บทที่ 790 รวมพลทั้งแผ่นดิน
ในหมู่ตำหนักที่ลอยอยู่หนือชั้นเมฆบนยอดเขาของราชวงศ์ต้าเฉียน
บนวงแหวนทรงกลมขนาดใหญ่สีส้มทอง ปรากฏอุโมงค์ทางเดินสีขาวสุกสว่างที่พร่าเลือนเล็กน้อย ตั้งอยู่ระหว่างรูปธรรมและความว่างเปล่า
“มิติเทพลวงตาเชื่อมต่อได้แล้ว!”
เสียงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าและดิน ขนาดราชันจำนวนนับสิบและจักรพรรดิหลายคนยังใจสั่นไหว
“คนแรก เซวียนหยวนเหวิน!”
มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอุโมงค์สว่างจ้า ท่าทางสุภาพเรียบร้อย มองดูแล้วเหนียมอายอยู่บ้าง
แต่ทว่า
ลูกศิษย์และยอดฝีมือจำนวนนับร้อยที่รอคอยคำสั่งใน ‘วังลอยฟ้า’ ไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา ในแววตายังเผยแววเคารพนับถืออย่างลึกซึ้งออกมา
เซวียนหยวนเหวินและศิษย์หนึ่งหญิงหนึ่งชายทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนแต่อยู่ในขั้นราชันขอบเขตปราณเทวะ
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ข้าขอตัวไปก่อน”
เซวียนหยวนเหวินมีท่าทีสุภาพ ในรอยยิ้มเจือความเหนียมอายขณะทำความเคารพต่อฝูงชน
“ท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
สุดท้ายแล้วเขามองขึ้นบนฟ้าไปยังผู้เฒ่าที่พลังฝึกตนแตะขั้น ‘ครึ่งเซียน’ เป็นอย่างน้อย แต่กลับเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นหนึ่ง
กลิ่นอายของผู้เฒ่าผู้นั้นเรียบเฉยปกติ เหมือนกับคนทั่วไป
โครม พรึ่บ~
ในขณะที่เซวียนหยวนเหวินก้าวเข้าสู่อุโมงค์ อากาศสั่นสะเทือน กลางลำแสงแวววาวสีขาวมีรอยปริร้าวออกมาเป็นเส้นๆ
“เซวียนหยวนเหวินไม่ใช่ราชันธรรมดา เหนือกว่าขีดจำกัดของอุโมงค์แล้ว”
“หากเปลี่ยนเป็นสำนักระดับสามดาวแห่งใด เกรงว่าไม่น่าจะกล้าทำการทดสอบเช่นนี้”
ราชันและจักรพรรดิส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ วงแหวนสีส้มทองขนาดมโหฬารเอ่ยถกกันลับๆ
ในสถานการณ์ปกติ
ด้วยระดับขั้นพลังของเซวียนหยวนเหวิน หากฝืนเข้าไปในอุโมงค์ ก็จะถูกพลังมิติบดละเอียด ฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ในช่วงเวลาอันตรายนั้น
วิ้ง!
แผ่นหยกประหลาดบนร่างของเซวียนหยวนเหวิน สาดลำแสงสีขาวราวกับระลอกน้ำ เมื่อพลังฉีกทึ้งของมิติปะทะร่างเขาก็จะหลอมละลายไปในทันที
“ชิ้นส่วนอาวุธเทพบรรพกาล!”
ในบริเวณใกล้เคียงของวงแหวนดังกล่าวมีเสียงร้องตกใจลอยมา
อาวุธเทพเจ้า นั่นเป็นขอบเขตของเทพเซียน!
มิติเทพลวงตาเป็นมิติเก่าแก่ที่เทพบรรพกาลหลงเหลือเอาไว้ มีเพียงพลังของเทพถึงจะรับมือได้
พรึ่บ!
เซวียนหยวนเหวินอาศัยพลังของชิ้นส่วน ‘อาวุธเทพบรรพกาล’ ป้องกันร่างกาย แล้วจึงหายตัวไปตรงสุดทางอุโมงค์
“การส่งคนที่เกินขีดจำกัดเข้าไปมีข้อเสียอย่างหนึ่ง นั่นก็คือจะถูกส่งไปที่มุมใดๆ ของมิติเทพลวงตา จะไม่ได้อยู่รวมกันกับคนอื่นๆ” จักรพรรดิปราณเทวะกล่าวออกมาเสียงเบา
พรึ่บ พรึ่บ!
ราชันปราณเทวะชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังของเซวียนหยวนเหวิน ก็อาศัยวิธีการของตนเข้าไปภายในมิติเทพลวงตา
สกุลตวนมู่ ราชวงศ์ต้าเฉียน
บริเวณท้องฟ้าเหนือทะเลสาบสีฟ้าสว่าง ก็ปรากฏอุโมงค์สุกใสสีมรกตอีกแห่งหนึ่ง
“หยู่เฟย เตรียมตัวพร้อมหรือยัง โอกาสและอันตรายที่อยู่ในมิติเทพลวงตามีมากกว่าอุทยานครึ่งเซียนที่ผ่านมามากมายนัก”
ตวนมู่ชิงเอ่ยพลางยิ้ม
ด้านล่างของทางเดินมรกตมีกลุ่มลูกศิษย์และยอดฝีมือของตระกูล
คนแรก เป็นหญิงสาวงามสง่าราวเซียน ผิวพรรณทั่วร่างกายขาวราวหิมะ เปล่งแสงสว่างน้อยๆ เป็นดังรูปสลักเซียนที่ละเอียดอ่อน สมจริงราวมีชีวิต
“เตรียมตัวพร้อมแล้ว”
จ้าวหยู่เฟยยิ้มแย้ม ความงามอย่างยิ่งทำให้คนทั้งหมดในที่นั้นตกตะลึง
นางเดินไปยังอุโมงค์มรกตอย่างช้าๆ
อุโมงค์สีมรกตสงบนิ่งดังเก่า ไม่มีแรงสั่นสะเทือนหรือความผิดปกติใดๆ
“เหลือเชื่ออย่างยิ่ง! มีพลังฝึกตนของราชันปราณเทวะ ทว่าสามารถเดิมข้ามอุโมงค์อย่างง่ายดายเช่นนี้”
“สตรีนางนี้มีสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ จริงๆ สกุลตวนมู่ของข้ามีหวังที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งแล้ว…”
เงาของผู้อาวุโสส่วนหนึ่งจากสกุลตวนมู่มีสีหน้าตื่นเต้น
ด้วยพลังของสกุลตวนมู่ อย่างมากที่สุดคือส่งราชันธรรมดาเข้าไปได้คนหนึ่ง
แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ของจ้าวหยูเฟย ทำให้พวกเขาสามารถประหยัดรายชื่อไปได้หนึ่งรายนาม
“เผ่าพันธุ์วิญญาณใกล้ชิดกับพลังฟ้าดินเกินจะเปรียบ ไม่นานนักหยูเฟยก็จะสามารถก้าวหน้าไปถึงขั้นจักพรรดิปราณเทวะได้”
ตวนมู่ชิงมองตามเงาของจ้าวหยูเฟยที่ค่อยๆ เลือนรางหายไป ด้วยความรู้สึกที่ฝากความหวังเอาไว้
ชางไห่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ว่านกู่
ลูกศิษย์และยอดฝีมือของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินและสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายรวมๆ กันแล้วมีจำนวนสองสามร้อยคน
“เวลาที่ทางพวกเราเชื่อมต่อ จะช้ากว่าดินแดนทวีปเล็กน้อย ต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะเชื่อมต่อได้”
“พวกเราสองสำนักใหญ่ในระดับสามดาวร่วมมือกัน ก็พอจะฝืนส่งตัวอัจฉริยะในขั้นราชันสองคนอย่างหนานกงเซิ่งและเมิ่งซีเข้าไปข้างในได้”
คนในระดับสูงของสำนักใหญ่ทั้งสองหารือกันเสียงเบา
อาณาเขตที่มิติเทพลวงตาสามารถเชื่อมต่อได้กว้างใหญ่อย่างยิ่ง
ไม่ได้มีเพียงแต่ดินแดนทวีปที่เชื่อมต่อได้ ขั้วอำนาจรอบพื้นที่มหาสมุทร ขอแค่แข็งแกร่งมากพอก็สามารถเชื่อมต่อเช่นกัน
แต่ฝั่งชางไห่ เนื่องจากสาเหตุของเงื่อนไขและระยะทาง จึงมีเพียงสำนักระดับสามดาวสองสามแห่งที่ความสามารถเชื่อมต่อกับมิติเทพลวงตาได้
