บทที่ 781 ลงชื่อ
ณ จวนอ๋องโหว ภายในลานที่พักสีดอกท้อซึ่งเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้
“เจ้าบอกว่า ‘ลมหายใจเดียว’ ของเด็กคนนั้นทำให้ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนมีวี่แววว่าจะฟื้นอีกครั้งงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคนทั้งสองบรรยายจนจบ หนานเฟิงอ๋องรู้สึกตกใจ
ถ้าหากเป็นท่านหญิงอวี่ชิงเพียงคนเดียว บางทีหนานเฟิงอ๋องอาจจะสงสัยอยู่บ้าง คิดว่านางกล่าวเกินจริงไปเอง แต่องค์ชายแปดได้เห็นด้วยตาของตนเอง เขาไม่ใช่คนที่จะตื่นตูมนัก
“อวี่ชิง คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่รั้งเขาไว้เป็นแขกที่จวนเรา ให้พ่อได้พบเขาด้วยตนเอง?”
หนานเฟิงอ๋องเอ่ยอย่างตำหนิน้อยๆ
ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเป็นเผ่าพันธุ์สายเลือดของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ การหลับในครั้งนี้ช่างหลับลึกอย่างยิ่ง จนเหล่านักฝึกสัตว์ในขั้นอาจารย์หรือปรมาจารย์ล้วนแต่จนปัญญา
เมื่อเอ่ยจบ เขาส่งคนไปเชิญจ้าวเฟิงกลับมา
“ท่านพ่อ…รอก่อน! จ้าวเฟิงบอกว่าจะกลับไปเตรียมตัวก่อน นี่เป็นเพียงการการทดลองเบื้องต้น พวกเราไม่ควรจะไปรบกวนเขา” ท่านหญิงอวี่ชิงเอ่ยคัดค้านอย่างรีบร้อน
“ก็จริง” หนานเฟิงอ๋องผงกศีรษะ
ต่อจากนั้น เขาจึงฟังเรื่องราวเกี่ยวกับจ้าวเฟิงจากท่านหญิงอวี่ชิงและองค์ชายแปด
“หืม? สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น…”
หนานเฟิงอ๋องจึงส่งยอดฝีมือไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในทันที ด้วยต้องการคุ้มครองความปลอดภัยของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเกี่ยวข้องกับการตื่นของ ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ไม่อาจปล่อยให้เกิดปัญหาใดได้
“ถ้าหากสามารถปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ให้ตื่นได้ ข้าก็มีหวังจะกลับไปที่หอศักดิ์สิทธิ์ และกลายเป็นคนควบคุมสถานการณ์ของราชวงศ์ได้…”
หนานเฟิงอ๋องพึมพำในใจ ในส่วนลึกของดวงตาปรากฏแววต่อสู้ขึ้น
ถึงแม้ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนจะไม่ใช่หนอนไหมที่อยู่ในประเภทสู้รบโจมตี แต่มูลค่าและประโยชน์ของมันมีน้อยคนในโลกนี้จะล่วงรู้ได้
อีกฟากหนึ่ง จ้าวเฟิงนั่งวิหคนิลกาฬกลับไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“รอคราวหน้าที่ข้าปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ข้าก็จะได้ทรัพยากรศาสตร์วิญญาณมาจากจวนอ๋องโหว”
จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ
หากจ้าวเฟิงทุ่มเทกำลังทั้งหมด ก็ใช่ว่าไม่สามารถปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ได้ในครั้งเดียว ทำเช่นนั้นแล้วจะเปลืองแรงไป
จ้าวเฟิงจึงกะว่าจะแบ่งทำหลายครั้งจนสำเร็จ
ข้อแรก ไม่สามารถทำให้งานปลุกให้ฟื้นคืนง่ายดายเช่นนั้น
