บทที่ 824 คนคุ้นเคยจำนวนมาก
กองกำลังยอดฝีมือผู้มาเยือนกลุ่มนี้เป็นคนของราชวงศ์ต้าเฉียนเช่นกัน ผู้นำคือองค์ชายแปดและลั่วจุน
กลิ่นอายของคนทั้งสองแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในดินแดนเกาะเทียนเฟิงเสียอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลั่วจุน ในดวงตาทั้งสองข้างสาดกลิ่นอายของไฟและน้ำแข็งที่ต่างกันอย่างมากอออกมา
พู่ว~
ในเวลานี้เอง กลิ่นอายชั่วร้ายที่มาจากส่วนลึกของหลุมศพแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฟากฟ้าฝั่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันมืด
“ในสุสานพวกนั้นมีกลิ่นอายศาสตร์หุ่นเชิคศพกลุ่มหนึ่งที่เข้าใกล้ขั้นจักรพรรดิปราณเทวะ!”
องค์ชายแปดและลั่วจุนเผยสีหน้าเคร่งขรึม
กองกำลังยอดฝีมือของราชวงศ์ที่อยู่ด้านหลัง จัดกระบวนทัพเพื่อรับมือกับสถานการณ์คับขันที่จะเกิดขึ้น
ห้วงความคิดเซียนของราชันทั้งสองอย่างองค์ชายแปดและลั่วจุนเข้าไปด้านล่างป้ายสุสาน สำรวจพบสุสานใต้ดินแห่งหนึ่ง
ยามนี้ ค่ายกลต้องห้ามส่วนหนึ่งภายในสุสานใต้ดินเหมือนถูกทำลายไป มิฉะนั้นคงไม่อาจลอบสังเกตเส้นทางในนั้นได้อย่างง่ายดาย
โครม!
ภายในสุสานใต้ดินมักจะส่งความรู้สึกสั่นสะเทือนมา คล้ายว่ามีกลิ่นอายต่อสู้ของราชันหลายกลุ่ม
วัสดุของสุสานแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ครึ่งก้าวสู่ราชันยากที่จะทำลายได้แม้เพียงเศษเสี้ยว ถ้าหากไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เป็นปราสาทแห่งหนึ่งก็คงจะพังทลายลงมา
“ผู้มาเยือนจากโลกภายนอกที่ขลาดเขลา! พวกเจ้าจะเป็นคนร่วมหลุมศพกลุ่มใหม่…”
โครงกระดูกที่มีเพียงครึ่งท่อนร่างหนึ่ง มีขนาดสองจั้ง ทั่วร่างหมุนวนด้วยลูกเพลิงสีแดงเผาผลาญ
นอกเสียจากส่วนศีรษะแล้ว ท่อนล่างของโครงกระดูกเพลิงนี้มีเพียงแค่ครึ่งเดียว แม้กระทั่งเบ้าตาก็ยังมีแค่ข้างเดียว
โครม~
ด้านหลังของโครงกระดูกครึ่งร่างผุดเงา ‘อสุรกายสี่ปีก’ ที่เกิดจากกลุ่มเพลิงรวมตัวกัน ส่งเสียงร้องน่าพรั่นพรึง
เงาอสุรกายสี่ปีกใหญ่ยักษ์ไร้ขอบเขต กลืนกินและพ่นหมอกควัน พลังอำนาจปกคลุมฟ้าดินไปทั่ว เป็นเพียงแค่ลักษณะเงาร่างหนึ่ง แต่กลับสาดซัดพลังเทียบเท่ากับจักรพรรดิได้
โครงกระดูกครึ่งร่างถึงแม้ดูไปแล้วจะอ่อนแอและบอบบาง แต่ในทุกครั้งที่โจมตีล้วนสามารถกระตุ้นให้เกิดพลานุภาพในขั้นจักรพรรดิได้
“ข้าจะดึงดูดความสนใจของมัน พวกเจ้าคิดหาวิธีล้อมจับมันไว้ก็พอ…”
ชายหนุ่มเสื้อดำดูสามัญ สีหน้าเคร่งขรึมลงไป น้ำเสียงร้อนรนอยู่บ้าง
มือทั้งสองข้างของเขาวาดออก ร่างกายหมุนวนด้วยสำนึกรู้ที่แกร่งกล้าลึกลับ พลังที่สาดซัดออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเกือบจะเท่าจักรพรรดิปราณเทวะ
โครม!