แต่ในฟากของดินแดนทวีป สำนักสองดาวที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่งก็ยังพอเชื่อมต่อได้
พูดได้ว่า ผู้ที่เข้าไปในมิติเทพลวงตาล้วนเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะของดินแดนทวีปและขั้วอำนาจในบริเวณรอบๆ
ลักษณะเช่นนี้ ความรุ่งโรจน์เช่นนี้ จึงทำให้แทบจะไม่มีมรดกหรือมิติลี้ลับใดเทียบเคียงได้กับ ‘มิติเทพลวงตา’
บนแท่นบูชาสีดำขนาดมโหฬารของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
กลุ่มลูกศิษย์และยอดฝีมืออาวุโสของสำนักกำลังรอคอย
“บางทีขั้วอำนาจส่วนหนึ่งของดินแดนทวีปอาจจะเชื่อมต่อได้สำเร็จแล้ว แต่พวกเราฝั่งนี้ยังคงต้องรออีกสักพัก” หลิ่วเทียนฝานยืนอมยิ้มอยู่ข้างจ้าวเฟิง
ใน ‘การทดสอบคัดเลือก’ ทั้งสองต่อสู้ได้ผลออกมาเสมอกัน
หลิ่วเทียนฝานไม่เพียงแต่ไม่โกรธเกรี้ยวหรือเคืองแค้น ทว่ายังผูกมิตรกับจ้าวเฟิงก่อนอีกด้วย
ความไม่หยิ่งทะนงตนของหลิ่วเทียนฝานทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกดีอย่างยิ่ง และยังรับทราบสถานการณ์ส่วนหนึ่งของขั้วอำนาจราชวงศ์จากเขา
“ราชวงศ์ต้าเฉียน ราชวงศ์จันทราทมิฬ พื้นที่รอบทะเล รวมไปถึง ‘สำนักระดับสี่ดาว’ ที่สูงส่งเกินเอื้อม อัจฉริยะและยอดฝีมือของพวกเขาล้วนแต่เข้าไปในมิติเทพลวงตา”
หลิ่วเทียนฝานเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ขั้วอำนาจที่เชื่อมต่อได้ ต่ำที่สุดคือสำนักระดับสองดาวหรือขั้วอำนาจในระดับสองดาว
ในบรรดาขั้วอำนาจที่สูงส่งเหล่านี้ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเล็กจ้อยยิ่งนัก
จ้าวเฟิงยิ่งตระหนักได้ว่า การเปิดออกของมิติเทพลวงตาแห่งนี้มีลักษณะยิ่งใหญ่มากขนาดไหน
เมื่อเปรียบกันไปแล้ว มิติลี้ลับและมรดกส่วนหนึ่งที่เขาเคยเข้าไปในยามก่อนล้วนเป็นเพียงการเล่นขายของก็เท่านั้น
ก่อนการเชื่อมต่อ
ราชาผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นอธิบายเรื่องที่ควรระวังให้ทุกคนฟัง
ก่อนอื่นก็คือปัจจัยอันตรายส่วนหนึ่งในมิติเทพลวงตา
“อย่างที่สอง สำนักในระดับสามดาวรวมไปถึงขั้วอำนาจที่เหนือกว่า อย่างเช่นราชวงศ์ แปดตระกูลชนชั้นสูง สำนักสี่ดาว พวกเจ้าอย่าไปก่อเรื่องด้วยแล้วกัน”
ราชันผู้นั้นเอ่ยเตือนอย่างเข้มงวด
ที่แท้ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไม่ใช่สำนักใหญ่ระดับสามดาวในยามรุ่งโรจน์แล้ว
อย่างแรกเลยคือ ยอดฝีมืออัจฉริยะของสำนักระดับสามสี่ดาว ความน่ากลัวของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่สำนักสองดาวจะเปรียบเทียบได้
ถึงอยู่ในขั้นพลังฝึกตนเหมือนกัน ความสามารถของอัจฉริยะก็จะแตกต่างกันค่อนข้างมากอยู่ดี
พูดย้อนกลับไปก็คือ
