญญาณออกจากร่างไปชั่วขณะ
ถ้าหากจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ย่อมมองออกว่าบุรุษผู้นี้ก็คือ ‘ลั่วจุน’
“ท่านราชัน คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ไม่มีใครหนีออกมาได้เลย ตระกูลจ้าวยังสืบเสาะหาข่าวคราวของบ้านสกุลอินไปทั่ว” ชายหนุ่มชุดดำผู้ชำนาญศาสตร์เงาสังหารเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดผวา
สำหรับความจริงของการต่อสู้ บุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมก็จะไม่รู้อะไรเลย
“ข้าน้อยคาดว่า จ้าวเฟิงผู้นั้นจะต้องมียอดฝีมือให้ความช่วยเหลืออยู่แน่นอน ทันทีที่เขากลับมา ตระกูลจ้าวก็วางเหยื่อล่อรอซุ่มโจมตี”
ชายในชุดดำเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง
การลอบโจมตีในครั้งนี้ คนในระดับสูงของบ้านตระกูลอินลงแรงไปกว่าครึ่ง นอกจากนี้ยังมีคนจากสกุลลั่วให้ความช่วยเหลือบางส่วนด้วย
ลั่วจุนเป็นคนที่อาสามาทำเอง และจัดแจงทั้งหมดอย่างลับๆ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า กองกำลังที่แข็งแกร่งซึ่งมีเป้าหมายคุกคามการดำรงอยู่ของตระกูลจ้าว กลับล้มตายไปจนหมดในระยะเวลาอันสั้น
ลั่วจุนตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร เบื้องหลังของจ้าวเฟิงต้องมียอดฝีมือให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ตอนที่โจมตีเมื่อครู่ ห้วงความคิดของลั่วจุนเคยทำการสอดแนมมาก่อน
แต่ทว่า ห้วงความคิดเซียนของเขาถูกรบกวนจากพลังลวงตาลึกลับกลุ่มหนึ่ง ต้องมองดูลูกน้องของตนเองตายอย่างอนาถทีละคนๆ แต่สาเหตุกลับไม่แน่ชัด
และใจกลางของพลังลวงตาที่ลึกลับกลุ่มนั้นกลับมาจากจ้าวเฟิงผู้เป็นเหยื่อล่อ
“ถอยจากพวกสกุลอินมาก่อน!”
ดวงตาของลั่วจุนเปล่งประกายเมื่อคิดอะไรออกได้ในทันใด
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ คนระดับสูงของบ้านสกุลอินได้รับบาดเจ็บไปมากกว่าครึ่ง ตระกูลจ้าวจะต้องฉวยโอกาสนี้ทำลายสกุลอินแน่ ทันทีที่บ้านสกุลอินถูกทำลาย ตระกูลจ้าวจะยิ่งใหญ่ที่สุดในเขาเมฆาแต่เพียงผู้เดียว พอถึงเวลานั้น สกุลลั่วอยากจะสอดมือเข้ามายุ่งก็แผ่ขยายอำนาจควบคุมไปไม่ถึง
สถานการณ์ในตอนนี้ ลั่วจุนกับบ้านสกุลลั่วทำได้เพียงลอบลงมือ ไม่อาจจะออกหน้าได้เพราะว่าตระกูลจ้าวและพวกเขาแต่เดิมมีการเกี่ยวดองกันในการแต่งงาน และยังเป็นคนสกุลลั่วที่ขอยกเลิกการแต่งงานเสียก่อน หลังจากนั้นตระกูลจ้าวจึงเขียนหนังสือหย่า
เรื่องนี้ได้แผ่กระจายออกไป
นอกจากนี้ จ้าวเฟิงเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น อีกไม่นานจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด
ถ้าหากสกุลลั่วลงมือกับจ้าวเฟิงโดยไร้สาเหตุ จ้าวเฟิงสามารถขอความช่วยเหลือจาก ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ เพื่อดำรงความยุติธรรมหรือไม่ก็ไปฟ้องร้องกับจวนอ๋องโหวได้
นอกเหนือจากเรื่องศีลธรรมและกฎกติกา สกุลลั่วล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะลงมือซึ่งๆ หน้า มิฉะนั้นต่อให้ได้ชัยชนะ ชื่อเสียงขององค์ชายแปดก็จะโดนผลกระทบไปด้วย
หากองค์ชายแปดคิดจะช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท ถึงกระทั่งตำแหน่ง ‘จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์’ แห่งราชวงศ์ในอนาคต ก็ไม่อาจทำอะไรกระโตกกระตากมากนัก
