Skip to content

King of Gods 862

King Of Gods

บทที่ 862 เป็นตายพ่ายชนะ

เสียงของจ้าวเฟิงทำให้เหล่าอัจฉริยะราชันต่างผ่อนคลายลง กลิ่นอายกดดันน่ากลัวทั่วพื้นที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว

ภายในมิติเทพลวงตา ‘มารคู่ผมม่วง’ ต่างร่วมทุกข์ร่วมสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด

นอกจากจ้าวเฟิง ยากจะหาคนที่สองที่สามารถหยุดหนานกงเซิ่งซึ่งต่อสู้อย่างดุเดือด ณ ที่นั้นได้

ครั้นได้ยินเสียง ไอสังหารบนตัวหนานกงเซิ่งพลันหายไป สีหน้าโหดเหี้ยมเย็นชาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาก

หนานกงเซิ่งกลายเป็นเงาทับซ้อนเลือนรางสีม่วงเงินสายหนึ่ง แล้วใช้ความเร็วอันน่าหวาดหวั่นพุ่งเข้าไปในหอค่ายกลเทพ

คนแทบทั้งหมดต่างมองการเคลื่อนไหวของหนานกงเซิ่งไม่ทัน

ฟึ่บๆ! ฟึ่บๆ!

ในหอค่ายกลเทพ เหล่าผู้นำขั้นราชันต่างหัวใจหดรัด เห็นชัดว่ากดดันผิดปกติ

ต้องรู้ว่า หนานกงเซิ่งผู้นี้มีความสามารถน่ากลัวที่สามารถฆ่าราชันระดับสุดยอดได้ภายในชั่วพริบตา ไม่แน่ว่าจักรพรรดิปราณเทวะก็อาจไม่ใช่คู่มือ จิวอู๋จี้ก่อนหน้านี้ กำลังรบสามารถตีเสมอจักรพรรดิปราณเทวะได้สองสามกระบวนท่าในขั้นต้น

เกรงว่านอกจากเซวียนหยวนเหวิน คนอื่นๆ อาจจะถูกหนานกงเซิ่งสังหารสิ้นในพริบตาเดียวอย่างไม่มีข้อยกเว้น

ฟึ่บ! ภายใต้เสี้ยวเงาร่างที่ขยับเคลื่อนของหนานกงเซิ่ง เขาบีบเข้าใกล้เด็กหนุ่มผมม่วงในหอค่ายกลเทพเรื่อยๆ

“พี่เฟิง…”

จ้าวหยูเฟยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

สาเหตุเพราะหนานกงเซิ่งในตอนนี้ ทั้งพละกำลังและอารมณ์ความรู้สึกต่างอยู่เหนือหลักสามัญสำนึกทั้งสิ้น

เขาซึ่งสืบทอดพลังเทพปีศาจ จะยังเป็น ‘หนานกงเซิ่ง’ คนก่อนหน้านี้หรือไม่ ยังต้องรอดูต่อไป

ขวับ! เงาทับซ้อนหยุดชะงัก หนานกงเซิ่งปรากฏตัวข้างกายจ้าวเฟิง ทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันเหมือนเช่นที่แล้วมา รวมตัวเป็นมารคู่

ฟู่~ เหล่าผู้นำขั้นราชันในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้

“ยังดี หนานกงเซิ่งคนนี้ไม่ได้เสียการควบคุมไปจนหมด…”

ศิษย์พี่จูเก๋อลอบปาดเหงื่อเย็นออก แต่สายตาที่เหล่าผู้คนมองไปยังมารคู่ต่างส่องประกายหวั่นเกรงลึกล้ำ

หนึ่งในมารคู่ ‘หนานกงเซิ่ง’ ใช้พละกำลังอันล้ำเลิศน่าหวาดหวั่นสยบทุกผู้ พาให้คนเกรงกลัว

