Skip to content

King of Gods 85

King Of Gods

บทที่ 85 : ความหวัง

“จ้าวเฟิง! คำถามนั้นไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้า! อาจารย์นำพาเหล่าอัจฉริยะมาก็เพราะท่านรักพวกเขา เจ้าคิดหรือว่าจะมีเหตุผลอื่นใด?” หนานกงฟั่นตวาดลั่นอย่างกราดเกรี้ยว

คำถามของจ้าวเฟิงทำให้เป่ยโม่ยและเฟิงฮันเยว่ต่างมุ่นคิ้วลงเช่นกัน จริงๆ แล้วคำถามของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับการฝึกตน ตัวของเด็กหนุ่มเองก็ตระหนักได้ว่าคำถามนั้นดูเหมือนจะออกนอกเรื่อง

“นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามเช่นนี้กับข้า” สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินกลับไปเป็นปกติเช่นเดิมขณะที่เขามองไปยังจ้าวเฟิง

ด้วยระดับของเขา ชัดเจนว่าเขาย่อมไม่โกรธเคืองกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้

อาจารย์นั้นเป็นคนเยี่ยมยอดโดยแท้

หนานกงฟั่นและคนอื่นๆ ต่างพ่นลมหายใจออกเมื่อผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาไม่ได้ดูโกรธเคือง

แม้ว่าคำถามของจ้าวเฟิงนั้นคนอื่นเองก็ล้วนสงสัยเช่นกัน เฟิงฮันเยว่และหนานกงฟั่นล้วนฉลาดเฉลียว พวกเขารู้ว่าเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นไม่ได้เฟ้นหาอัจฉริยะเพียงเพราะเขาชอบ มันย่อมมีจุดมุ่งหมายอื่น

เจ้าเมืองกว่านจวินยืนขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยสองมือไพล่หลังและถอนหายใจก่อนจะจ้องมองออกไปยังท้องฟ้า

จ้าวเฟิงเห็นแววตาของความจนใจ เกลียดชัง และคาดหวังจากในดวงตาของอีกฝ่ายขณะที่เขาถอนหายใจ ราวกับการถอดถอนลมหายใจของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความแตกต่างของสี่ฤดู

“หลายปีมานี้ ข้าได้ค้นหาและเลี้ยงดูอัจฉริยะจำนวนมากเพื่อความหวังของข้า มันเป็นบางสิ่งที่ข้าไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง ข้าต้องพึ่งพาชนรุ่นหลังในการทำมันให้สำเร็จ”

จ้าวเมืองกว่านจวินกวาดตามองเหล่าเด็กหนุ่มสาว ก่อนจะไปหยุดลงที่เป่ยโม่ยด้วยความคาดหวัง

ความหวัง?

บางสิ่งที่กระทั่งเจ้าเมืองกว่านจวินก็ไม่อาจกระทำได้?

เหล่าเด็กหนุ่มสาวมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึง ทุกคนล้วนรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีพลังอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิเมฆา สิ่งใดกันที่กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจกระทำได้?

“ความต้องการของเจ้าเมืองกว่านจวินคือสิ่งใดกัน?” จ้าวเฟิงรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายนั้นทำบางสิ่งไม่ได้

“พวกเจ้าควรไปได้แล้ว” เจ้าเมืองกว่านจวินถอนหายใจก่อนจะโบกมือ

จากนั้น เขาจึงนั่งลงบนฟูกของเขา เหลือเพียงศิษย์หลักของเขา เป่ยโม่ย ไว้เบื้องหลัง

“อาจารย์ ข้าจะทำให้ความหวังของท่านประสบผลสำเร็จ” เป่ยโม่ยสัญญา

“ดีที่เจ้าตั้งใจเช่นนั้น นับจากวันนี้ ข้าจะสอนวิชาลับของข้าให้เจ้าทั้งหมด…” เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มยิ้ม

วันนี้ สิบองครักษ์ฟ้าได้ไปยังหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อทดสอบความสามารถแฝงของพวกเขา และความสามารถแฝงของเฟิงฮันเยว่นั้นเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ายังคงไม่อาจเทียบได้กับเป่ยโม่ย

ด้านนอกหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

เหล่าศิษย์สายนอกของเจ้าเมืองกว่านจวินเดินไปด้วยกัน

“ศิษย์น้องจ้าว นับว่าเจ้ามีความกล้า! เจ้ากล้าถามคำถามเช่นนั้นได้อย่างไร? เจ้าต้องรู้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขั้นเก้ายังต้องนอบน้อมต่อหน้าท่านอาจารย์” หนานกงฟั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่งสอน

