บทที่ 78 : วิชากำแพงเงิน
จ้าวเฟิงกวาดตามองวิชาทั้งหมดและพบว่าวิชาส่วนมากนั้นเป็นวิชาโจมตี มีวิชาเสริมกายาเพียงสองวิชารวมวิชากำแพงเงิน
“วิชาโจมตีและวิชาเคลื่อนไหวต้องไม่ง่ายที่จะฝึกฝนเป็นแน่” จ้าวเฟิงคิดเงียบๆ
ภายในดวงตาซ้ายของเขา เขามีฝ่ามือลมลี้ลับและวิชาเซียนที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสี่ กระบวนท่าลมเคลื่อน กระบวนท่าวายุกรรโชก กระบวนท่าเสี้ยววายุ และกระบวนท่าตัดวายุเพลิง
เพียงแค่วิชาเซียนเหล่านี้จ้าวเฟิงยังใช้เวลานานในการเรียนรู้ ดังนั้นแล้วเขาจึงนำแผ่นหยกที่แทนวิชากำแพงเงินออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว
“เจ้าเลือกวิชากำแพงเงิน?”
องครักษ์สามค่อนข้างประหลาดใจ เขาเคยนำผู้อื่นเข้ามาที่นี่มาก่อนและทั้งหมดล้วนเลือกวิชาโจมตีเช่นฝ่ามือโลหิตเซียนและกรงเล็บมารสวรรค์
หากพวกเขาเรียนรู้วิชาเหล่านั้น พวกเขาย่อมสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนคนอื่นในขั้นเดียวกันได้ทั้งหมด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสามารถเรียนรู้พวกมันได้
“ขอรับ”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างแน่วแน่ เขาเลือกวิชานี้หลังจากคิดมาอย่างมากมาย
“มันง่ายที่จะเรียนรู้วิชาเสริมกายาระดับเซียน ทว่าความยากจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในภายหลังเมื่อเทียบกับวิชาอื่น
กองกำลังกว่านจวินหนุ่มมีรอยยิ้มบางบนใบหน้า เขาชื่นชมการตัดสินใจของอีกฝ่ายเมื่อร่างกายนั้นคือพื้นฐานในการฝึกตน คนผู้หนึ่งสามารถเรียนรู้วิชาอื่นๆ ได้หากร่างกายของพวกเขารองรับพวกมันได้
หลังจากยืนยันวิชาที่ต้องการแล้ว องครักษ์สามจึงได้ส่งตำราที่เขียนด้วยมือให้จ้าวเฟิง เด็กหนุ่มเปิดมันออกและพบกับรายละเอียดที่คล้ายคลึงกับวิชากำแพงเหล็ก ทว่ามันลึกล้ำและซับซ้อนยิ่งกว่า
“แม้ว่ามันจะเป็นเพียงฉบับคัดลอกด้วยลายมือ เจ้าก็ยังต้องคืนมันในเจ็ดวัน เจ้าต้องไม่ให้วิชานี้แก่ผู้อื่นหรือมิเช่นนั้นตำหนักกว่านจวินจะทำลายพลังฝึกตนของเจ้า” องครักษ์แห่งกองกำลังกว่านจวินเอ่ยเตือน
“เข้าใจแล้ว! ทว่าข้าไม่จำเป็นต้องนำตำรานี่กลับไปด้วย” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น
ขณะที่เขาเอ่ยเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็จับจ้องไปยังตำราในมือและพลิกแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ!
ในเสี้ยววินาที รายละเอียดภายในก็ถูกคัดลอกลงในสมองของเด็กหนุ่ม สิบลมหายใจต่อมา จ้าวเฟิงก็ยื่นตำราที่เขียนด้วยมือกลับไปให้องครักษ์สาม
“เจ้า…” ชายหนุ่มนิ่งงันไปเล็กๆ
“ข้าจำมันได้แล้ว” จ้าวเฟิงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
เขาเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน…?