ป้อมปราการตระกูลจ้าวบนยอดเขา จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ยังคงฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ เหมือนกับว่าการต่อสู้ที่น่าเหลือเชื่อเมื่อสักครู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด
“เฟิงเอ๋อร์ การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้สกุลอินได้รับความเสียหายอย่างหนัก สูญเสียคนไปมาก ในตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำลายทิ้ง”
ผู้นำตระกูลจ้าวเทียนอี้แววตาเปล่งประกาย ไฟแห่งความทะเยอะทะยานลุกโชนขึ้น
คนระดับสูงของตระกูลจ้าวล้วนแต่มีจิตต่อสู้ที่รุนแรง รอวันที่จะรวบรวมเขาเมฆาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“ดี ออกเดินทางได้” จ้าวเฟิงผงกศีรษะตอบรับอย่างเด็ดขาด
คืนวันนั้น
ป้อมปราการตระกูลจ้าวรวมยอดฝีมือจำนวนร้อยถึงสองร้อยคน จากนั้นก็นั่งบนวิหคนิลกาฬหรือไม่ก็เรือทะเลความว่างเปล่ามุ่งไปยังบ้านสกุลอิน
บ้านสกุลอินตั้งอยู่ที่ทิศเหนือของเขาเมฆา ส่วนตระกูลจ้าวอยู่ทางทิศใต้ ตระกูลใหญ่ทั้งสองตั้งอยู่คนละเขตแดน แก่งแย่งชิงดีกันมานานหลายปี
ตอนฟ้าสาง ยอดฝีมือของตระกูลจ้ามาถึงฐานที่มั่นของบ้านสกุลอิน ‘เมืองสกุลอิน’
ในขณะที่ทุกคนมาถึง ฝ่ายตรงข้ามก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทั่วทั้งเมืองสกุลอินเปิดค่ายกลป้องกัน บรรยากาศกดดันอย่างหนักหน่วง เหล่ายอดฝีมือที่ปกป้องเมืองมีสีหน้าสิ้นหวัง จิตต่อสู้ลดลงฮวบฮาบ พลังของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
เหนือทะเลหมอก
“ความเร็วในการเคลื่อนทัพของตระกูลจ้าวเร็วกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก ตระกูลของข้าจะช่วยเหลือก็ไม่ทันแล้ว” ลั่วจุนมองลงมาจากที่สูง
เขาเก็บงำห้วงคิดเซียนเอาไว้พลางมองสำรวจตระกูลจ้าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่บนไหล่ของเขาด้วย
ไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่ จ้าวเฟิงมองมาที่เขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย แววตาที่มองมาทำให้ลั่วจุนสั่นสะท้านทั้งร่างกายและจิตใจ
ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในขั้นนายเหนือแท้คนหนึ่ง จะรับรู้ได้ถึงห้วงคิดเซียนของขอบเขตปราณเทวะได้อย่างไรกัน?
ถ้าหากนี่เป็นเรื่องบังเอิญ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปก็ทำให้จิตใจของลั่วจุนยิ่งชาวาบ
เมี้ยว~
แมวตัวน้อยที่อยู่บนไหล่ของจ้าวเฟิงเหลือบมองมาที่เขาอย่างเกียจคร้านเพียงชั่วครู่
“แมวตัวนี้ทำไมถึง…”
ลั่วจุนรู้สึกว่าทั้งหมดนี้อยู่เหนือสามัญสำนึกของเขา
สิ่งที่สามารถยืนยันได้เลยก็คือ จ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยจะต้องรับรู้ได้ถึงตัวตนเขาอย่างแน่นอน
ที่น่าหงุดหงิดไปมากกว่านั้นคือ หนึ่งคนหนึ่งแมวที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขายังทำเป็นมองไม่เห็นอีกต่างหาก
เมื่อระลึกถึงความผิดปกติของการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ลั่วจุนก็ยิ่งค้นพบว่าหนึ่งคนหนึ่งแมวไม่ธรรมดาเลย บนร่างกายต้องมีความลับที่ไม่มีคนอื่นรู้อย่างแน่นอน
“ฆ่ามันซะ!”
