Skip to content

King of Gods 793

King Of Gods

บทที่ 793 มนุษย์แมงป่องที่แข็งแกร่ง

พื้นที่ด้านหน้าคือถิ่นที่ตั้งของมนุษย์กิ้งก่า!

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลิ่นอายของไฟที่ร้อนระอุก็โชยมาปะทะเข้าเต็มหน้า

ในเวลาดังกล่าวมีกองกำลังจำนวนห้าหกสิบคนกำลังลงมือสังหารมนุษย์กิ้งก่า

มนุษย์กิ้งก่าเหล่านั้นมีร่างกายใหญ่กว่ามนุษย์หมาป่า ผิวหนังหยาบกระด้าง สามารถพ่นไฟร้อนและไฟพิษ

ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ การโจมตีของขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของมนุษย์กิ้งก่าได้

แต่กลับเป็นไฟร้อนและไฟพิษของมนุษย์กิ้งก่าที่ยากจะต่อกร ทันทีที่โดนเข้าไป หากไม่ตายก็ผิวไหม้หนังลอก

กองกำลังของมนุษย์นี้ ในกลุ่มลูกศิษย์รุ่นใหม่ๆ มีบุรุษหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่งเป็นครึ่งก้าวสู่ราชัน ส่วนในรุ่นอาวุโสก็มีครึ่งก้าวสู่ราชันถึงสองคน

กองกำลังนี้มีความสามารถทั้งหมดและจำนวนคนด้อยกว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็น ‘วังสุริยันม่วง’ ที่อยู่ในละแวกดินแดนเกาะใหญ่”

ผู้เฒ่าเฟ่ยถอนหายใจโล่งอก หรี่ตาลงเล็กน้อย

วังสุริยันม่วงจัดเป็นสำนักระดับสองดาวอยู่ใกล้เคียงดินแดนเกาะเทียนเฟิง

ตามลักษณะพิเศษของมิติเทพลวงตา สำนักที่อยู่ในพื้นที่เชื่อมต่อละแวกเดียวกัน หลังจากที่เข้ามาในมิติแล้วก็จะอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

ด้วยเหตุนี้ การปรากฏตัวของวังสุริยันม่วงก็ถือว่าสมเหตุสมผล

สิ่งที่ผู้เฒ่าเฟ่ยกังวลใจจริงๆ ก็คือการต้องเผชิญหน้ากับสำนักสามดาวหรือว่าขั้วอำนาจอื่น

บางครั้งหากเผชิญหน้ากับราชันปราณเทวะที่อยู่เพียงลำพังก็ยากจะจัดการเช่นกัน

“สหายจากสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เป้าหมายของทุกคนล้วนแต่เหมือนกัน รีบมาช่วยพวกเราเร็ว”

บรรดายอดฝีมือและลูกศิษย์ของวังสุริยันม่วงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

มนุษย์กิ้งก่าเหล่านี้หนังหนาเนื้อเหนียว อัคคีพิษที่พ่นออกมาชวนให้ปวดหัว

“ทะลวงผ่านพื้นที่ของมนุษย์กิ้งก่าไปพร้อมกัน” ผู้เฒ่าเฟ่ยไม่ลังเลเลย

ในดินแดนเกาะใหญ่ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและวังสุริยันม่วงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่าไรนัก

แต่ตอนนี้เป็นช่วงรับมือกับเผ่าพันธุ์อื่นด้วยกันและค้นหาโอกาสต่างๆ ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันจะสามารถลดอัตราการตายได้

การเข้าร่วมของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นทำให้แรงกดดันของวังสุริยันม่วงลดลงไปมาก

การโจมตีประเภทวารีส่งผลต่อกิ้งก่าได้ค่อนข้างดี

จ้าวเฟิงผู้ครอบครองวายุอัสนีธาตุน้ำย่อมเป็นหนึ่งในคนที่สามารถโจมตีพวกมันได้

ผลัวะ แซ่ด! ฟุ่บ ฟุ่บ!