พลังและอานุภาพของจักรพรรดิที่โครงกระดูกกระตุ้นออกมา ชายหนุ่มชุดดำใช้วิธีการประหลาดทำให้อ่อนกำลังและลดแรงปะทะลง
ในด้านระดับพลัง ชายหนุ่มชุดดำและโครงกระดูกครึ่งร่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มชุดดำเหมือนกำลังเดินอยู่บนใยเหล็ก มีความแตกต่างกันอยู่ก้าวหนึ่ง เมื่อถูกโครงกระดูกครึ่งร่างนั้นปะทะเข้าหากันอย่างจัง หากไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัส
แต่ทว่า
ใบหน้าของหนุ่มชุดดำสงบนิ่ง ทั้งหมดเมื่อดูๆ ไปแล้วสมบูรณ์พร้อม สะท้อนให้เห็นท่วงท่าของผู้เป็นปรมาจารย์
“ไม่เสียทีที่เป็นซินอู๋เหิน ถึงกับสามารถควบคุมโรงกระดูกครึ่งท่อนในระดับขั้นจักรพรรดิได้”
หน้าผากของบุรุษวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกราชันผุดเหงื่อเย็นๆ ออกมา
เมื่อครู่ ในขณะที่โครงกระดูกครึ่งร่างตื่นขึ้นมา กลิ่นอายชั่วร้ายที่น่ากลัวไร้ขอบเขตทำให้ทุกคนรู้สึกยากจะหายใจ
พลังและอำนาจของระดับจักรพรรดิของ ‘เงาปีศาจสี่ปีก’ ที่อยู่ด้านหลัง ก็ทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์หมดหวัง
ยังดีที่ในช่วงเวลาสำคัญ ซินอู๋เหินควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้
“ตั้งกระบวนทัพ!”
บุรุษวัยกลางคนชุดเหลืองและพวกราชันช่วยซินอู๋เหินจำกัดโครงกระดูกครึ่งร่างนี้ กลุ่มยอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังจัดตั้งกระบวนทัพ กระจายตัวปิดผนึกและควบคุมภูติผีชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว
“จัดการปราณศพที่อยู่ในพื้นที่นี้ก่อน! โครงกระดูกครึ่งซีกร่างนั่น สุดท้ายก็แค่สิ่งที่ไม่มีชีวิต ได้รับการสนับสนุนจาก ‘เงาปีศาจสี่ปีก’ ถึงจะสามารถระเบิดกำลังรบในขั้นจักรพรรดิได้ รอให้เสียความช่วยเหลือจากโลกภายนอก กำลังรบก็จะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ”
บนใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดแดงและชายหนุ่มชุดขาวปรากฏแววเยาะเย้ย
โครงกระดูกครึ่งร่างเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีสติปัญญาที่เพียงพอ กำลังรบของขั้นจักรพรรดิ ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ก็ไม่เกินเจ็ดส่วน
“รอให้สังหารโครงกระดูกครึ่งร่างแล้วค่อยหาวิธีเอาสมบัติในโลงศพมา”
แววตาของคนทั้งสองมองไปส่วนลึกลงไปอีกของสุสาน ‘โลงศพทองแดงโบราณ’ ที่ห้อยอยู่กลางอากาศ
ขณะทะลวงเข้าไปภายในการต่อสู้ รอบๆ ‘โลงศพทองแดงโบราณ’ ปรากฏระลอกแสงเก่าแก่สว่างเจิดจ้า พอจะเผยให้เห็นกลิ่นอายสมบัติที่ลอดออกมาทำให้ดวงวิญญาณต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
แค่โลงศพทองแดงโบราณนั้นก็สามารถสำแดงพลังของวัสดุที่ใกล้เคียงกับอาวุธชั้นนภา
กลางอากาศด้านบนพื้นดิน
“เป็นเขา…ซินอู๋เหิน!”
องค์ชายแปดและลั่วจุนไม่อาจจะปดปิกความหวาดกลัวบนใบหน้าได้
“คิดไม่ถึงเลยว่าซินอู๋เหินจะเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ สามารถควบคุมกำลังรบของขั้นจักรพรรดิได้อย่างชำนาญ ถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตที่พลิกแพลงไม่ได้”
ลั่วจุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาทั้งสองเป็นดังกระแสไฟ กลิ่นอายของไฟและน้ำแข็งทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเข้าหากัน
ทันใดนั้นเอง
จิตต่อสู้ของลั่วจุนทะลักพวยพุ่ง ปรากฎเงาของโครงร่างมิติทั้งสองที่ร้อนแรงและหนาวเหน็บอยู่รอบๆ ตัว
“เขตแดนคู่!”