ยอดฝีมือตระกูลจ้าวจำนวนร้อยสองร้อยคนลงมือโจมตีอย่างดุเดือด
ตู้ม ครืน ครืน~
ค่ายกลป้องกันของเมืองสกุลอินสั่นไหว ยอดฝีมือชั้นสูงของสกุลอินในเวลานี้ต่างใจสั่น ภายในใจเกิดความกังวลและหวาดกลัว
“โจมตี…มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือ” จ้าวเฟิงที่นั่งอยู่บนวิหคนิลกาฬกลับเอ่ยสั่งออกมากะทันหัน
คนของตระกูลจ้าวเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ตรงดิ่งลงไปโจมตี ‘มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือ’ ของเมืองในทันที
“มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือคือจุดอ่อนของค่ายกลป้องกันเมืองสกุลอิน”
ลั่วจุนสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ได้
ห้วงความคิดราชันของเขาเจอเบาะแสดังกล่าวหลังจากที่ตั้งใจเสาะหา
ทว่า ‘จ้าวเฟิง’ ที่นั่งอยู่บนวิหคนิลกาฬตัวนั้น กลับสามารถมองจุดอ่อนดังกล่าวออกได้ในปราดเดียว
ตู้ม! แกรก!
ค่ายกลทิศตะวันตกเฉียงเหนือเกิดรอยปริร้าวขึ้นอย่างรวดเร็ว คนในเมืองสกุลอินสีหน้าฉายแววสิ้นหวังและไร้ซึ่งหนทาง
“ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลจ้าวทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย” ลั่วจุนมีสีหน้าเเย็นชา “อย่างน้อยข้าก็จะต้องหยั่งเชิงขีดความสามารถของจ้าวเฟิงให้ได้”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หลบอยู่เหนือชั้นเมฆ แต่กลับกระตุ้นพลังราชัน
ทันใดนั้น พลังมหาศาลของราชันที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเกาะกลุ่มรวมกันที่รอยปริร้าวของค่ายกล ต้านทานระลอกการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า
การลงมือของลั่วจุนค่อนข้างคลุมเครือ มีเพียงคนที่เข้าใกล้ขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันเท่านั้นถึงจะสามารถสัมผัสได้ ขอเพียงแค่ลั่วจุนไม่ลงมือต่อหน้าอย่างชัดเจน ตระกูลจ้าวก็จะไม่มีหลักฐานใดๆ
พลังของราชันที่บริสุทธิ์นั้นค่อนข้างเก็บงำเอาไว้ ไม่ได้มีสัญลักษณ์พิเศษอะไรแสดงออกมาชัดเจน
จ้าวเฟิงกลับแค่นเสียงเย้ยหยัน การลงมือในระดับนี้ต้านทานการเคลื่อนพลของตระกูลจ้าวไม่ได้เลย
ทันใดนั้นเอง เขาก็สั่งการให้ตระกูลจ้าวแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเพื่อเข้าโจมตีหลายๆ ตำแหน่งของเมืองสกุลอิน
พลังของราชัน เป็นพลังราชันในขอบเขตปราณเทวะที่แข็งแกร่งหลอมรวมเข้ากับโลก เพื่อใช้พลังในฟ้าดิน
“ลั่วจุนผู้นั้นยังไม่สามารถแบ่งพลังในฟ้าดินเป็นหลายส่วน นอกเสียจากว่าเขาจะเคยฝึกฝนวิชาศักดิ์สิทธิ์ศาสตร์วิญญาณอย่าง ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ที่มีขอบเขตพลังสูงส่งอย่างยิ่ง”
จ้าวเฟิงมีสีหน้ามั่นใจ
พลังมหาศาลของราชันเจาะจงและส่งผลต่ออากาศฝั่งหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิตในนั้นด้วย ต่อให้เป็นยามที่เขาอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ก็ทำได้เพียงแบ่งพลังจักรพรรดิออกเป็นหลายส่วนเท่านั้น
จ้าวเฟิงในตอนนี้ก็สามารถโคจรพลังมหาศาลในฟ้าดินได้ แต่เขายังไม่อยากแสดงออกมากนัก
“เจ้าเด็กนี่…”
ลั่วจุนที่อยู่บนเมฆหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง ถ้าหากเขาเอาพลังราชันปกคลุมทั่วทั้งเมืองสกุลอินก็จะโจ่งแจ้งมากเกินไป อีกทั้งจะกระจัดกระจายไปทั่ว
แกรก! ตู้ม โครม!