ข้อสอง เขาเอาทรัพยากรล้ำค่าจำนวนมากขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
แต่แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่อาจทำให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไปนานกว่านี้
เวลาเปิดของมิติเทพลวงตาคืออีกไม่ถึงสี่เดือนแล้ว เหลือเพียงแค่ร้อยกว่าวันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงต้องปลุก ‘ไหมเมฆาผีเสื้อเซียน’ ให้ตื่นขึ้นมาภายในเวลาสามเดือน
‘การเตรียมงาน’ ของจ้าวเฟิงก็คือกลับมาฝึกตนก่อนสักพักหนึ่ง
ในวันนั้น จ้าวเฟิงกลับมายังที่พักแล้วจึงปิดผนึกฝึกตน
หลายวันที่ผ่านมา เขาบรรลุภารกิจ ประมูลขายสัตว์วิเศษ รวมไปถึงทำลายสกุลอิน ทำให้ได้ทรัพยากรมาจำนวนไม่น้อย
เพียงเวลาสั้นๆ จ้าวเฟิงก็ไม่ขาดแคลนทรัพยากรอีกต่อไป
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ เบื้องหน้าปรากฏทรัพยากรล้ำค่าในแขนงวารี มีทั้งผลึกเริ่มต้น ของเหลว และของล้ำค่าต่างๆ
ที่เหลือคือโอสถล้ำค่าหายากไว้ใช้ฝึกฝนร่างกายและสมบัติต่างๆ จ้าวเฟิงจัดแจงเรียงไว้หลายชิ้น
ทรัพยากรล้ำค่ากองนี้มากพอจะทำให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดต้องอิจฉาตาร้อน
หากต้องการเพิ่มพลังฝึกตนให้ไวยิ่งขึ้น การหยิบยืมพลังภายนอกจากทรัพยากรเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ที่เขาฝึกฝน มีระดับขั้นสูงส่งอย่างมาก ถึงจะเป็นสำนักสี่ดาวก็หายากยิ่งนัก
ด้วยเพราะฝึกตนใหม่ จ้าวเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปัญหารากฐานไม่มั่นคง
อีกทั้งวิชาหมื่นอัสนีและกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ต้องฝึกฝนคู่กัน จะช่วยส่งเสริมกัน ทำให้พื้นฐานล้ำลึกเกินจะเปรียบ
เวลาหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว สิบวันผ่านพ้นไป
’วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงก็ฝึกฝนมาจนถึงขั้นที่สี่ระดับสุดยอด
ตรงแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณภายในร่างกาย ต้นกำเนิดวารีอัสนีในสถานะของเหลวมีลวดลายสายฟ้าที่งดงามลอยกรุ่นขึ้นมาชั้นหนึ่ง
นับตั้งแต่นั้น วายุอัสนีธาตุน้ำของจ้าวเฟิงก็มีรากฐานและลึกซึ้งในระดับหนึ่ง
ความเร็วและการโจมตีของวายุอัสนีธาตุน้ำ ยังมีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงแข็งอ่อนและแปรสภาพของน้ำด้วย
อีกทั้งวายุอัสนีธาตุน้ำส่งผลลัพธ์ชะล้างที่ดีเยี่ยมต่อกายเนื้อและร่างกาย แล้วยังสามารถขจัดโรคภัยที่มองไม่เห็นด้วย
“ใช้ ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ เป็นอันดับหนึ่งของวายุอัสนีห้าสาย นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย”
จ้าวเฟิงพึงพอใจ
ผลัวะ ~ แซ่ด วิ้ง!
จ้าวเฟิงผายมือออก ของเหลวสีฟ้าเย็นกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นกลางฝ่ามือ
“หอกจักรพรรดิเหมันต์!”