ความตะลึงและนิ่งงันสามารถมองเห็นได้จากแววตาขององครักษ์สาม เขาเคยเห็นอัจฉริยะที่สามารถจดจำทุกอย่างที่ตาเห็นได้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบางคนจดจำตำราทั้งเล่ม
อย่างไรก็ตาม ตำรานั้นประกอบด้วยภาพที่ซับซ้อนและวลี ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยสามารถจบลงด้วยหายนะ กระทั่งอัจฉริยะที่สามารถจดจำสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ในครั้งเดียวยังต้องอ่านมันซ้ำหลายครั้ง
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจำได้หมด? ฮี่ฮี่ ข้าพนันเลยว่าศิษย์น้องเป่ยต้องสนใจ…” กองกำลังกว่านจวินหนุ่มส่งจ้าวเฟิงด้วยสายตาก่อนจะหัวเราะสั้นๆ
เขาเชื่อว่าจ้าวเฟิงได้จดจำได้ทั้งหมดเพราะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านความเย้ายวนของวิชาเซียนได้…
หลังจากออกจากคลังสมบัติ จ้าวเฟิงก็กลับไปยังกองพันองครักษ์ฟ้า ทันทีที่เขาไปใกล้ห้องไม้ของเขา จ้าวหยูเฟ่ยและฮวงชี่ต่างมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง
“ศิษย์น้องเฟิง เจ้าได้อะไรมาจากคลังสมบัติหรือ?” จ้าวหยูเฟ่ยกระพริบตาและรู้สึกสงสัยอย่างมาก
ทุกคนรู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นมีแต้มต่อสู้มากที่สุดในภารกิจ ดังนั้นแล้วเขาจึงได้รางวัลพิเศษ
“ความลับ”
จ้าวเฟิงส่งรอยยิ้มลึกลับให้อีกฝ่ายก่อนจะกลับไปยังห้องไม้ของเขา เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าเขามีวิชาเซียน
ภายในห้องไม้
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิก่อนที่รายละเอียดของวิชากำแพงเงินจะล่องลอยขึ้นในสมอง เขาเรียนรู้มันพร้อมกับเทียบมันกับวิชากำแพงเหล็กในเวลาเดียวกัน
“วิชากำแพงเหล็กนั้นเป็นเพียงฉบับง่ายของวิชากำแพงเงินโดยแท้…”
ความตื่นเต้นลุกโชนในแววตาของจ้าวเฟิง ยิ่งมันคล้ายกันเท่าใด มันก็ยิ่งดีสำหรับเขาเท่านั้นเพราะวิชาใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงนั้นยากที่จะเรียนรู้ ทว่าเป็นเพราะเขาเรียนรู้วิชากำแพงเหล็ก เขาจึงมีพื้นฐานที่มั่นคง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงสามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย
วิชากำแพงเงินนั้นแบ่งออกเป็น 11 ระดับ
3 ระดับแรกนั้นคล้ายคลึงกับวิชากำแพงเหล็กที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ผิวหนังเป็นหลัก ระดับ 4-6 นั้นให้ความสนใจในการเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูกซึ่งช่วยเพิ่มพลังโจมตีและแรงให้กับผู้ฝึก ระดับ 7-9 นั้นให้ความสนใจกับการเสริมความแข็งแกร่งให้อวัยวะและกระตุ้นความสามารถของร่างกายผู้ฝึก คนผู้นั้นสามารถสร้างม่านป้องกันได้จากพลังภายในและป้องกันห่าธนูจากนักธนูนับหมื่นได้
ระดับสิบ: เปลี่ยนแปลงกระดูกและโลหิตอย่างสมบูรณ์ ทะลวงเข้าสู่หนทางแห่งเซียน!