ในขณะที่จ้าวเฟิงโบกมือ คมมีดอัสนีวารีเป็นดั่งระลอกน้ำฟันไปที่มนุษย์กิ้งก่าที่อยู่ใกล้เคียง

พลังของ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ในขั้นที่ห้าช่วงสุดยอดไม่ธรรมดาจริงๆ

การโจมตีของจ้าวเฟิงฟันลงไปที่จุดสำคัญของมนุษย์กิ้งก่าพวกนั้น

เมื่ออยู่ตรงหน้าจ้าวเฟิง มนุษย์กิ้งก่าส่วนมากแทบจะถูกปลิดชีพอย่างรวดเร็ว ไม่มีแรงจะตอบโต้กลับด้วยซ้ำ

“เอ๊ะ! พลังอัสนีวารีของเจ้าเด็กนี่กลับลึกซึ้งถึงระดับนี้ เหมือนจะมีการกดข่มที่รุนแรงอย่างยิ่งต่อมนุษย์กิ้งก่า”

ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้

ความเร็วและท่าร่างของจ้าวเฟิงเรียกได้ว่าโดดเด่นชวนตกตะลึง มนุษย์กิ้งก่าโง่เง่าพวกนั้นยังจับปลายเสื้อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

และแน่นอนว่ามนุษย์กิ้งก่าที่มีพลังสูงส่งถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน จ้าวเฟิงทำได้อย่างมากก็คือคอยเป็นกำลังเสริม เป็นกำลังหลักไม่ได้

“ต้องขอบคุณทุกท่านมาก!”

‘บุรุษหนุ่มชุดม่วง’ ผู้เป็นลูกศิษย์ลำดับแรกของวังสุริยันม่วงรีบเอ่ยขอบคุณ

แววตาของเขาจับจ้องบนร่างของข่งเฟยหลิงและจ้าวเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง

ต่อมา

กองกำลังของสำนักสองดาวทั้งสองเริ่มร่วมมือกันโจมตีพื้นที่ของมนุษย์กิ้งก่า

“มนุษย์กิ้งก่าความเร็วไม่มาก พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้ยืดเยื้อ เพียงแค่สังหารให้มีทางผ่านไปก็พอแล้ว”

ผู้เฒ่าเฟ่ยเอ่ยแนะ

คนในกองกำลังของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้

มนุษย์กิ้งก่าหนังหนาเนื้อเหนียว หากลงมือสังหารทีละตนๆ เกรงว่าจะเหนื่อยจนหมดแรงตาย

ไม่เพียงแต่มนุษย์กิ้งก่าจะมีจำนวนมาก แต่ยังไม่เหมือนกับมนุษย์หมาป่าที่เข้าใจการรุกและถอย ไม่มีทางจะสู้จนตัวตาย

มนุษย์หมาป่านับว่าชาญฉลาด หากว่าสู้ไม่ได้ก็ล่าถอยไป

“สังหาร!”

กำลังพลของทั้งสองฝั่ง พวกที่แข็งแกร่งคอยเปิดทางอยู่ด้านหน้า

ยอดฝีมือในศาสตร์อัคคีที่ต้านทานเพลิงได้อย่างเก่งกาจ มีหน้าที่คอยป้องกันอยู่ปีกข้างทั้งสองฝั่ง

เคล็ดท่าร่างต่างๆ ของจ้าวเฟิงสามารถกำราบมนุษย์กิ้งก่า ทั้งสกัดกั้นและโจมตี

ครึ่งชั่วยามต่อมา กองกำลังทั้งสองฝ่ายสามารถเปิดทางออกจากถิ่นที่ตั้งของมนุษย์กิ้งก่าได้สำเร็จ