เขาเลือดเย็นกระหายเลือด สังหารโดยไม่ลังเล ทำให้ผู้คนหวาดผวา

อีกคนหนึ่งในมารคู่ ‘จ้าวเฟิง’ มีแววตาลึกล้ำ สีหน้าเรียบเฉย สุขุมมั่นคง

จนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มผู้นี้เหมือนอยู่ในม่านหมอกหนาทึบ ลึกลับยากคาดเดา พาให้คนมองไม่ออก แต่ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานเห็นเขาต่อสู้กับพวกราชามังกรฟ้าวารีสองคนต่างพากันลืมไม่ลง

ตอนนั้นเด็กหนุ่มผู้นี้ใช้กำลังเพียงคนเดียว เกือบจะคร่าชีวิตของสองมังกรที่อยู่ลำดับที่เก้าและสิบในรายชื่อจักรพรรดิได้

และจนถึงตอนนี้ พวกราชามังกรฟ้าวารีสองคนนั้นก็ยังไม่กล้าปรากฏตัว

“หนานกงเซิ่ง เจ้ามีวิธีแก้ไขค่ายกลใน ‘หอค่ายกลเทพ’ ใช่หรือไม่?”

จ้าวเฟิงเอ่ยปากกะทันหัน

ไม่กี่วันมานี้เขารอหนานกงเซิ่งมาตลอด รอความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง

ในตอนนี้ หอค่ายกลเทพยากจะแก้ไขได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจถูกผู้คนใช้ประโยชน์ได้ ทว่า มังกรวารีล้างโลกานั่นก็สามารถฝ่าเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางได้ภายในสิบวัน

เมื่อเผชิญหน้ากับความตายและศัตรูตัวฉกาจร่วมกัน จ้าวเฟิงจำต้องร่วมมือกับผู้คน ทั้งยังเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ของตนไว้

การเอ่ยปากของจ้าวเฟิงนำความตื่นตะลึงมาให้กับเหล่าผู้นำขั้นราชัน ณ ที่นั้น

หรือว่าหนานกงเซิ่งจะรู้วิชาค่ายกลด้วย? จากท่าทางโหดเหี้ยมกระหายเลือดของเด็กหนุ่มคนนี้ ดูไม่เหมือนคนประเภทนั้นเลย

“ข้ามาก็เพื่อเรื่องนี้”

หนานกงเซิ่งสีหน้าเฉยเมย กวาดตามองเหล่าอัจฉริยะราชันที่ดูหวั่นเกรงเรียบๆ คราหนึ่ง รวมทั้งสายตาส่วนหนึ่งซึ่งแฝงแววเคียดแค้นจากการที่ศิษย์ร่วมสำนักถูกสังหาร แววตาของเขาเยียบเย็น เจือความเย็นชาอย่างเมินเฉยไม่ใยดีราวกับมองมดปลวก มีเพียงยามสายตาตกลงบนร่างเด็กหนุ่มผมม่วงข้างกายเท่านั้น ในดวงตาของหนานกงเซิ่งถึงวาบประกายขัดแย้งซับซ้อนออกมาสายหนึ่ง

หนานกงเซิ่งไม่เข้าใจ ทำไมทั้งที่อยู่ต่อหน้าพลังอันน่าคร้ามเกรงถึงเพียงนี้ของตน เด็กหนุ่มคนนี้ยังสามารถสงบนิ่งได้เหมือนปกติ

“ศิษย์พี่หนานกง ท่านรู้วิธีแก้ไขค่ายกลหรือ?”

จ้าวหยูเฟยกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี

ช่วงเวลาที่เว้นไว้ให้ผู้คนได้พักหายใจมีเพียงสิบวันเท่านั้น

ภายใต้ความตายที่คุกคามเข้ามา ทุกคนต่างมีความหวังว่าจะเอาชนะได้

“ข้ามีแผนผังค่ายกลโดยคร่าวๆ ของ ‘แกนกลางค่ายกลเทพ’ สามารถซ่อมเสริมมันให้แข็งแกร่งขึ้นได้ ส่วนการควบคุม ‘ค่ายกลเทพ’ นอกจากไปถึงขั้นครึ่งเซียนแล้ว พวกเจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝันเลย”

หนานกงเซิ่งกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

พวกศิษย์พี่จูเก๋อเมื่อได้ยินใบหน้าก็ปรากฏแววดีใจวูบหนึ่ง

ค่ายกลเทพคุ้มกันนี้ถึงอย่างไรก็เป็นขอบเขตแห่งเทพ คนทั่วไปจะควบคุมได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?