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่รู้จะแสงสีหน้าเช่นไรดี ระดับสิบนั้นได้ทำให้ผู้ฝึกเข้าสู่หนทางแห่งเซียนแล้ว
ระดับสิบเอ็ด: ร่างกายที่สมบูรณ์ เกือบจะไร้ทางทำลาย
จ้าวเฟิงกลั้นลมหายใจขณะที่เขาอ่านมันจากนั้นจึงเปรียบเทียบกับ 7 ระดับของวิชากำแพงเหล็ก
“ดูเหมือนว่าวิชากำแพงเหล็กจากชายชราแขนเดียวนั้นจะมีปัญหามากเพราะมันหายไปอย่างน้อยสามระดับ ทั้งวิชาระดับสูงก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเข้าสู่หนทางแห่งเซียน” จ้าวเฟิงสรุป
เขานั้นกระทั่งสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะครอบครองวิชากำแพงเงิน ทว่าชายชรากลัวเกินกว่าที่จะนำออกมา ทว่าเมื่อคำถามเหล่านี้ไร้ซึ่งคำตอบ เขาจึงไม่สนใจที่จะหาคำตอบ
ในเวลาเดียวกันนั้น จ้าวเฟิงได้เริ่มฝึกฝนวิชากำแพงเงิน เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงในการฝึกฝนสามระดับแรกและเขาไม่อาจอธิบายได้ว่าเขารู้สึกดีมากเพียงใด
มันเป็นสามระดับเดียวกับวิชากำแพงเหล็ก ทว่าล้ำลึกกว่า
จากระดับสี่เป็นต้นไป ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นพลันขยายกว้างขึ้นอย่างมาก ระดับสี่ถึงหกของวิชากำแพงเงินนั้นเทียบเท่าได้กับการฝึกตนขั้นสี่ถึงหกตามลำดับ ไม่เหมือนวิชากำแพงเหล็กที่การเพิ่มพลังนั้นมีความแตกต่างอย่างมากในแต่ล่ะระดับ
ค่ำคืนวันที่สอง
จ้าวเฟิงเข้าสู่ระดับห้าของวิชากำแพงเงินได้สำเร็จก่อนที่ความพัฒนาของมันจะเชื่องช้าลง ทว่าเป็นเพราะเด็กหนุ่มมีวิชากำแพงเหล็กเป็นพื้นฐาน เขาจึงสามารถเข้าสู่ระดับหกได้ในสามวันให้หลัง
“ระดับหกของวิชากำแพงเงิน ข้าสามารถจัดการผู้ฝึกตนทุกคนที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเจ็ดได้ และข้าสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขั้นเจ็ดได้ด้วยเพียงร่างกายของข้าอย่างเดียว” ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกาย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างน้อยกึ่งหนึ่งเพราะพลังภายในและวิชาของเขาต่างใช้ร่างกายเป็นพื้นฐาน
หลังจากเข้าสู่ระดับหก ความพัฒนาของเขาก็เชื่องช้าลงจนกระทั่งเกือบจะหยุด
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าพื้นฐานทั้งหมดของวิชากำแพงเหล็กนั้นได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว เพื่อที่จะพัฒนาวิชานี้ บัดนี้ต้องให้เขาเป็นผู้พยายามด้วยตนเอง
ฟู่ว
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกก่อนหาวออกมา เขาได้ฝึกฝนอยู่สองสามวัน เมื่อเขาออกไปด้านนอกจึงพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในกองพันองครักษ์ฟ้า
กระโจมที่จ้าวหยูเฟ่ยเคยอาศัยอยู่หายไป เหลือเพียงของฮวงชี่
“สองวันก่อน คุณหนูหยูเฟ่ยได้ติดหนึ่งในห้าของสิบองครักษ์ฟ้าและลู่เซียวเหลียนติดหนึ่งในสาม นอกจากนั้นสองในสิบองครักษ์ฟ้าก็เปลี่ยนคนแล้ว…” ฮวงชี่สรุปสถานการณ์
ภารกิจฆ่านั้นได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในสิบองครักษ์ฟ้าเมื่อเด็กหนุ่มสาวบางคนได้รับรางวัลที่ดี ซึ่งทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทว่าไม่มีผู้ใดท้าประลองจ้าวเฟิงเพราะเขาได้ประลองกับเหล่ยเฮาจนเสมอในไม่กี่วันก่อน และถูกเรียกว่าเป็นอันดับสาม
“โอ้ใช่ เจ้าต้องระวังหน่อย เหล่ยเฮาออกจากการฝึกฝนในวันนี้และข้าได้ยินว่าเขาต้องการจะประลองกับเจ้าอีกครั้ง” ฮวงชี่เอ่ยเตือน
เหล่ยเฮา?