ถ้าหากว่าราชันคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องตกใจจนหน้าถอดสีอย่างแน่นอน
“พี่ลั่ว ช้าก่อน! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาชนะกัน ผลประโยชน์ต่างหากที่มาเป็นลำดับแรก” องค์ชายแปดยิ้มแย้มเล็กน้อย
พรึ่บ!
เขตแดนคู่ที่หนาวเหน็บและร้อนแรงรอบๆ ตัวของลั่วจุนถูกเก็บงำเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อครู่เป็นเพราะแค่การปรากฏตัวของซินอู๋เหินกระตุ้นจิตต่อสู้ของลั่วจุนขึ้นมา
ก็ด้วยเพราะในตอนเริ่มต้น เขาพ่ายแพ้ให้กับซินอู๋เหิน ถือเป็นการหลบหลู่อย่างมาก
เวลานี้ พวกราชันของซินอู๋เหินและกองกำลังตกอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด เป็นเวลาที่คนทั้งสองรอจะฉวยผลประโยชน์พอดี
“ถูกต้อง หากต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า กองกำลังและราชันจำนวนมากของพวกเขาล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา”
มุมปากของลั่วจุนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
ในช่วงเวลาสำคัญ ลั่วจุนไม่รังเกียจที่จะโจมตีซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ในสุสานใต้ดิน
ซินอู๋เหินที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับโครงกระดูกครึ่งร่างขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่า เขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ขององค์ชายแปดและลั่วจุน กองกำลังที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถฉวยโอกาสได้ทุกเมื่อ
อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ฟากของซินอู๋เหิน ทุกๆ ก้าวล้วนระมัดระวังอย่างยิ่ง
ดีที่โครงกระดูกครึ่งร่างนั้นตกเข้าสู่ค่ายกลปิดผนึกของกำลังคนทั้งสามฝ่ายอย่างรวดเร็ว แรงคุกคามลดลงเรื่อยๆ
ยามนี้ข้อดีของกองกำลังก็ปรากฏขึ้น
เปลี่ยนเป็นจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งที่เดินทางเพียงลำพัง คงยากจะโจมตีกดดันมาจนถึงจุดนี้ และจำกัดปีศาจในระดับขั้นจักรพรรดิทีละก้าวๆ
“จะลงมือหรือไม่ จัดการสร้างความวุ่นวายให้กับแผนเขาก่อนแล้วกัน!”
รอยยิ้มของลั่วจุนชั่วร้าย
“ข้ารู้สึกว่าการลงมือของซินอู๋เหินยังมีบางส่วนเก็บงำเอาไว้อยู่” องค์ชายแปดลังเล
ซินอู๋เหิน เป็นมือดีของ ‘องค์ชายสี่’ ผู้เป็นคู่ต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดของการชิงตำแหน่ง ‘รัชทายาท’
แน่นอนว่าองค์ชายสี่มีอายุมากกว่าร้อย พลังฝึกตนและความสามารถแข็งแกร่งอย่างมาก จึงไม่สามารถเข้าไปภายในมิติเทพลวงตา
ในครั้งนี้
องค์ชายแห่งต้าเฉียนที่เข้าไปภายในมิติเทพลวงตามีสามคนหลักๆ คือ องค์ชายแปด องค์ชายเก้า และองค์ชายสิบสาม
ในบรรดาองค์ชายทั้งสามคน องค์ชายแปดมีพลังแฝงลึกล้ำอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าองค์ชายเก้าผู้นั้นจะมีพรสวรรค์และความสามารถสูงที่สุด แต่กลับเป็นเด็กนอกสมรสครึ่งหนึ่ง ในด้านชาติกำเนิดของเขาจึงด้อยกว่าองค์ชายอื่นๆ ส่วนหนึ่ง
‘องค์ชายสิบสาม’ ที่เป็นลำดับสุดท้าย มีอายุน้อยที่สุด ในแต่ละด้านล้วนธรรมดา แต่ได้รับความรักและความโปรดปรานที่สุด
ตุบ!