พู่ว! กองกำลังถอนหายใจยาว มนุษย์กิ้งก่าพวกนั้นนับว่าสลัดออกยากเอาการทีเดียว ในเวลานี้เอง ระลอกไอสวรรค์ที่ประหลาดยิ่งสาดซัดรุนแรงมากขึ้นจากส่วนลึกของเมืองใต้ดิน ระลอกพลังประหลาดกลุ่มนั้นมอมเมาสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้

“แท่นบูชาปีศาจ…”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเพ่งไปยังพื้นที่ที่ลึกที่สุดของเมืองใต้ดิน

จากการจ้องมองของดวงตาเทพเจ้า เขาจึงพอจะมีข้อสมมติฐานและข้อวิเคราะห์ต่างๆ เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของระลอกพลังกลุ่มนั้น

สายเลือดวิถีราชาภายในร่างของจ้าวเฟิงเหมือนจะเดือดพล่านเมื่อสัมผัสได้ถึงระลอกพลังดังกล่าว

แต่สายเลือดเหมันต์วารีกลับไม่มีปฎิกิริยาใดๆ

“ทุกคนเตรียมตัวให้ดี ต่อไปคือ ‘มนุษย์แมงป่อง’ ที่แข็งแกร่งที่สุด”

ผู้เฒ่าเฟ่ยกดเสียงต่ำ

การโจมตี การป้องกัน และความเร็วของเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แล้วยังแฝงพิษไว้ในการโจมตีด้วย

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ทางเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องก็มีกลิ่นอายกดดันที่มืดทะมึนลอยผ่านเข้ามา

ไม่รู้เพราะเหตุใด

จ้าวเฟิงนึกออกได้โดยฉับพลัน ยามตนเองอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงก็เคยจัดการลูกแมงป่องยักษ์ตัวหนึ่ง

อีกทั้งในถิ่นของมนุษย์แมงป่องนี้ก็มีกลิ่นอายที่เหมือนกับแมงป่องยักษ์โบราณ

แซ่ด!

ในมุมอับที่มืดมิด สิ่งมีชีวิตที่อัปลักษณ์ตัวหนึ่ง ร่างเป็นมนุษย์ หางเป็นแมงป่อง ทะยานออกมาในฉับพลัน มันโบกก้ามแมงป่องที่แหลมคมฟาดฟันเข้ามา

นี่คือมนุษย์แมงป่องที่อยู่เพียงลำพัง

เพราะมนุษย์แมงป่องมีพละกำลังร่างกายแข็งแกร่ง ไม่มีจิตใต้สำนึกการร่วมมือกันเป็นกลุ่มทรงพลังเหมือนกับมนุษย์หมาป่า

กึก กึก โครม!

ยอดฝีมืออาวุโสและศิษย์จำนวนห้าหกคนโจมตีพร้อมกันจนมนุษย์แมงป่องถอยร่นไปติดๆ

“จนตรอกแล้ว!”

หลังจากที่มนุษย์แมงป่องกระเด็นถอยร่นไปก็โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง หางแมงป่องสะบัด ปักทะลุหัวใจของศิษย์ผู้หนึ่งที่ไล่ตามโจมตีมัน

“อ๊าก!”

ลูกศิษย์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นั้นกรีดร้องโหยหวน ตายคาที่ทันที

บรรดายอดฝีมือของสองสำนักอดจะสูดหายใจลึกด้วยความกลัวไม่ได้

จ้าวเฟิงค้นพบว่า การโจมเมื่อครู่ เปลือกนอกบนร่างของมนุษย์แมงป่องเหมือนดังเหล็กกล้าสีดำหนักอึ้ง ไม่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บที่ชัดเจน

ความเร็วของมนุษย์แมงป่องชวนให้คนตื่นตะลึง วิธีการโจมตีมีมากมายสารพัด

ก้ามแมงป่อง เขี้ยว รวมไปถึงหางแมงป่อง ล้วนแต่เป็นวิธีการจู่โจมที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต

สามารถพูดได้ว่า นี่คือเผ่าพันธุ์ที่เกือบสมบูรณ์แบบ…ยกเว้นก็เพียงแต่ความอัปลักษณ์ของมัน!