มิน่าเล่า มังกรวารีล้างโลกานั่นรู้แผนของทุกคน แต่กลับไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้

“หากสามารถซ่อมเสริม ‘แกนกลางค่ายกลเทพ’ อย่างน้อยก็คลายวิกฤตได้ชั่วคราว”

ปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งของฝ่ายเชื้อพระวงศ์กล่าว

ทันใดนั้นหนานกงเซิ่งพลันหลับตาลงน้อยๆ ส่งโครงสร้างแผนผังค่ายกลคร่าวๆ ให้ศิษย์พี่จูเก๋อก่อนผ่านห้วงคิดเซียนก่อน

ไม่นานนัก คนที่รับหน้าที่แก้ค่ายกลเทพหลายคนต่างได้รับผังค่ายกลเรียบร้อย

“เยี่ยมยอด! สมกับที่เป็นค่ายกลเทพคุ้มกัน!”

ศิษย์พี่จูเก๋อกับปรมาจารย์ค่ายกลคนอื่นๆ อดทอดถอนใจอย่างตกตะลึงไม่ได้ ในดวงตาเผยแววหลงใหลบ้าคลั่ง

แน่นอนว่า แม้ได้ผังโครงสร้างของค่ายกลมาแล้ว จะดำเนินการซ่อมเสริมมันให้สำเร็จยังต้องใช้เวลาอีกหน่อย

ระหว่างที่เวลาไหลเคลื่อนไป

เงาแห่งความตายที่มังกรวารีล้างโลกานำพามาก็คืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ปกคลุมผู้คนทั่วทั้งคฤหาสน์เสียหยาง

ภายในคฤหาสน์เสียหยางเงียบเชียบอึดอัดไปทั่วทุกที่

สิ่งมีชีวิต ณ ที่นั้นส่วนหนึ่งรับรู้ได้ถึงสัญญาณแห่งภัยพิบัติ ต่างตัวสั่นกระวนกระวาย

หนึ่งวัน… สองวัน… สามวัน… ช่วงเวลาดิ้นรนเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่น้อยลงไปทุกที

โฮก!

ปึงๆๆ! ตู้ม!

นอกคฤหาสน์เสียหยาง ร่าวเกล็ดดำใหญ่ยักษ์ของมังกรวารีล้างโลกากำลังจู่โจมค่ายกลเทพคุ้มกันอย่างรุนแรง แสงอันโชติช่วงของค่ายกลเทพสลัวรางลงไปมากกว่าครึ่งแล้ว

ทุกครั้งที่มังกรวารีล้างโลกาจู่โจมจะเกิดรูใหญ่หนึ่งรู

หากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือสัตว์อสูรที่มีขนาดร่างกายทั่วไปคงมุดเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางได้แล้ว

เพียงแต่ ร่างกายของมังกรวารีล้างโลกาใหญ่โตเกินไป รูใหญ่ธรรมดาไม่พอให้มันมุดเข้าไปได้

พลังในการซ่อมแซมตัวเองของค่ายกลเทพยังคงอยู่ พื้นที่ค่ายกลที่เสียหายผสานสนิทอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว

“ยังเหลืออีกห้าวัน พวกเจ้าทุกคนจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้โทสะของเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกา…”

เสียงคำรามดังลั่นฟ้า สะท้านสะเทือนคฤหาสน์เสียหยาง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด

ส่วนหัวของมังกรวารีล้างโลกาฝืนยื่นเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางได้ส่วนหนึ่ง

ชั่วพริบตานั้น สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งคฤหาสน์เสียหยางต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายบ้าคลั่งโหดเหี้ยมทำลายล้างโลก

ภายในหอค่ายกลเทพ

พวกศิษย์พี่จูเก๋อและซินอู๋เหินต่างศึกษาโครงสร้างค่ายกลแข่งกับเวลา

พรึ่บ! ด้านข้างคฤหาสน์เสียหยาง เงาร่างสองสายพลิ้วลงในบริเวณที่รอยแยกปรากฏ ผู้มาทั้งสอง คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มผมม่วง อีกคนเป็นคนผมม่วงโลหิต