หากว่าไม่ระวัง พลั้งเผลอไปสังหารคนในราชวงศ์หรือไม่ก็ยอดฝีมือคนสำคัญที่ถูกฟูมฟักโดยสำนักสี่ดาว เช่นนั้นแล้ว เกรงว่ารังแต่จะนำภัยพิบัติมาสู่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“แน่นอนว่าขั้วอำนาจของระดับสามดาวและสี่ดาว อันที่จริงแล้วยังมีจำนวนน้อยนัก พวกเจ้าอยู่ภายในมิติเทพลวงตาจะได้เจอกับขั้วอำนาจของสำนักสองดาวส่วนหนึ่งเสียมากกว่า…” ราชันผู้นั้นหยุดชะงัก
ในราชวงศ์ของดินแดนทวีปมีจำนวนของสำนักระดับสามดาวน้อยนิดยิ่งนัก
สำหรับสำนักสี่ดาว อัตราส่วนที่จะได้เผชิญหน้ากันในมิติเทพลวงตาถือว่าน้อยนิดอย่างยิ่ง
เวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
ระลอกมิติที่แปลกประหลาดเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเหนือแท่นบูชาสีดำสนิท
หากว่าประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงไม่แกร่งกล้า ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถสัมผัสได้
“เชื่อมต่อได้แล้ว!” ราชันปราณเทวะส่วนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต่างพากันตื่นตระหนก
ในทันทีทันใด ค่ายกลก็เปิดออก ด้านบนของแท่นสีดำสนิทปรากฏอุโมงค์สีทองแห่งหนึ่ง ซึ่งเหมือนจะเชื่อมต่อไปจนถึงกลางอากาศได้
“อวิ๋นฮ่าว เตรียมพร้อมแล้ว”
แววตาของราชันปราณเทวะหลายคนรวมถึงจักรพรรดิคนหนึ่งทอดมองไปยังบุรุษหนุ่มคนแรก
อวิ๋นฮ่าวผู้นั้นเป็นรายชื่อพิเศษรายชื่อหนึ่งในยอดฝีมืออาวุโส
การทดสอบคัดเลือกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แบ่งออกเป็นรุ่นอาวุโสและรุ่นเยาว์
อายุต่ำกว่าห้าสิบปีนับเป็นรุ่นเยาว์วัย
อายุมากกว่าห้าสิบขึ้นไปเป็นรุ่นอาวุโส
อวิ๋นฮ่าวมีอายุห้าสิบหกสิบปีพอดี แต่กลับมีพลังฝึกตนของราชันในขอบเขตปราณเทวะ พรสวรรค์ที่แฝงไว้โดดเด่นอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นฝึกฝนเขาเป็นจุดสำคัญ
“ผู้อาวุโสอวิ๋นฮ่าว! ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
ลูกศิษย์ผู้เยาว์ส่วนหนึ่งบนแท่นดังกล่าวเคารพนับถือในตัวอวิ๋นฮ่าวอย่างยิ่ง
ข่งเฟยหลิงและอวิ๋นฮ่าว เป็นตัวแทนยอดฝีมืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ในความเป็นจริงแล้ว ข่งเฟยหลิงครอบครองสายเลือดวิถีราชา พลังที่แท้จริงไม่ได้ต่างกับราชันปราณเทวะมากนัก
คนแรกที่เข้าไปก็คืออวิ๋นฮ่าว
เวลานี้ผู้อาวุโสราชันบางส่วนในสำนักจับจ้องอย่างจดจ่อ
เฮือก!
อวิ๋นฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึก ย่างเท้าเข้าไปอุโมงค์สีทองอ่อนนั้น
พรึ่บ สวบ!
เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไป อุโมงค์สีทองอ่อนแห่งนั้นก็มีแนวโน้มที่ไม่มั่นคง
“ตรึงค่ายกลเอาไว้ให้มั่น!”