ของเหลวสีฟ้าเย็นเยือกกลุ่มนั้น ปรากฏหอกเหมันต์สีฟ้าด้ามหนึ่งออกมา เกราะรบเหมันต์วารีสีฟ้าเข้มเผยขึ้นบนร่างของจ้าวเฟิงทันที
เกราะรบเหมันต์วารีนี้มีระลอกสายฟ้าและเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมา
การฝึกตนใหม่ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงมีวายุอัสนีธาตุน้ำ จึงทำให้ปลดปล่อยหอกจักรพรรดิเหมันต์สะดวกสบายยิ่งขึ้น
การปรับเปลี่ยนของดวงตาเทพเจ้าทำให้ร่างกายเขามีสายเลือดเหมันต์วารี
ในตอนนี้สามารถปล่อยพลังของหอกจักรพรรดิเหมันต์ได้ดั่งใจนึก
แล้วเวลาหลายวันก็ผ่านไป
‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ หมุนวนรอบกายของจ้าวเฟิง ส่งเสียงดังแซ่ดแซ่ด และกระเพื่อมไม่หยุด
ในวินาทีหนึ่งนั้นเอง
ทั่วร่างของเขามีแสงโลหะสีฟ้าเงินผุดขึ้นชั้นหนึ่ง สว่างเจิดจ้าดุจรูปสลักเงิน
ทันใดนั้น พลังของร่างกายที่ไร้รูปร่างทะลักออกมาจากตัวจ้าวเฟิง
โครม~
ที่พักของจ้าวเฟิงกระเทือนน้อยๆ เพียงแค่ระลอกพลังที่หลงเหลือก็เกือบจะทำให้เรือนนั้นพังทลาย
นี่ยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนจ้าวเฟิงจงใจเก็บงำพลังเอาไว้แล้ว
ในทุกก้อนอิฐและทุกแผ่นกระเบื้องของโลกสำนัก ล้วนแต่มีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา
อย่างเช่นเรือนที่จ้าวเฟิงปิดผนึกฝึกตน สามารถรับแรงโจมตีหลายระลอกจากคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้โดยไม่บุบสลาย
“กายสายฟ้าปฐพีทอง ขั้นที่สี่!” จ้าวเฟิงถอนหายใจออกมายาวๆ
เขาสัมผัสได้ว่าในทุกตารางนิ้วของเลือดเนื้อกระดูกมีพลังมหาศาลซัดสาดราวกับวัวบ้า
ตุบ เคร้ง!
จ้าวเฟิงใช้เศษเสี้ยวอาวุธชั้นพิภพที่แหลมคมชิ้นหนึ่งฟันลงบนหลังมือ แต่กลับปรากฏสะเด็ดไฟออกมา
“ช่างเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังที่ไร้ขอบเขต เกิดความเชื่อมั่นราวกับอยู่เหนือทุกสิ่งขึ้นมา
ในตอนนี้
เขาพึ่งพาเพียงพลังของกายเนื้อ ก็สามารถต้านทานหรือถึงขั้นบดขยี้ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดส่วนหนึ่งได้
หลังจากที่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทะลวงผ่านขั้นที่สี่ จ้าวเฟิงมั่นคงขึ้นอีกขั้น จึงเริ่มฝึกฝนเพิ่มระดับ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’
เพราะว่าสำนึกรู้สูงส่ง จึงทำให้ฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อีกทั้งวิชาในการฝึกฝนร่างกาย การผลักดันจากสำนึกรู้จะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก
ในวันนี้ ที่โถงใหญ่บ้านสกุลลั่ว
คนระดับสูงของตระกูลสิบกว่าคนนั่งรวมตัวอยู่ด้วยกัน
“หึ! ทันทีที่มีแผนการนี้ออกมา ทรัพยากรเหมืองแร่ของตระกูลจ้าวนั่นก็จะไม่มีที่เอาไปวางขาย ไม่เกินครึ่งปี ภายในตระกูลต้องเกิดวิกฤตแน่นอน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…เมื่อบวกกับการลอบโจมตีของ ‘หัวขโมยสามเมฆา’ พวกตระกูลจ้าวไม่เพียงแต่ไม่อาจควบคุมเขาเมฆาได้อย่างแท้จริง เกรงว่าขนาดโอกาสจะฟื้นคืนกำลังก็ยังไม่มี”
ผู้นำสกุลลั่วและผู้อาวุโสหลายคนยิ้มอย่างเหี้ยมโหด
ถึงแม้ว่าในอดีต สกุลลั่วไม่ได้ลงมือทำร้ายตระกูลจ้าวโดยตรง แต่ว่า ‘ลอบกัด’ และ ‘สร้างความวุ่นวาย’ ต่างๆ นานาอย่างลับๆ เพื่อจะตัดกำลังของอีกฝ่าย ทำให้เกิดความแตกแยกภายใน
“ดาบยังไม่ได้ลิ้มรสเลือดก็มีชัยแล้ว ผู้มากประสบการณ์กว่าย่อมล้ำลึกกว่ามาก”
ลั่วจุนที่นั่งข้างกายบิดาโปรยยิ้มสดใส
และในเวลานี้เอง
พลังมหาศาลของราชันอันแปลกประหลาดทะลวงผ่านมาในอากาศ ปกคลุมทั่วทั้งโถงใหญ่สกุลลั่ว
ราชันปราณเทวะ!