“คนที่ฝึกวิชาศาสตร์อัคคีมารวมตัวกันตรงด้านหน้า” ผู้เฒ่าเฟ่ยสั่งการ

เมื่อเปรียบกันไปแล้ว มนุษย์แมงป่องจะมีแรงต้านทานการโจมตีจากแขนงอัคคีค่อนข้างน้อย ถึงแม้ไม่อาจจะเรียกว่ากดข่มได้ก็ตาม

พู่ว โครม ตูม!

ยอดฝีมือศาสตร์อัคคีหลายคนร่วมมือ ลำแสงเพลิงที่แข็งกล้าปกคลุมทั่วร่างของมนุษย์แมงป่อง มีเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานลอยมา

หลายชั่วอึดใจต่อมา

มนุษย์แมงป่องโดนเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ผู้นำของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและวังสุริยันม่วงมีสีหน้าตึงเครียด เพราะว่านี่เป็นเพียงมนุษย์แมงป่องตนเดียวเท่านั้น

ยิ่งเข้าไปลึกเรื่อยๆ ในถิ่นที่ตั้งของมนุษย์แมงป่องจะมีกลิ่นอายหนาวเหน็บทรงพลัง

กลิ่นอายของมนุษย์แมงป่องเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่าตัวในคราวก่อน

กองกำลังทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันต่อสู้กับมนุษย์แมงป่องแต่ละตัว

ถิ่นของมนุษย์แมงป่องมีจำนวนของพวกมันไม่มากนัก ดีที่มนุษย์แมงป่องเหล่านี้ไม่ได้ตะลุมบอนมาพร้อมกันเป็นร้อยตัว

หากไม่เช่นนั้นแล้ว กองกำลังของสองสำนักจะไม่มีโอกาสใดๆ แม้แต่นิดเดียว

เวลานั้นเอง

ในกลุ่มมนุษย์แมงป่องที่อยู่ด้านหน้า ปรากฎมนุษย์แมงป่องหญิงที่ร่างกายสูงใหญ่แต่อัปลักษณ์

มนุษย์แมงป่องหญิงตนนั้นทะลักพลังครึ่งก้าวสู่ราชันกลุ่มหนึ่งออกมา ทั้งความเร็วและการโจมตีล้วนแต่อยู่ในระดับขั้นที่ชวนให้คนผวา

ครึ่งก้าวสู่ราชันสองคนของวังสุริยันม่วงร่วมมือกัน ก็ยังไม่เท่าฟากของมนุษย์แมงป่องหญิงตนนั้น

“อ๊าก อ๊าก…” มีเสียงกรีดร้องดังมาจากบรรดาฝูงชน

กึก กึก วูบ!

การโจมตีบางส่วนพอจะกระทบลงบนร่างของมนุษย์แมงป่องหญิง เกราะแมงป่องเหล็กกล้าสีดำเกิดสะเก็ดไฟ แต่กลับไม่เสียหายใดๆ แม้แต่น้อย

“นอกเหนือจากระดับขั้นวิญญาณแล้ว กำลังรบของมนุษย์แมงป่องหญิงผู้นี้สามารถประมือกับราชันได้เลย”

จ้าวเฟิงเอ่ยอันใดไม่ออก

การโจมตี ความเร็ว และการป้องกันของมนุษย์แมงป่องหญิงจัดว่าอยู่ในระดับสูง แล้วบวกกับพิษแมงป่องที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิต ครึ่งก้าวสู่ราชันทั่วไปอาจจะโดนสังหารได้ในพริบตาเดียว

“อ๊าก!”

