บทที่ 789 ยอมแพ้ทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับข่งเฟยหลิง หลิ่วเทียนฝานเตรียมรับมือ เขาระแวดระวังและเคร่งขรึม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การประลองเพิ่งจะเริ่มขึ้น
“เปลวเพลิงคุ้มกาย!”
ทั่วร่างของหลิ่วเทียนฝานปรากฏเกราะอัคคีสีม่วงเข้มขึ้นชั้นหนึ่ง แล้วยังสาดแสงเพลิงรุนแรงออกมา
บางทีอาจเป็นเพราะว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป
จึงทำให้กำลังรบของหลิ่วเทียนฝานที่ปลดปล่อยออกมารุนแรงกว่ายามที่ประลองกับจ้าวเฟิง
พรึ่บ!
ลำแสงหลากสีสว่างวาบ ข่งเฟยหลิงสาวเท้าอย่างสง่างามเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก็ไปอยู่ตรงหน้าหลิ่วเทียนฝาน
ดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ความจริงแล้วเร็วกว่าปีกอัสนีที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกไปเสียอีก
วิ้ง!
เงาขนนกระยิบระยับหลากสีสันผุดขึ้นบนมือขาวนวลของข่งเฟยหลิง ประดุจมวลบุปผาที่ผลิบาน สาดแสงสว่างเจิดจ้าฟาดลงไปที่หลิ่วเทียนฝาน
พู่ว~
หลังจากที่หลิ่วเทียนฝานสร้าง ‘เปลวเพลิงคุ้มกาย’ หมัดสองข้างก็ผลักออกมา กระตุ้นมังกรเพลิงสีม่วงเข้มเผาผลาญสองเส้นสาย เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง พลังอัคคีที่ร้อนระอุนั้นรุนแรงมากพอจะสังหารขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำธรรมดาได้
“ดูไปแล้ว ในตอนที่หลิ่วเทียนฝานประลองกับข้ายังไม่ได้ปลดปล่อยกำลังรบในระดับสุดยอด”
จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พลังฝึกตนของหลิ่วเทียนฝานก็อยู่เหนือกว่าเขามากเกินไป อนึ่งความเร็วและการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิง ก็เป็นปัจจัยจำกัดที่ส่งผลต่อการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
แกรก!
บนลานประลองมีเสียงปริร้าวดังออกมา
หลิ่วเทียนฝานตกใจจนพูดไม่ออก ร่างถอยร่นไปมาก เจ็บปวดเกินจะทน
เห็นเพียงเกราะอัคคีสีม่วงบนร่างของเขา เหมือนถูกข่งเฟยหลิงสะบัดมือผ่านๆ กระแทกใส่จนปริร้าวเป็นชิ้นๆ
ท่วงท่าของข่งเฟยหลิงสง่างาม สงบนิ่ง มือขาวนวลโบกเบาๆ ขนนกแสงหลากสีก็ปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า
เงาสว่างของขนนกนั้นค่อยๆ กลืนกินกลุ่มแสงเพลิงที่ลี้ลับและสูงส่ง มีแนวโน้มเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ
อั่ก!
ยังรับไม่ถึงสามกระบวนท่า หลิ่วเทียนฝานก็กระอักเลือดออกมา
“ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเรียกขานจริงๆ”
“ข่งเฟยหลิงผู้นั้นยังไม่ทันได้ใช้สายเลือดวิถีราชา ก็ลงมือโจมตีจนหลิ่วเทียนฝานไม่อาจโต้กลับได้”
ทั่วทั้งลานประลองตกอยู่ในความตื่นตกใจ
บรรดาลูกศิษย์ต่างตะลึงในความสามารถที่แกร่งกล้าของข่งเฟยหลิง
“ข่งเฟยหลิง ไม่เพียงแต่ไม่ใช้สายเลือดวิถีราชา ทว่ายังไม่ได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดด้วย”
จ้าวเฟิงมองออกได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่า
ความรู้สึกนี้เหมือนสถานการณ์ในตอนที่จ้าวเฟิงประมือกับหวงอวิ๋นหู่
“พอเถอะ! หลิ่วเทียนฝาน พลังของเจ้าไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเท่าไหร่เลยนี่…”
ข่งเฟยหลิงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ทันทีที่เอ่ยจบ พลังครึ่งก้าวสู่ราชันก็ทำให้เค้าร่างของอานุภาพมหาศาลที่ไร้รูปร่างกดดันอากาศทั่วบริเวณ
โครม ตู้ม!