“อืม ค่ายกลตรงนี้มีรอยแตกมาก ในช่วงเวลาสำคัญ พวกเราสามารถใช้มันเป็นหนึ่งในจุดหลบหนีได้”

จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ

กล่าวจบ เขายก ‘เกราะแขน’ อาวุธเทพชั้นรองในมือขึ้นเล็งพื้นที่เดิมและกดลงเล็กน้อย

วู้ม! ผิวด้านนอกของเกราะแขนปรากฏแสงสีเงินขึ้นมาชั้นหนึ่ง ก่อนจะหมุนเคลื่อนไปรอบๆ แล้วหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นจุดแสงสีทึบและค่อยๆ หายไปไม่เห็นร่องรอย ในจุดที่ยังเหลือการเคลื่อนไหวของมิติน้อยๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นราบเรียบเช่นกัน

“เรียบร้อยแล้ว”

ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้ากับเกราะแขน พบว่าภายในนั้นปรากฏจุดแสงสีทึบอย่างชัดเจนจุดหนึ่ง

ที่แท้ จ้าวเฟิงกำหนดจุดหมายนี้ผ่านอาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’

“สัญลักษณ์มิตินี้จะมีผลแค่ในมิติเทพลวงตาเท่านั้น ถ้ากลับไปดินแดนทวีปก็ใช้ไม่ได้ เพราะมิติเทพลวงตาเป็นมิติที่เคลื่อนย้ายทุกขณะ ทุกร้อยปีจะมาบรรจบกับทวีปคราหนึ่ง”

หนานกงเซิ่งเตือน

การเคลื่อนย้ายของมิติ แตกต่างกันเพียงนิดก็ทำให้ระยะทางห่างกันหลายพันล้านลี้แล้ว ถึงขนาดอาจถูกส่งไปมิติอื่นด้วยซ้ำ และเป็นไปได้มากว่าจะหลงเข้าไปในการปั่นป่วนของมิติ ซึ่งก็เท่ากับตาย

“ข้าเข้าใจ ถ้าเป็นสัญลักษณ์มิติที่ดินแดนทวีป ในมิติเทพลวงตาสามารถส่งไปกลับได้โดยตรง เพราะมันเป็นพื้นที่มิติที่มั่นคง”

จ้าวเฟิงถอนหายใจ

ถ้ามิติเทพลวงตาไม่ใช่มิติที่เคลื่อนย้ายตลอดเวลา ขอเพียงเขาทิ้งเครื่องหมายมิติไว้ที่นี่ ต่อไปขอเพียงมีพลังมากพอก็สามารถกลับมามิติเทพลวงตาได้อีก

อีกวันสองวันหลังจากนั้น จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งมักปรากฏตัวตามมุมต่างๆ รอบคฤหาสน์เสียหยาง เพื่อทิ้งช่องทางการหลบหนี จ้าวเฟิงทำสัญลักษณ์ไปทั้งสิ้นสิบเก้าตำแหน่ง

“แม้พลังของข้าไม่แข็งแกร่ง แต่ทำจุดเคลื่อนย้ายนี้ก็ไม่น่ามีปัญหา…”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ

“พลังเจ้าไม่พอก็ยังมีข้า”

มุมปากหนานกงเซิ่งประดับรอยยิ้มร้ายอย่างมาดมั่น

ระดับพลังของเขา ในหมู่คนนอกที่มาคฤหาสน์เสียหยาง สามารถเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีพลังด้านมิติอยู่ด้วย

“เช่นนั้นก็ดี”

จ้าวเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหนานกงเซิ่งมากขึ้น

หนานกงเซิ่งตอนนี้ แม้จะไม่ถึงขั้นนิสัยบิดเบี้ยวไม่ไว้หน้าใคร แต่นิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปก็ไม่น้อยจริงๆ เช่นว่าความโหดเหี้ยม เข่นฆ่าสังหารอย่างเย็นชา

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์เสียหยาง หอค่ายกลเทพ

“ยังเหลือเวลาอีกสามวันสุดท้าย…”

นอกหอค่ายกล ราชันอัจฉิรยะผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายต่างนั่งไม่ติดที่

เงาแห่งความตายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนต่างได้ยินเสียงคำรามของมังกรวารีล้างโลกาเป็นระยะ

สามวันสุดท้าย

ปึง ตู้มๆ!