ผู้อาวุโสในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เพียงแต่ถูกก้ามแมงป่องแทงทะลุร่างก็ดับดิ้นอย่างรวดเร็ว

คนใต้ขั้นราชันลงไป เมื่อโดนพิษดังกล่าวแล้วแทบจะต้องตายอย่างแน่นอน

ในเวลานั้น แม้แต่ ‘ผู้เฒ่าเฟ่ย’ ผู้มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกยากเย็น

นอกเหนือจากมนุษย์แมงป่องหญิง ในละแวกนั้นยังมีแมงป่งยักษ์แข็งแกร่งเป็นจำนวนสิบยี่สิบตน กำลังรบอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเป็นอย่างน้อย หรือไม่ก็ไม่ด้อยไปกว่าครึ่งก้าวสู่ราชัน

ขณะที่ฝูงชนตกอยู่ในการต่อสู้ที่ยากลำบากนั้นเอง

ใจกลางของถิ่นที่ตั้งมนุษย์แมงป่อง มีพลังมหาศาลของราชันสองเส้นสายลอยละล่องมา

พลังมหาศาลของราชันหนึ่งในนั้นช่างอำมหิต น่าสะพรึงกลัว แข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์แมงป่องหญิงหลายเท่าตัว

พลังอีกหนึ่งกลุ่มก็เป็นความว่างเปล่ายากจะสัมผัสได้

“โครม โครม…”

กลิ่นอายของราชันทั้งสองกลุ่มปะทะกันในส่วนลึกของฐานที่มั่นมนุษย์แมงป่อง จึงดึงดูดความสนในของบรรดา มนุษย์แมงป่องจำนวนมากขึ้น

“เอ๊ะ! หรือว่ายังราชันจากภายนอกคนอื่นๆ เข้ามาภายในที่แห่งนี้ด้วย”

สีหน้าของพวกสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและวังสุริยันม่วงต่างเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ในเวลานี้เอง มนุษย์แมงป่องหญิงตนนั้นเหมือนได้รับข่าวคราวอะไร จึงนำมนุษย์แมงป่องล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว

พรึ่บ! มนุษย์แมงป่องหญิงทิ้งเพียงเศษเงาที่เลือนรางไว้ในเมืองใต้ดินที่มืดมิดนั้น

พู่ว!

กองกำลังของทั้งสองฝ่ายราวกับยกภูเขาออกจากอก นอกเหนือจากระดับขั้นดวงวิญญาณของมนุษย์แมงป่องหญิงที่ไม่เทียบเท่าราชัน แต่อานุภาพกำลังรบในระดับกายเนื้อของมัน สำหรับคนที่แตะขั้นราชันแล้วยากจะสลัดให้พ้นได้

แต่ทว่า สิ่งที่คนทั้งหมดไม่รู้คือ

มนุษย์แมงป่องหญิงเพิ่งจะโผออกมาร้อยสองร้อยจั้ง เข้าไปในมุมมืดแห่งหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดมาหาส่วนศีรษะในทันใด

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวตัวน้อยสีเทาตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในฉับพลัน โบกกรงเล็บของมันตะปบลงไปยังส่วนศีรษะของอีกฝ่าย

การตะปบของกรงเล็บแมวไม่ได้มีพลังรุนแรงอะไร แต่ความรู้สึกวิงเวียนที่ถาโถมเข้ามาปกคลุมทั่วร่างกายและจิตใจของมนุษย์แมงป่องหญิง

ถัดจากนั้น ดวงตาลึกล้ำเหมือนมีสายฟ้ามายาสีม่วง ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของมนุษย์แมงป่องหญิง

“เนตรเพ่งวิญญาณเหมันต์!”