เค้าโครงลำแสงเจ็ดสีขนาดมโหฬารปกคลุมเลือนรางทั่วร่างของข่งเฟยหลิง ขยายออกไปหลายสิบจั้ง ทั้งแข็งแกร่งและตระการตา
“นี่คือสายเลือดวิถีราชาของข่งเฟยหลิง” จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย
“เปรี้ยง!”
ร่างของหลิ่วเทียนฝานเป็นดังแผ่นกระดาษ ถูกข่งเฟยหลิงผลักออกไป เขากระอักเลือดออกมาขณะกระเด็นละลิ่วออกจากลานประลอง
“ข่งเฟยหลิงชนะ!” กรรมการประกาศ
การประลองในครั้งนี้ไม่มีอะไรต้องพะวงทั้งสิ้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะข่งเฟยหลิงอ่อนข้อให้ เกรงว่าหลิ่วเทียนฝานน่าจะรับมือได้ไม่ถึงหนึ่งสองกระบวนท่า
“ข่งเฟยหลิง อัจฉริยะในรายชื่อจักรพรรดิลำดับสองร้อยเก้าสิบแปด”
ในความทรงจำของจ้าวเฟิงมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้น
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีความรุ่งโรจน์และองค์ประกอบของสำนักสามดาว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอันดับแรกจึงไม่ด้อยไปกว่าสำนักสามดาวอื่นๆ
ในอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ พลังฝึกตนต่ำที่สุดอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือไม่ก็ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด
จากจุดดังกล่าวทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ลั่วจุนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจะมีกำลังรบอยู่ในระดับใด
สนามประลองลึกลับ
จากเวลาที่ดำเนินไป จำนวนลูกศิษย์ในสำนักที่ถูกคัดออกก็มากขึ้นเรื่อยๆ
จำนวนสองร้อยก็เหลือร้อยห้าสิบ จากร้อยห้าสิบเหลือเพียงร้อยเดียว อัจฉริยะที่ร่วมประลองยิ่งน้อยลงทุกที
เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จ้าวเฟิงจะเผชิญหน้ากับข่งเฟยหลิงก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย
ตามกฎกติกาจัดสรรในการคัดเลือก คู่ต่อสู้ที่ไม่เคยประมือกันมาก่อนจะเข้าใกล้กันขึ้นมาทุกที
ในที่สุด สองวันก่อนการทดสอบคัดเลือกจะจบลง
จ้าวเฟิงและข่งเฟยหลิงก็เผชิญหน้ากัน
“ข้าสนใจในพลังของเจ้าอย่างยิ่ง” ข่งเฟยหลิงเผยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม
ก่อนที่จะเริ่มทดสอบคัดเลือก พลังครึ่งก้าวสู่ราชันของนางเกิดความรู้สึกประหนึ่งก้อนหินร่วงลงไปในมหาสมุทรยามที่นางหยั่งเชิงจ้าวเฟิง
นางมักรู้สึกว่า ยามที่ประมือกับหลิ่วเทียนฝานยังไม่ใช่ขีดจำกัดและพลังของจ้าวเฟิงจริงๆ
“ข้ายอมแพ้”
จ้าวเฟิงเอ่ยปากบอกกับข่งเฟยหลิงและกรรมการอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วกระโดดลงจากลานประลองไป
เหตุการณ์นี้ทำให้ข่งเฟยหลิงเกิดความรู้สึกสะอึก กระทืบเท้าอย่างรุนแรง
คนเข้าชมการประลองที่เหลือก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา
ในเมื่อจ้าวเฟิงมีความสามารถเทียบเท่ากับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามอันดับแรกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็น่าจะประมือกับข่งเฟยหลิงสักสองสามกระบวนท่าถึงจะถูก
แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่า จ้าวเฟิงจะตัดบทยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้