หัวใจคนระดับสูงของบ้านสกุลลั่วพลันหนักอึ้งไป
“องค์ชายแปด?”
ลั่วจุนมีสีหน้าแปลกใจ จ้องไปยังชายหนุ่มในชุดคลุมมังกรที่ปรากฏข้างกาย
“ลั่วจุน!”
องค์ชายแปดสีหน้าเคร่งขรึม
“ในตอนนี้ไม่สามารถลงมือทำอะไรตระกูลจ้าวได้ กระทั่งล่วงเกินจ้าวเฟิงก็ไม่ได้ด้วย มิฉะนั้นเกรงว่าจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนให้สกุลลั่ว”
อะไรนะ!
ทันที่เอ่ยออกมา ภายในโถงใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ถ้าหากคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากผู้อื่น คนทั้งหลายคงพ่นลมออกจากจมูกอย่างดูถูก
แต่คนที่พูดเป็นองค์ชายแปดแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน!
เวลาผ่านไปสักพัก ภายในห้องลับของสกุลลั่ว
องค์ชายแปด ลั่วจุน ผู้นำสกุลลั่ว คนทั้งสามรวมตัวปรึกษาหารือกันอย่างลับๆ
“จ้าวเฟิงผู้นั้น…ได้รับความชื่นชมจาก ‘หนานเฟิงอ๋อง’ ขนาด ‘ท่านหญิงอวี่ชิง’ ยังชอบพอเขามากงั้นรึ?” ลั่วจุนสิ้นสติไปเล็กน้อย
ผู้นำสกุลลั่วถึงกับตัวแข็งค้าง แผ่นหลังเปียกโชกด้วยเหงื่อ
หนานเฟิงอ๋องเป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดของดินแดนในละแวกนี้ เป็นพระญาติของเชื้อพระวงศ์ เป็นศิษย์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แห่งต้าเฉียน และยังอยู่ในตำแหน่ง ‘อ๋องโหว’ ที่สูงส่งเกินจะเอื้อม
อีกทั้งตัวของหนานเฟิงอ๋องเป็นจักรพรรดิระดับสูง บวกกับพลังของชะตาที่เป็นอ๋อง จึงทำให้มีอำนาจเกินจะคาดเดา ถึงขนาดที่ ‘องค์ชายแปด’ มายังดินแดนเกาะครั้งนี้เพื่อประจบประแจง ‘หนานเฟิงอ๋อง’ รวมไปถึงขั้วอำนาจที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ราชวงศ์ในปัจจุบันอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญและเปราะบางอย่างยิ่ง
ตามธรรมเนียมแล้ว ‘จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต้าเฉียน’ องค์ปัจจุบัน เหลือไม่ถึงสิบปีก็จะถึงเวลากำหนดห้าร้อยปีแล้ว
ด้วยเพราะฐานะจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ จะได้รับการสนับสนุนจากพลังโชคชะตามหาศาลของทั้งอาณาจักร ตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ ถ้าไม่ใช่ในสถานการณ์พิเศษ โดยปกติจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะไม่อาจดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้
อีกทั้งการถือกำเนิดของ ‘จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์’ คนใหม่ เบื้องหลังล้วนมีการแก่งแย่งต่อสู้ของสำนักมากมาย
ถึงเวลานั้น
ราชวงศ์ในแผ่นดินทวีป ตระกูลชนชั้นสูงส่วนหนึ่ง สำนักสามดาวหรือกระทั่งสี่ดาว ล้วนแต่สามารถเข้าร่วมช่วงชิง ‘ตำแหน่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์’ ได้เช่นกัน
นี่ถือว่าเป็นยุคของความโกลาหลปั่นป่วน องค์ชายแปดเองก็อยากจะเข้าร่วมช่วงชิงด้วย
ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทก็ตาม