ในเวลานี้เอง ‘หนูสื่อวิญญาณ’ ที่อยู่บนบ่าของลั่วจุนเปล่งเสียงร้องเกรี้ยวกราด ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“หืม?” ความคิดของลั่วจุนและองค์ชายแปดถูกขัดจังหวะ
หนูสื่อวิญญาณตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษที่หายากประเภทหนึ่ง ลั่วจุนได้มาโดยบังเอิญในขณะที่เขายังเยาว์วัย มีสติปัญญาปราดเปรื่องอย่างยิ่ง
หากจะนับเรื่องกำลังรบ หนูสื่อวิญญาณค่อนข้างธรรมดานัก แต่ว่ามันกลับมีประสาทสัมผัสพรสวรรค์กับกลิ่นอายของสัตว์อสูรสัตว์ล้ำค่าประเภทต่างๆ
ในเวลาเดียวกัน ตัวของมันเองชำนาญในการขุดหลุม และขุดรูเพื่อเอาชีวิตรอดได้
ลั่วจุนกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนเกาะใหญ่ และโดดเด่นอย่างยิ่งในราชวงศ์ต้าเฉียน ไม่ใช่เพียงเพราะพรสวรรค์ความสามารถและความเพียรพยายามที่เป็นเลิศของตนเอง ยังมีความช่วยเหลือของ ‘หนูสื่อวิญญาณ’ ด้วย
เมื่อมืองย้อนไปในช่วงชีวิตหลายสิบปีที่ผ่านมา หนูสื่อวิญญาณตัวนี้เคยนำโอกาสมาสู่ชีวิตเขามาไม่น้อย
โอกาสใหญ่ครั้งสองครั้งในจำนวนนี้ เป็นโอกาสที่ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา
ครั้งนี้ องค์ชายแปดจ่ายค่าตอบแทนอย่างมากเพื่อนำตัวลั่วจุนมายังมิติเทพลวงตาแห่งนี้ หนึ่งในนั้นยังเป็นเพราะถูกใจจุดเด่นของหนูสื่อวิญญาณ
เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนความประสบความสำเร็จให้มากขึ้น ลั่วจุนกดพลังฝึกตนเอาไว้ตลอด รอจนเข้าไปภายในมิติเทพลวงตา ถึงจะสามารถสร้างเขตแดนคู่ได้
“นั่นคือ…”
ลั่วจุนและองค์ชายแปดมองเห็น ‘พาหนะเพลิงวายุ’ เก่าแก่คันหนึ่งโบยบินมาจากที่ไกลๆ
ความจริงแล้ว
กลิ่นอายที่สุสานแห่งนี้สาดซัดออกมา ข่มผู้ที่มาจากโลกภายนอกจำนวนมากในละแวกใกล้เคียงจนอกสั่นขวัญหาย
ยังมีกองกำลังส่วนหนึ่งหรือไม่พวกที่อยู่เพียงลำพังสอดแนมอยู่ไกลๆ
เพียงแต่ว่าขั้วอำนาจหรือไม่ก็กองกำลังพวกนั้น ไม่มีราชันปราณเทวะคอยกำกับ จึงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่ง
“พาหนะคันนั้นเหมือนเป็นสิ่งประดิษฐ์จากวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์”
สีหน้าขององค์ชายแปดฉายแววประหลาด
เจ้าของพาหนะเพลิงวายุคันนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“เป็นเขา…”
ทันใดนั้นเอง ลั่วจุนก็พูดอะไรไม่ออก เมื่อมองเห็นเงาสองร่างบนพาหนะเพลิงวายุอย่างชัดเจน
เงาสองร่างนั้นล้วนแต่มีเรือนผมสีม่วง
บุรุษหนุ่มชุดดำคนหนึ่งในนั้น คนทั้งสองคนไม่รู้จัก แต่ว่าชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาผมม่วงอีกคนหนึ่ง ต่อให้โดยเผากลายเป็นธุลี ลั่วจุนก็ยังมองออก
“มารคู่ผมม่วง!” ในบรรดายอดฝีมือที่กำลังสอดแนมแถวนั้น มีคนอุทานออกมาอย่างตกใจ
“ทุกคนรีบเก็บสมบัติเอาไว้ให้ดี”
“รักษาระยะห่างเอาไว้! ‘มารคู่ผมม่วง’ พวกนั้นมีชื่อเสียงจากการปล้นชิง ไม่เคยพลาดเลยสังครั้ง เป็นกลุ่มที่ชั่วร้ายอย่างมาก”
หนึ่งในกองกำลังพวกนั้น ได้ยินฉายา ‘มารคู่ผมม่วง’ ก็อดจะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
ที่ยิ่งกว่านั้นคือ หนี่งในกองกำลังพวกนั้นฉวยโอกาสหนีไปเลย
ไม่นานนัก พาหนะเพลิงวายุที่โดดเด่นคันนั้นลอยล่องอยู่กลางอากาศเหนือสุสาน
“เฮอะ เฮอะ… ช่างมีวาสนาเสียจริง ครั้งนี้เจอคนคุ้นเคยหลายคนเหลือเกิน”
จ้าวเฟิงหัวเราะลั่น
เขาพูดเช่นนี้พลางสำรวจสุสานใต้ดิน
สีหน้าของลั่วจุนและองค์ชายแปดมีแววผิดธรรมชาติเล็กน้อย ด้วยคิดว่าจ้าวเฟิงกำลังพูดถึงพวกเขาอยู่
เมี้ยว เมี้ยว!