สองราชันที่ดูแลการทดสอบคัดเลือกภายในมิติลี้ลับก็มีสีหน้าเสียดาย
ราชันปราณเทวะทั้งสองจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าบนร่างของจ้าวเฟิงมีความลับอยู่ เกรงว่าไม่อยากจะเปิดเผยความลับและไม้ตายเหล่านั้น
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความลึกลับของจ้าวเฟิงก็ยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจ
“เฮอะ! รอเข้าไปใน ‘มิติเทพลวงตา’ ก่อนเถอะ ดูๆ ไปแล้วเจ้าคงไม่อยากจะเปิดเผยขีดความสามารถของเจ้า”
ข่งเฟยหลิงส่งเสียงเฮอะเย็นๆ ออกมา แล้วจึงเดินลงจากลานประลองอย่างผิดหวัง
ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น นางที่ฝีมือสูงส่งไร้เทียมทานเกิดความสนใจจ้าวเฟิง ซึ่งเป็นผู้เดียวที่นางมองไม่ทะลุปรุโปร่ง
แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมประมือกับนาง นี่ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก
เวลาสองวันผ่านไป การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาสิ้นสุดลง
ผ่านการคัดออกซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลากว่ายี่สิบวัน ในที่สุดแล้วก็มีลูกศิษย์ยอดฝีมืออย่างแท้จริงหกสิบคนถูกคัดเลือกมา
จ้าวเฟิงกวาดตาดูฝูงชน แล้วมองไม่เห็นศิษย์พี่ ‘วั่นหรง’
ด้วยพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ของศิษย์พี่วั่น ไม่ผ่านการทดสอบคัดเลือกมิติเทพลวงตาก็นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
จุดที่อยู่ในครรลองสายตา ลูกศิษย์ทั้งหกสิบคนมีพลังฝึกตนขั้นต่ำอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หรือไม่ก็ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ลูกศิษย์เหล่านี้มีกำลังรบในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย
หวงอวิ๋นหู่และศิษย์พี่ก่วงก็อยู่ในรายนามด้วย
สวบ! สวบ! สวบ!
ลูกศิษย์ที่ผ่านการทดสอบคัดเลือกค่อยๆ ออกจากมิติลี้ลับ ส่วนพวกที่ตกรอบเดินทางจากไปนานแล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
ลูกศิษย์ยอดฝีมือจำนวนรวมหกสิบคนก็ปรากฏกายขึ้นที่ทิวเขาโบราณ
“ยินดีกับศิษย์น้องจ้าวด้วยที่ผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ เจ้าจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี”
ศิษย์พี่วั่นหรงรออยู่ที่ทิวเขา
ถึงแม้ว่าในใจของนางจะเศร้าสร้อย แต่ว่าการแสดงความยินดีต่อจ้าวเฟิงนั้นกลับออกมาจากใจจริง
จ้าวเฟิงลอบทอดถอนใจ ในตอนนั้นเขาต้องปกปิดความลับของตนเอง จึงใช้วิชาดวงตาควบคุมจิตใจ ทำให้ศิษย์พี่วั่นหรงรู้สึกดีกับตนเอง
แต่ความรู้สึกดีๆ ที่ศิษย์พี่วั่นหรงมีต่อตนเองในวันนี้กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นเติบโตและเก่งกาจขึ้นทีละน้อยในสายตานาง จนกลายมาเป็นดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าในสายตาของคนนับหมื่น
แต่ศิษย์พี่วั่นหรงรู้ตัวดี ระยะห่างระหว่างนางกับจ้าวเฟิงห่างไกลออกไปทุกที
“ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่ามิติเทพลวงตาจะเปิดออก พวกเจ้าจงกลับไป ทำจิตใจให้แน่วแน่ และค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาเสีย”