“ขอบคุณที่บอกข้า” จ้าวเฟิงเอ่ย

เขานั้นเพิ่งจะมาเป็นศิษย์สายนอกของเจ้าเมืองกว่านจวิน และแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการสร้างความเคืองใจให้แก่หนานกงฟั่น เขาก็ยังไม่ฟังคำสั่งอีกฝ่ายอยู่ดี ท่าทางของจ้าวเฟิงนั้นทำให้หนานกงฟั่นรู้สึกไม่พอใจ ทว่าเขาไม่อาจแสดงความโกรธเคืองออกไปได้ในตอนนี้ ดังนั้นจึงทำเพียงจดจำไว้ในใจ

เป็นจ้าวหยูเฟ่ยที่ได้ข้อมูลบางอย่างจากปากของหนานกงฟั่น

หนานกงฟั่นเอ่ยว่า

“ข้าต้องเตือนเจ้าว่าศิษย์น้องเป่ยโม่ยนั้นมีความสามารถสูงนัก เขานั้นเย่อหยิ่งจองหองเป็นที่สุด ทั้งยังไม่ยอมให้ผู้ใดมีชัยเหนือ ดังนั้นแล้วอย่าได้ไปท้าประลองเขา”

จ้าวเฟิงรู้สึกเช่นเดียวกันยามได้ยินเช่นนั้น เมื่อเขาได้เอาชนะเป่ยโม่ยในด้านของความจำ อีกฝ่ายก็ไม่พอใจ

“ข้าถามศิษย์พี่หนานได้หรือไม่ว่าพรสวรรค์ของเป่ยโม่ยนั้นดีเพียงใดจึงทำให้อาจารย์รักเขาเป็นศิษย์หลักได้?” เฟิงฮันเยว่มีความรู้สึกอยุติธรรมในน้ำเสียง

แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในกองพันองครักษ์ฟ้า เขาก็ยังไม่ใกล้เคียงในการที่จะได้เป็นศิษย์หลัก

“ฮะฮะ หากเจ้าเห็นความสามารถแฝงของเป่ยโม่ยก่อนหน้า เจ้าจะไม่เอ่ยเช่นนี้” เสียงหัวเราะของหนานกงฟั่นปะปนความรู้สึกขมขื่นและอิจฉาไว้

“เขามีวงแสงกี่วงยามที่ทดสอบ?” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย

พวกเขาต้องการอย่างน้อยห้าวงในการที่จะกลายเป็นศิษย์สายนอกของเจ้าเมืองกว่านจวิน

“ในตอนนั้น ผลการทดสอบของข้าคือห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง…”

หนานกงฟั่นดูราวกับพยายามนึกภาพเมื่อสามปีก่อนยามที่เขาเข้าไปในหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พร้อมกับเป่ยโม่ย

“ห้าวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง? มากกว่าพวกเราเสียอีก” ความรู้สึกอยุติธรรมในหัวใจของเฟิงฮันเยว่พลันมลายหายไป

“ทว่าเมื่อเทียบกับของศิษย์น้องเป่ยโม่ยแล้ว ของข้านับเป็นเพียงขยะ เขามี… แปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง!” หนานกงฟั่นสูดลมหายใจลึก ความอิจฉา จนใจ และไม่เต็มใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา

แปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง!

เฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยนิ่งงันไป หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน แปดวงแสงและอีกครึ่งหนึ่ง!

ความสามารถแฝงของเป่ยโม่ยนับเป็นสัตว์ประหลาด ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเมืองกว่านจวินจะให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น ในตอนนี้ เหล่าอัจฉริยะจึงได้ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขากับเป่ยโม่ย

หลังจากออกจากหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เฟิงฮันเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเฟิงได้กลับไปยังกองพันองครักษ์ฟ้า

ในวันเดียวกันนั้น พวกเขาได้ใช้ฐานะของศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินในการย้ายไปอาศัยอยู่ในที่ที่ดีกว่าในตำหนักกว่านจิน

“ยินดีกับพวกเจ้าทั้งสองในการกลายเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินด้วย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ลืมข้า” ฮวงชี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำขณะที่มองอีกฝ่ายด้วยความนับถือ

หลังจากที่ทั้งสองเก็บสองเสร็จ พวกเขาจึงไปหาองครักษ์สาม

“บัดนี้พวกเราล้วนอยู่ภายใต้อาจารย์เดียวกัน พวกเจ้าสามารถมาหาข้าได้หากต้องการความช่วยเหลือ” องครักษ์สามแย้มยิ้มบาง