บนไหล่ของจ้าวเฟิงปรากฏแมวน้อยสีเทาตัวหนึ่ง มันแสยะยิ้ม
จี๊ด จี๊ด!
‘หนูสื่อวิญญาณ’ บนบ่าของลั่วจุนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้ามองเจ้าแมวขโมยเต็มตา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…” ลั่วจุนหน้าเปลี่ยนสี หนูสื่อวิญญาณของเขามีกำลังรบไม่แข็งแกร่ง แต่ว่าระดับขั้นเข้าใกล้สายเลือดสัตว์อสูรบนรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
หรือว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยของจ้าวเฟิงแตะถึงระดับขั้นของสายเลือดสัตว์อสูรของหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณแล้ว?
ในเวลานี้
หลังจากที่เห็นเจ้าแมวขโมยตัวน้อยแล้ว หนูสื่อวิญญาณมีท่าทีหวาดกลัว ตัวสั่นทันที ซึ่งเป็นท่าทีของหนูที่เจอแมว
“เจ้าแมวขโมย อย่ารังแกเพื่อนตัวเล็กสิ” จ้าวเฟิงยื่นมือออกมา แล้วเอาเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเก็บเข้าไปภายในแหวนเหล็กโบราณ
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นอาวุธสังหารชิ้นเดียวของเขาในขณะที่เข้ามาภายในมิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงจึงไม่อยากให้เรื่องของมันแพร่งพรายออกมาเสียก่อน
ในสุสานใต้ดิน
ซินอู๋เหินและพวกกำลังอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือด ถึงแม้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายกลุ่มใหม่ด้านบนพื้นดิน แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะไปสำรวจตรวจตราแต่อย่างใด
ใบหน้าของลั่วจุนคล้ำเครียด เก็บหนูสื่อวิญญาณเข้าไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง ล้วนแต่เกิดความรู้สึกที่อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง
องค์ชายแปดเองก็รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์
ข้างกายของจ้าวเฟิงยังมีราชันระดับลึกซึ้งที่มีกลิ่นอายแกร่งกล้าผู้หนึ่ง
เมื่อมองดูปฏิกิริยาของยอดฝีมือที่อยู่โดดเดี่ยวและกองกำลังรอบๆ ชื่อเสียงของ ‘มารคู่ผมม่วง’ เหมือนว่าจะโด่งดังไม่น้อย จนถึงขั้นที่สามารถเขย่าขวัญคนทั้งกลุ่มได้
“เอ๊ะ! สุสานแห่งนี้ เหมือนจะมีกลิ่นอายสมบัติล้ำค่าศาสตร์วิญญาณ ถึงแม้ว่าเป็นภูติผีก็ตาม”จ้าวเฟิงใจเต้นกระตุก
คนทั้งสองอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตรวจตรามองดูด้วยท่าทีราวกับว่าไม่มีใครนอกจากพวกเขา
“ก็แค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา…”
ลั่วจุนข่มโทสะเอาไว้ มีทีท่าใจร้อนอยากลงมือสั่งสอน แต่กลับโดนองค์ชายแปดห้ามเอาไว้
“คนทั้งสองเพิ่งมาถึง สนใจจะร่วมมือกันแล้วแบ่งผลประโยชน์ด้านล่างนั้นหรือไม่?”
องค์ชายแปดมีสีหน้าสง่างาม ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่น