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มและไม่ได้เก็บมาใส่ใจ พลังฝึกตนของเขานั้นเหนือกว่าขั้นสุดยอดของขั้นหก ดังนั้นแล้วฮวงชี่จึงไม่รู้ว่าเขาได้ทะลวงขั้นแล้ว วิชากลืนวนาลัยของเขาเองก็ได้เข้าสู่ขั้นหลอมรวมซึ่งทำให้เขาทำได้กระทั่งแกล้งตาย
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ไปถึงยังห้องไม้ที่ห้าและประลองชี้แนะกับจ้าวหยูเฟ่ย เด็กสาวนั้นได้พัฒนาขึ้นอย่างมากโดยการฝึกฝนวิชาระดับสูงสามวิชาซึ่งเป็นวิชาโจมตี วิชาป้องกัน และวิชาเสริมกายาตามลำดับ
เด็กสาวตระกูลจ้าวฝึกฝนวิชาและเพิ่มพลังฝึกตนได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้อื่น หลังจากภารกิจ นางก็ได้ลับฝีมือของนางและความสามารถของนางก็ได้ถูกกระตุ้นซึ่งทำให้นางเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นหก
ขณะที่ทั้งสองประลองกัน เด็กหนุ่มอายุราวๆ 15-16 คนหนึ่งก็ได้มาถึงยังทางเข้าของกองพันองครักษ์ฟ้า
“มีเด็กใหม่มายังกองพันองครักษ์ฟ้าอีกแล้วหรือ?” เด็กหนุ่มสาวบางคนรู้สึกสงสัย
ทั้งสองนั้นแตกต่างกัน คนหนึ่งนั้นหล่อเหลาและง่ายที่จะเข้าใกล้ ในขณะที่อีกหนึ่งนั้นไร้อารมณ์
“อาจารย์จะออกมาในอีกครึ่งเดือน ข้าสงสัยนักว่าในกองพันองครักษ์ฟ้านี้จะถูกเขาเลือกสักกี่คน” เด็กหนุ่มที่ดูเข้าถึงง่ายเอ่ย
เด็กหนุ่มไร้อารมณ์ทำเพียงฟังและไม่เอ่ยอันใด ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันและไปถึงยังหน้าที่พักของสิบองครักษ์ฟ้า
“ศิษย์น้องหก เจ้าไม่ต้องการจะเห็นยอดฝีมือจากสิบองครักษ์ฟ้าหรือ?” เด็กหนุ่มท่าทางน่าเข้าใกล้เอ่ย
“ไม่” เด็กหนุ่มไร้อารมณ์เอ่ย
“อ๋า เจ้าช่างพูดตรงเสียจริง” รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่ถอดถอนใจ
“ผู้ใดกล้าทำตัวหยิ่งยโสที่นี่!?” เหล่ยเฮาเพียงแค่เดินออกจากห้องที่สองและได้ยินข้พอดี
“ชิชิ ขั้นเจ็ด งั้นงั้น” เด็กหนุ่มพูดมากเอ่ยอย่างหยอกล้อ
“ขอข้าเห็นหน่อยว่าสิ่งใดที่ทำให้เจ้าจองหองเพียงนี้”
เหล่ยเฮาส่งฝ่ามือที่ปรากฏวงแหวนพลังภายในตรงไปยังเด็กหนุ่มทั้งสอง หากพวกเขาเป็นผู้ฝึกตน เพียงแค่กระบวนท่านี้ก็สามารถส่งร่างของทั้งสองให้กระเด็นลอยไปได้
ทว่าทั้งสองนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ไสหัวไป!”
เด็กหนุ่มไร้อารมณ์ยืนนิ่งขณะที่เขาปลดปล่อยพลังภายในสีบรอนซ์ออกมาฉีกกระชากการโจมตีของเหล่ยเฮาเป็นเสี้ยว
ตูม
ร่างของเหล่ยเฮาถูกส่งกระเด็นลอยไปพร้อมเสียง ‘แคร่ก’ ห้องไม้เบื้องหลังเขาถูกทำลายลงเช่นกัน