ราชันทั้งสองคนเอ่ยกำชับสักสองประโยคกลางอากาศเหนือทิวเขา แล้วจึงหายตัวไป
ลูกศิษย์ทุกคนที่ผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือก’ แล้ว จะได้รับข้อมูลลับที่เกี่ยวข้องกับมิติเทพลวงตา
จ้าวเฟิงเองก็ได้รับข้อมูลดังกล่าวด้วย
เมื่อกวาดตาอ่านข้อมูลลับที่ว่าของมิติเทพลวงตาคร่าวๆ จ้าวเฟิงอดจะสั่นศีรษะไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าข้อมูลชุดนี้ด้อยกว่าข้อมูลที่หนานเฟิงอ๋องให้เขามาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือความลึกซึ้งล้วนห่างชั้นกันเป็นอย่างยิ่ง
จ้าวเฟิงคาดว่า ลูกศิษย์ของจักรพรรดิหรือไม่ก็ราชันทั้งหลายจะได้รับข้อมูลลับในขั้นลึกกว่ามาก
จ้าวเฟิงเข้าใจปรุโปร่งในข้อมูลเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาของราชวงศ์ฉบับนั้นนานแล้ว
เหมือนกับที่หนานเฟิงอ๋องเอ่ยไว้ไม่มีผิด คนภายนอกมีความเข้าใจไม่ถึงหนึ่งในสิบของ ‘มิติเทพลวงตา’ ด้วยซ้ำไป
“ยังมีเวลาอีกเดือนกว่า ก่อนจะถึงเวลานั้นต้องเพิ่มพลังฝึกตนระดับพื้นฐานก่อน” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
เมื่อกลับไปที่พัก จ้าวเฟิงรีบตั้งป้ายตราแล้วปิดผนึกฝึกบำเพ็ญตน
หนึ่งเดือนต่อจากนั้น
จ้าวเฟิงสงบจิตใจฝึกตนเมื่อมีทรัพยากรที่เต็มเปี่ยม พลังฝึกตนจึงย่อมพัฒนาไปราวติดปีก
หนึ่งเดือนต่อมา
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง
แน่นอนว่าพลังฝึกตนที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังย่อมสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมหาศาล
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิง ทั้งวิชา ส่วนประกอบ และความเชี่ยวชาญก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นทุกที
แต่ในวันนี้ วิชาวายุอัสนีของเขาติดอยู่ที่ขั้นที่ห้าระดับสุดยอด ยังไม่ทะลวงผ่านไปขั้นที่หกสักที
“เป็นเพราะพลังฝึกตนจำกัดความเร็วในการพัฒนาวิชาวายุอัสนีเอาไว้” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
ถ้าหากเขาฝึกร่างกายไปจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง หรือกระทั่งจุดสุดยอดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย บางทีวิชาวายุอัสนีอาจทะลวงผ่านขั้นที่หกไปได้
ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’
เมื่อผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ จ้าวเฟิงจึงค่อยๆ เข้าใจข้อดีของการมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของร่างกายจะทะลวงต่อสู้ได้อย่างไร้กังวล มองข้ามขอบเขตพลังและสายเลือดของฝ่ายตรงข้าม สามารถกดดันได้โดยตรง
เด็กน้อยครึ่งเซียนในยามก่อนก็เป็นเช่นนั้น
ตอนที่เด็กน้อยครึ่งเซียนมีพลังฝึกตนในขั้นราชัน แก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถกดดันกายเนื้อของจักรพรรดิแห่งความตายได้
แต่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่ากายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทองเสียอีก
กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่จ้าวเฟิงฝึกฝนยังแฝงไปด้วยธาตุ ‘สายฟ้า’ เมื่อมาถึงระดับขั้นหนึ่งแล้ว ทุกที่ที่กายเนื้อผ่านไป สรรพชีวิตนับหมื่นก็จะโดนพลังอัสนีในร่างกายเผาผลาญจนไหม้ดำ