นี่เป็นจุดเป้าหมายหลักที่เขามาเยือนดินแดนเกาะเทียนเฟิงในครั้งนี้
เพียงชั่วพริบตาเดียว
เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงออกมาจากจวนอ๋องโหวในคราวก่อน
เดือนนี้ จ้าวเฟิงปิดผนึกฝึกตนอย่างยากลำบาก
ในเวลานี้ พลังฝึกตนของเขากลับมาถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกครั้ง
ยามนี้ ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็เริ่มให้ลงชื่อแล้ว
‘การคัดเลือกเทพลวงตา’ นี้ทำไปเพื่อเอารายชื่อผู้จะเข้าไปใน ‘มิติเทพลวงตา’
ในฐานะที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเป็นสำนักสามดาวในกาลก่อน ย่อมต้องเชื่อมต่อกับการเปิดของ ‘มิติเทพลวงตา’
แต่ทว่าในทุกครั้งที่ ‘มิติเทพลวงตา’ เปิดผนึกออก จะส่งคนเข้าไปได้เพียงหนึ่งร้อยคน
จุดประสงค์ของการคัดเลือกคือจะเลือกคนออกมาหนึ่งร้อยรายชื่อ
จำนวนหนึ่งร้อยรายชื่อนี้ เป็นผู้เยาว์อยู่หกเจ็ดสิบส่วน สามสี่สิบส่วนเป็นผู้อาวุโส
กฎกติกาของแต่ละสำนักและแต่ละขั้วอำนาจไม่เหมือนกัน แต่โดยมากแล้วล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ทั้งสิ้น เพราะอย่างไรพลังของเด็กรุ่นใหม่ก็มีมากกว่า
เบื้องหน้าตำหนักใหญ่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเรียงรายไปด้วยคนต่อแถวยาว
ยอดฝีมือและอัจฉริยะที่เข้าร่วมลงชื่อมีถึงสองพันคน
มิติเทพลวงตาแห่งนี้ไม่มีขีดจำกัดอายุเหมือนมรดกส่วนหนึ่ง
ขอแค่พลังฝึกตนอยู่ต่ำกว่าราชันลงไปก็สามารถลงชื่อได้ทั้งสิ้น
“คนต่อไป” ผู้เฒ่าในชุดลายดอกคนหนึ่งรับลงทะเบียนบนโต๊ะไม้โบราณ
“จ้าวเฟิง” จ้าวเฟิงเดินมายังด้านหน้า หยิบป้ายแทนตนออกมา
“จ้าวเฟิง?”
ผู้เฒ่าชุดลายดอกเหลือบตามองจ้าวเฟิงมากขึ้นอีก
ในช่วงนี้ ชื่อเสียงของ ‘จ้าวเฟิง’ ในสำนักโด่งดังไม่น้อย
ภายในสำนักจะไม่พูดถึงเรื่องวีรกรรมของเขา
ว่ากันว่าช่วงนี้ ‘หนานเฟิงอ๋อง’ ให้ความสำคัญกับนักฝึกสัตว์อัจฉริยะผู้นี้
“การคัดเลือกเทพลวงตายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่า”
หลังจากจ้าวเฟิงลงชื่อเสร็จก็นั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ ลากเงาใหญ่สายหนึ่งออกจากสำนักไปอย่างรวดเร็ว
ในระยะนี้
จ้าวเฟิงได้รับจดหมายจากตระกูลจ้าว ว่ากันว่าสกุลลั่วเดินทางมาถึงที่บ้านเพื่อขออภัยด้วยตนเอง
หลายชั่วยามต่อมา
จ้าวเฟิงนั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ มาถึงจวนอ๋องโหว
ตอนที่จ้าวเฟิงยังมาไม่ถึง จวนอ๋องโหวก็ได้รับข่าวคราวแล้ว
“จ้าวเฟิง!”
ท่านหญิงอวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำด้วยความลิงโลด ใบหน้าระเรื่ออย่างปีติยินดี
แต่ว่าด้านหน้าของจวนอ๋องโหวกลับมีกลิ่นอายที่ตึงเครียด ข้าทาสบริวารในละแวกดังกล่าวล้วนไม่กล้าหายใจแรง
เห็นเพียงชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองท่าทางไม่ธรรมดา ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าจวน
“หนานเฟิงอ๋อง…มารับจ้าวเฟิงด้วยตนเอง!”