ความหนาวเหน็บของจิตวิญญาณเหมันต์ที่ถึงขีดจำกัด หยั่งรากลงในดวงวิญญาณที่นับว่าอ่อนแอของมนุษย์แมงป่องหญิง

ในความเป็นจริงแล้ว

ระดับชั้นวิญญาณของมนุษย์แมงป่องหญิงไม่ด้อยไปกว่าครึ่งก้าวสู่ราชันจำนวนมากแต่อย่างใด เพียงแต่ยังไม่ถึงระดับขั้นราชันก็เท่านั้น

“พลังอัสนีเทวะ!”

กลิ่นอายอัสนีเทวะที่ไม่สูญสลายปรากฏขึ้น หลังจากที่เกาะกลุ่มเป็นน้ำแข็งก็ตรงดิ่งเข้าไปในดวงวิญญาณของมนุษย์แมงป่องหญิง

ดวงวิญญาณของมนุษย์แมงป่องหญิงสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ราวกับสัตว์ตัวเล็กจ้อยที่เผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก

พลังกลุ่มนั้นทำให้ดวงวิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บ ความหวาดกลัวและอาการสั่นสะท้านตรงออกมาจากสัญชาตญาน

“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”

ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์แมงป่องหญิงหวาดกลัว เหมือนดำดิ่งลงไปในหุบเหว ระลอกพลังดวงตาและดวงวิญญาณต้องห้ามก็ประทับลงไปในส่วนลึกดวงวิญญาณของมัน

“สำเร็จ” เด็กหนุ่มเรือนผมสีม่วงผู้มีใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยพึมพำ

เมี้ยว เมี้ยว! พรึ่บ!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยและมนุษย์แมงป่องหญิงหายไปพร้อมกัน

แซ่ด พรึ่บ!

เมื่อปีกอัสนีโบกสะบัด เด็กหนุ่มเรือผมสีม่วงก็หายไปในทันที

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและวังสุริยันม่วงหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะนับจำนวนคนและช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

“จ้าวเฟิง เมื่อครู่เจ้าไปไหนมา?” หลิ่วเทียนฝานมองเห็นเด็กหนุ่มเรือนผมสีม่วงที่ปรากฏกายขึ้นในมุมอับ

“เมื่อครู่ต่อสู่กับมนุษย์แมงป่อง ไล่ตะเพิดมันไปแล้ว…” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไร้อารมณ์

โครม! ตูม บึ้ม!

ส่วนลึกของพื้นที่มนุษย์แมงป่อง การต่อสู้ของราชันทั้งสองฝั่งยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงเวลานั้น

ฝูงชนมองเห็นท้องฟ้าด้านบนของเมืองใต้ดิน มีเงาแมงป่องยักษ์ขนาดใหญ่มืดทะมึนแผ่ปกคลุมอยู่ทั่ว

“นั่นคือราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่อง!”

ฝูงชนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด

มนุษย์แมงป่องธรรมดาล้วนแต่แข็งแกร่งขนาดนี้ ยากที่จะเชื่อถือได้ว่าราชันของเผ่าพันธุ์มนุษย์แมงป่องนั่นจะน่ากลัวได้ขนาดไหน

ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากล่วงรู้ว่ามนุษย์แมงป่องมีราชา พวกเขาจะกล้าก้าวล่วงเข้ามาขนาดนี้ได้อย่างไร

“ดูจากสถานการณ์ ราชามนุษย์แมงป่องคงถูกบีบบังคับให้ใช้เคล็ดวิชาสายเลือด…”

ผู้เฒ่าเฟ่ยเอ่ยด้วยความตื่นตกใจ

ยากจะคาดเดาได้ว่า ราชาอีกคนที่ลงมือนั้นจะมีกำลังรบอยู่ในระดับไหน

โครม โครม เคร้ง!

เมืองใต้ดินสั่นสะเทือน ในฝุ่นธุลีเลือนรางปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มชุดสีดำสนิทท่าทางอาจหาญ บนร่างเปล่งแสงสีเงินสว่างเจิดจ้าชั้นหนึ่ง ตามมาด้วยระลอกของพลังมิติหลายเส้นสาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version