ถึงกระทั่งว่าจ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องลงมือ คู่ต่อสู้ที่โจมตีเขาก็จะกลายเป็นฝุ่นธุลี
ในภายหน้า ตามความสมบูรณ์แบบของวิชาวายุอัสนีห้าสาย กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะมีแรงต้านทานที่แกร่งกล้าต่อการโจมตีของพลังทั้งห้าธาตุ
วันนี้ จ้าวเฟิงฝึกฝนเพียงวายุอัสนีธาตุน้ำสำเร็จ จึงทำให้มีแรงต้านทานการโจมตีแขนงเหมันต์วารีได้ในระดับหนึ่ง
ถ้าหากว่าเขายังสามารถฝึกวายุอัสนีธาตุไม้กับวายุอัสนีธาตุไฟ แล้วหลอมรวมเข้าในร่าง ก็จะมีแรงต้านทานต่อธาตุที่ข่มกัน
ในฐานะที่เป็น ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ จึงมีแรงต้านทานแข็งแกร่งที่สุดกับการโดนโจมตีจากอัสนี หรือกระทั่งสามารถดูดซึมพลังอัสนีได้
ในตอนแรก เหลยเจิ้นจากสำนักหมื่นอัสนีก็สามารถดูดซึมการโจมตีจากวายุอัสนีของจ้าวเฟิงได้
“ทันทีที่ฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ไปจนถึงระดับสูงแล้ว ในอนาคตสักวัน ความสามารถของข้าที่จะรับมือกับด่านเคราะห์เซียนจะต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่”
จ้าวเฟิงมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
เวลาโบยบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ เวลาเปิดมิติเทพลวงตาก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ
หลายวันสุดท้าย
จ้าวเฟิงจึงหยุดการฝึกฝนเอาไว้ แล้วเข้าไปสำรวจภายในห้วงฝันบรรพกาลเพื่อเก็บกักไอสวรรค์ในฟ้าดินของที่นั่นเอาไว้
สายเลือดและร่างกายของเขาอยู่ในระดับการย้อนคืนสู่รูปแบบดั้งเดิม และก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
หลายวันมานี้ ‘สายเลือดวิถีราชา’ ที่จ้าวเฟิงมี ระดับการตื่นและระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดก็กำลังเพิ่มขึ้น
คืนก่อนที่มิติเทพลวงตาจะเปิดออก
บนหอบูชาสีดำมืดแห่งหนึ่ง ณ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ยอดฝีมือจำนวนร้อยคนของสำนักล้วนแต่รอคอยอยู่อย่างเงียบๆ
“มิติเทพลวงตากำลังค่อยๆ เปิดออกทับซ้อนกับฟ้าดินในบริเวณรอบๆ ดินแดนทวีป”
“เวลาในการเชื่อมต่ออาจจะเกิดขึ้นก่อน หรือบางทีอาจจะช้าไปก็ได้”
เสียงพูดคุยแผ่วต่ำดังขึ้นจากยอดฝีมือของสำนักที่อยู่ในเหตุการณ์
จ้าวเฟิงมองประเมินอย่างคร่าวๆ ในร้อยรายชื่อของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น มียอดฝีมือในวัยอาวุโสอยู่สามสิบห้าคน
สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ
ในคนพวกนี้ยังมีราชันชราในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่ง อายุก็ไม่ได้ชรามากนัก เพิ่งจะห้าหกสิบเท่านั้น
จ้าวเฟิงเดาว่า สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นน่าจะมีวิธีการอะไรและจ่ายค่าตอบแทนอะไร ถึงทู่ซี้เอาราชันในขอบเขตปราณเทวะส่งเข้าไปถายในมิติเทพลวงตาได้
“เวลานี้ สำนักส่วนหนึ่ง ตระกูลชนชั้นสูง รวมไปถึงราชวงศ์ในดินแดนทวีป ก็น่าจะเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว พวกเราอยู่ในละแวกทะเลจึงจะช้าไปวันหนึ่ง…”
แถวหอบูชา เงาที่อยู่ในแสงสว่างเจิดจ้าหลายร่างเอ่ยเสียงต่ำ