ในละแวกของแท่นบูชาสีดำสนิท จักรพรรดิผู้หนึ่งและราชันทั้งแปดร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียง
อุโมค์สีทองอ่อนนั้นจึงมั่นคงขึ้นเล็กน้อย
บนหน้าผากของอวิ๋นฮ่าวปรากฏเหงื่อเย็นไหลออกมา แล้วรีบเข้าไปภายในอุโมงค์สีทองอย่างรวดเร็ว
เงาของเขากลืนหายไปสุดทางเดินของอุโมงค์สีทองอ่อน
จักรพรรดิผู้หนึ่งและราชันทั้งแปดในขอบเขตปราณเทวะสีหน้าซีดเผือด ท่าทางราวกับว่าสิ้นเปลืองไอสวรรค์ไปมากอย่างยิ่งยวด
ในขณะที่คนมากมายเข้าใจว่าอวิ๋นฮ่าวจะทำสำเร็จนั้นเอง
“อ๊าก…”
เสียงร้องโอดครวญของอวิ๋นฮ่าวดังขึ้นในทันใด และรอยแยกมิติที่ปรากฏขึ้นในฉับพลันก็กระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
รอยปริร้าวของมิติราวกับใยแมงมุม สาดซัดกลิ่นอายต้องห้ามออกมา
ลูกศิษย์และผู้อาวุโสในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่ในสถานการณ์ต่างพากันสูดลมหายใจด้วยความตกตะลึง
“ล้มเหลวเสียแล้ว…ชะตาของอวิ๋นฮ่าวไม่ดีเลย”
“อย่างไรสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ไม่ได้เป็นสำนักระดับสามดาวดังยามก่อนแล้ว”
บนตำแหน่งเดิมหลงเหลือเสียงร้องโหยหวนทิ้งเอาไว้
ยิ่งพลังฝึกตนสูงส่งเท่าไหร่ โอกาสที่จะสำเร็จก็ยิ่งต่ำลงไป
นอกเสียจากว่าขั้วอำนาจของสำนักแข็งแกร่งจะอย่างยิ่ง หรืออาจมีพื้นฐานสายเลือดพิเศษอย่าง ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ หรือถึงกระทั่ง ‘กายจิตว่าง’ ของหนานกงเซิ่งที่มีความสอดคล้องกับมิติอย่างมาก จึงพอจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จได้
จากนั้นสักพัก เมื่อค่ายกลบนแท่นสีดำสนิทมั่นคงแล้วจึงเริ่มส่งคนเข้าไปต่อ
คนที่สองก็คือข่งเฟยหลิง
ข่งเฟยหลิงมีพลังฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน แต่กลับเดินจนหายไปสุดทางเดินของอุโมงค์อย่างราบรื่นปลอดภัย
“ยังดีที่ข่งเฟยหลิงไม่เป็นอะไร”
เหล่ายอดฝีมือสำนักถอนหายใจยาวออกมา ข่งเฟยหลิงที่มีสายเลือดวิถีราชา ย่อมมีคุณสมบัติของพลังแฝงสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
บริเวณแท่นบูชาสีดำ ลูกศิษย์สำนักและยอดฝีมือของสำนักล้วนแต่หายไปจนสุดอุโมงค์
นับจากนั้นก็ไม่มีเสียงกรีดร้องของ ‘อวิ๋นฮ่าว’ ปรากฏออกมาอีก
ในเวลานี้ก็วนมาถึงตาของจ้าวเฟิงเดินเข้าอุโมงค์
“ระดับขั้นดวงวิญญาณของข้าไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความแข็งแกร่ง…”
จ้าวเฟิงยังกังวลเล็กน้อย
ตามทฤษฎีแล้ว พลังฝึกตนของเขาอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร แต่ว่าแรงแบกรับของอุโมงค์ก็สัมพันธ์กับพลังดวงวิญญาณด้วย
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดเก็บงำไว้จนถึงขีดสุด แล้วจึงก้าวเข้าไปในอุโมงค์อย่างระมัดระวัง
แต่ทว่า
เมื่อเดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนน้อยๆ ของอุโมงค์เชื่อมต่อแห่งนั้น หัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