แสงค่ายกลเทพคุ้มกันของคฤหาสน์เสียหยางสลัวลงอย่างถึงที่สุด คล้ายจะพังทลายลงทุกเมื่อ

“สามวันต่อจากนี้ มังกรวารีล้างโลกานั่นอาจเข้ามาได้ทุกเวลา!”

ศิษย์พี่จูเก๋อสูดหายใจลึก

“ใกล้แล้ว ระบุรอยแตกที่ใหญ่ที่สุดสองอันในนั้นก่อน แล้วสร้างค่ายกล ขับเคลื่อนพลังเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนย้ายขนส่ง…”

บนหน้าผากซินอู๋เหินมีเม็ดเหงื่อผุดพราย

ไม่ว่าจะสูงส่งหรือมีมุมมองแบบใด ภายใต้การคุกคามของความตายอันไร้คู่ต่อสู้ มักต้องเกิดแรงกดดันและความหวาดกลัวเสมอ

ในตอนนี้เอง เหล่าอัจฉริยะราชันนอกหอค่ายกลเทพก็พากันเข้ามาภายใน ก่อนร่วมระดมกำลัง

ครึ่งวันหลังจากนั้น ระลอกคลื่นค่ายกลห้าสีแพรวพราวก็สร้างออกมาได้มากกว่าครึ่งแล้ว

“ก็อยู่ที่ดวงแล้ว…”

จ้างเฟิงถอนหายใจเบาๆ ลูบเกราะแขนของตน

ยามนั้นเอง ค่ายกลเทพคุ้มกันของคฤหาสน์เสียหยางเบาบางลงอย่างยิ่ง

เปรี๊ยะ!

หัวใหญ่โตของมังกรวารีล้างโลกากับร่างเกือบครึ่งส่วนมุดเข้ามาในคฤหาสน์เสียหยางแล้ว

“ฮึ… วันแห่งการสิ้นสุดกำลังจะมาถึงแล้ว”

เสียงมังกรคำรามสะเทือนฟ้าสะท้อนไปทั่วคฤหาสน์เสียหยาง จนพาให้เกิดความรู้สึกราวกับฟ้าดินสั่นสะเทือน

ฮูม! ลมหายใจเพลิงผลาญสายหนึ่งกวาดซัดเข้ามา ทำให้สิ่งก่อสร้างจากฟางไม้ข้างๆ คฤหาสน์เสียหยางกลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ

“จบสิ้นแล้ว!”

“ทุกอย่างจะจบลงแบบนี้หรือ?”

ในหอค่ายกลเทพ เหล่ายอดฝีมืออัจฉริยะของทุกขั้วอำนาจต่างจมลงสู่ความสิ้นหวังถึงขีดสุด

“ยังมีโอกาส!”

จ้าวเฟิงยื่นมือแตะเกราะแขนของตน สายตาคมปลาบ

วิ้ง~ ยอดฝีมือทั้งหลายต่างเคลื่อนปราณแท้จริงรวมเข้าไปในระลอกคลื่นค่ายกลห้าสีนั้น

“ไป!” ซินอู๋เหินกับศิษย์พี่จูเก๋อเป็นผู้นำ ดึงลำแสงห้าสีสองสายออกมาจากภายในค่ายกล

วู้มมม! ลำแสงห้าสีสองสายนี้แยกกันไปรวมอยู่ในรอยแตกที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งของ ‘แกนกลางค่ายกลเทพ’ พยายามจะเข้าซ่อมแซมมัน เป็นตายพ่ายชนะอยู่ในช่วงการกระทำนี้!

ทุกคน ณ ที่นั้นต่างกลั้นหายใจ รู้สึกตึงเครียดไปหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version