ยอดฝีมือหลายคนของตระกูลจ้าวบุกทะลวงเข้าไปในเมืองสกุลอินอย่างไวว่อง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยแปลงกายเป็นเส้นลำแสงสีเทาเงินพุ่งเข้าไปในนั้น
“อ๊าก อ๊าก…“
ในเสียงร้องครวญครางหลายเสียง คนในระดับสูงของสกุลอินที่ยังเหลืออยู่กลายเป็นวิญญาณภายใต้เงื้อมมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
สถานการณ์ไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว คนของเมืองสกุลอินสละค่ายกลและเมือง จากนั้นจึงถอยร่นไปเรื่อยๆ ยอดฝีมือระดับสูงของตระกูลจ้าวได้เตรียมการขัดขวางและล่าสังหารไว้นานแล้ว
ถัดจากนั้นจึงเป็นการฆ่าล้างสังหาร
ถึงขั้นที่ว่าจ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องลงมือ เพียงแค่ต้องพยายามขัดขวางลั่วจุนก็พอ
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน…” ลั่วจุนลอยที่ลอยอยู่บนเมฆสีหน้าดำคล้ำ กระวนกระวายใจ
แต่การล่มสลายของสกุลอิน ทำให้สถานการณ์ของเขาเมฆามีแนวโน้มที่แน่นอนขึ้น
นอกเสียจากว่าจะมีราชันขอบเขตปราณเทวะออกหน้ามาก้าวก่ายโดยตรง หรือไม่ก็สกุลลั่วออกหน้าลงมือ
ทว่าเบื้องหลังของจ้าวเฟิงก็มี ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ ที่ใกล้เคียงกับระดับสามดาว คนธรรมดาจะให้ลงมืออย่างผลีผลามได้อย่างไรกัน
สิ่งที่ทำให้ลั่วจุนกังวลใจที่สุดคือตื้นลึกหนาบางของจ้าวเฟิงที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย
จนถึงตอนที่เมืองสกุลอินถูกตระกูลจ้าวยึดครอง ลั่วจุนก็ยังมองความสามารถจริงๆ ของจ้าวเฟิงไม่ออก ขนาดเจ้าแมวตัวน้อยตัวนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกด้วยเช่นกัน
ต่อมา ตระกูลจ้าวก็เริ่มสรรหาของรางวัลในเมือง
ในที่นี้ตระกูลจ้าวก็ยังคงมีสิทธิ์เลือกก่อน
“ทรัพยากรล้ำค่าศาสตร์วิญญาณที่มีประโยชน์มีน้อยเกินไป แต่โอสถในการฝึกร่างกายและสมบัติในแขนงวารีก็น่าจะได้ใช้ส่วนหนึ่ง” จ้าวเฟิงจัดการของรางวัลส่วนหนึ่ง
ตระกูลจ้าวต้องการรวบรวมเขาเมฆาให้เป็นหนึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องเก็บทรัพยากรส่วนใหญ่ของสกุลอิน ซึ่งจ้าวเฟิงไม่สามารถยึดของเหล่านี้มาเป็นของตนได้
สิ่งที่ดีที่สุดในการคิดจะฟื้นฟูดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง ก็คือของล้ำค่าศาสตร์วิญญาณในขั้นราชัน แต่ว่าของล้ำค่าในศาสตร์วิญญาณระดับนี้ อย่าว่าแต่สกุลอินเลย ต่อให้เป็นสำนักสองสามดาวก็ล้วนแต่มีน้อยนิด
“ลั่วจุน ข้าขอเตือนพวกเจ้าสกุลลั่วให้วางมือซะ มิฉะนั้น บางทีสกุลลั่วอาจจะกลายเป็นสกุลอินแห่งต่อไปก็ได้”
น้ำเสียงบางเบาพลันดังขึ้นเหนือเมฆ
ลั่วจุนที่กำลังจะจากไปร่างกายแข็งค้าง ด้วยเสียงนั้นก็คือคำเตือนของจ้าวเฟิงนั่นเอง