“ข้าถามชื่อของศิษย์พี่ได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงไม่รู้นามที่แท้จริงของอีกฝ่าย

“ในฐานะของกองกำลังกว่านจวิน องครักษ์สามคือนามของข้าในบัดนี้” ผู้ดูแลกองพันองครักษ์ฟ้ายังคงดูลึกลับเช่นเคย

จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยนิ่งงันไปเล็กๆ ก่อนที่จะบอกลาอีกฝ่ายในเวลาต่อมา หลังจากกลายเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน การดูแลที่พวกเขาได้รับนั้นเหนือกว่าผู้อื่นส่วนมากในตำหนักกว่านจวิน

ในวันเดียวกัน

จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยต่างย้ายมาอยู่ในตึกของตนเอง ตึกที่จ้าวเฟิงย้ายเข้าไปอยู่นั้นมีผู้ฝึกตนสองคนคอยอารักขา

“ทำความเคารพนายน้อยจ้าว!” ผู้คุ้มกันทั้งสองคำนับ

“ทำความเคารพนายท่าน” ข้ารับใช้เจ็ดถึงแปดคนยืนนิ่งด้วยความเคารพ

ตึกนั้นมีความสูงสามขั้นและมีสวนเล็กๆ

“ความดูแลที่ข้าได้รับนั้นกระทั่งเหนือกว่าผู้อาวุโสในพรรคจ้าว” จ้าวเฟิงเดาะลิ้น

หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อน เขาอาจไม่แม้แต่จะจินตนาการว่าผู้ฝึกตนจะมาเป็นผู้คุ้มกัน เพียงแค่เป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน เขาก็ได้เบี้ยเลี้ยงเดือนล่ะสามหมื่นเงินและทรัพยากรจำนวนหนึ่งโดยไม่ได้ต้องเสียอันใด

หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ จ้าวเฟิงได้อาบน้ำและเริ่มที่จะฝึกฝนต่ออีกครั้ง เคล็ดลมหายใจหวนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยหยุดฝึกฝน หลังจากฝึกไปพักหนึ่ง เขาจึงเปลี่ยนไปฝึกวิชากำแพงเงิน วิชากำแพงเงินนั้นเป็นวิชาเซียนเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีและสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างมากมาย

จ้าวเฟิงจำสิ่งที่เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยเมื่อยามกลางวันได้

“จุดสำคัญของเก้าขั้นแห่งหนทางผู้ฝึกตนคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโลหิต กระดูก และอวัยวะ เป้าหมายที่แท้จริงของพลังภายในนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อฆ่า แต่เพื่อเสิมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย ในจุดนี้ ผู้ฝึกตนได้เดินไปผิดทาง”

มันง่ายที่จะเห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงของหนทางแห่งผู้ฝึกตนนั้นคือการฝึกฝนร่างกายและสร้างพื้นฐาน ซึ่งทำให้จ้าวเฟิงทุ่มเทกับการฝึกวิชากำแพงเงินมากขึ้นไปอีก

เมื่อวิชากำแพงเงินเข้าสู่ระดับสิบ ร่างกายของเขาจะเหนือขีดจำกัดของร่างมนุษย์และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการปลดปล่อยพลังยามที่พยายามทะลวงเข้าสู่หนทางแห่งผู้ฝึกตน

ในเวลาไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงให้ความสนใจกับวิชากำแพงเงิน เคล็ดลมหายใจหวน และวิชาอื่นๆ เช่นดรรชนีดาราและย่างก้าวหมอกผันแปร ทว่าความพัฒนาของวิชากำแพงเงินนั้นเชื่องช้ายิ่งนักยามที่ได้เข้าสู่ระดับหก

ไม่เพียงเท่านั้น วิชาเสริมกายานั้นต้องการเวลาและความพยายามในการเสริมสร้างขึ้นอย่างช้าๆ

“ทรัพยากรสามารถช่วยเพิ่มความเร็วความคืบหน้าของวิชาเสริมกายาได้” จ้าวเฟิงคิด

เขาจัดการสิ่งของของเขาและพบว่าเขามีเงิน 400,000 เงินในกระเป๋า

หืม? เยอะนัก!

จ้าวเฟิงยืนนิ่งงันไปชั่วขณะก่อนจะจำได้ว่ามันล้วนเป็นเงินที่ได้มาจากโจรที่เขาฆ่าไป โดยเฉพาะที่มีระดับฝึกตนขั้นเจ็ด คนผู้นั้นเพียงคนเดียวก็มีเงินถึง 200,000-300,000 เงินแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version