Skip to content

King of Gods 877

King Of Gods

บทที่ 877 ข้าไม่อยากสังหารหมู่

ความจริงแล้วเมื่อสองวันก่อน จ้าวเฟิงทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะได้เรียบร้อยแล้ว

ราชันในขอบเขตปราณเทวะ สำหรับระดับขั้นดวงวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาในวันนี้ ไม่มีอุปสรรคติดขัดแม้แต่น้อย

จุดสนใจหลักของจ้าวเฟิงอยู่ที่รูปร่างคงสภาพของมิติปราณที่แท้จริง

ในมิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงแสวงหาความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริงอย่างที่สุด และไขว่ขว้าหาวิธีการที่ทำให้ระเบิดพลังแกร่งกล้าออกมาในเวลาสั้นๆ

ก่อนที่จะทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง คุณภาพปราณที่แท้จริงของเขาก็เทียบเท่ากับราชันปราณเทวะแล้ว

ในวันนี้หลังจากเลื่อนเป็นขอบเขตปราณเทวะ คุณภาพของปราณแท้จริงที่ก่อตัวภายในร่างของเขาสูงขึ้น เทียบเท่ากับราชันในระดับลึกซึ้งทั่วไป

แซ่ด! ผลัวะ~

ทั่วร่างของจ้าวเฟิงมีวายุอัสนีธาตุไม้และวายุอัสนีธาตุน้ำสอดประสาน เปล่งแสงสุกสว่างวาววับออกมา

การปิดผนึกฝึกตนในสองเดือนนี้ได้ความช่วยเหลือจากทรัพยากรชั้นยอดจำนวนมหาศาล ‘วายุอัสนีธาตุน้ำ’ ของจ้าวเฟิงทะลวงผ่านได้อย่างราบรื่น แตะถึงขั้นเจ็ดระดับต่ำ กระทั่งเข้าใกล้ระดับสูง

‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ตั้งแต่ขั้นที่เจ็ดเป็นต้นไป ในทุกขั้นจะหมายถึงวายุอัสนีห้าสายแต่ละธาตุ อีกทั้งถูกแบ่งออกเป็นระดับแรกเริ่ม ระดับต่ำ ระดับสูง และระดับสุดยอดด้วย

ขั้นที่เจ็ดของ ‘วิชาวายุอัสนี’ เท่ากับระดับขั้นห้าของ ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’

การเพิ่มขึ้นขององค์ประกอบพลังฝึกตน ทำให้แก่นแท้ร่างกายและชีวิตกับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นพอสมควร

ในส่วน ‘กายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิง หลังจากที่ใช้สมบัติล้ำค่าอย่างเช่น ‘น้ำผึ้งไป่หยวน’ ในปริมาณมาก สภาวะวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง และไปถึง ‘ขั้นที่ห้าระดับสูง’

สามารถพูดได้ว่า

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงอาศัยสมบัติทรัพยากรชั้นยอดจำนวนมหาศาล ค่อยๆ เก็บสั่งสมไปทีละน้อย

ในชั้นวิญญาณ จ้าวเฟิงไม่ต่างกับจักรพรรดิปราณเทวะเท่าไหร่นัก ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณไปไกลมากแล้ว แต่ในขณะที่กำลังขัดเกลาฝึกฝน ‘พลังจักรพรรดิ’ ก็ฟื้นฟูไปเจ็ดแปดส่วนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เดิมทีพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะ พลังก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก ด้วยเพราะคุณภาพปราณที่แท้จริงของเขาเทียบเท่าได้กับราชันตั้งนานแล้ว จุดที่สำคัญก็คือต้องเพิ่มองค์ประกอบและกำลังรบเล็กน้อย

แต่ทว่า ในขณะที่จ้าวเฟิงทะลวงขอบเขตปราณเทวะ เขาใช้สมบัติและทรัพยากรล้ำค่าจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ชุดหนึ่ง

นี่ก็ส่งผลให้สภาวะวิญญาณ พลังวิญญาณ และด้านอื่นของเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย

‘พลังของข้าในตอนนี้น่าจะฟื้นฟูไปแล้วหกเจ็ดส่วนของช่วงชีวิตก่อน แต่ในด้านต่างๆ อย่างแก่นแท้ร่างกายโดดเด่นกว่าตอนนั้น’

จ้าวเฟิงคิดคำนวณคร่าวๆ ในใจ

และในเวลานี้เอง

บนอากาศเหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น กลิ่นอายพลานุภาพมหาศาลของขอบเขตปราณเทวะตลบพวยพุ่ง พลังจักรพรรดิที่ทะลวงในฟ้าดินในกลุ่มนั้นมีสี่ห้ากลุ่ม

“สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ส่งมอบจ้าวเฟิงที่เป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วงออกมาซะ!”

“ตอนอยู่ในมิติเทพลวงตา มารคู่ผมม่วงโหดร้ายอำมหิตอย่างยิ่ง ปล้นชิงไปทั่วทิศ ทำให้คนสำนักอื่นเสียผลประโยชน์ ลงมือสังหารคนไม่เลือกหน้า…”

“เหอะ! สมบัติล้ำค่าอย่างอาวุธเทพชั้นรอง สำนักสองดาวแห่งหนึ่งจะคุ้มครองไว้ได้อย่างไร?”

บรรดายอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะของตำหนักวิญญาณปฐพีลอยตัวอยู่กลางอากาศ กวาดสายตามองสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่เบื้องล่างพลางเอ่ยท้า

ในน้ำเสียงเหล่านี้ มีบางส่วนกระหายจะแย่งชิงอาวุธเทพชั้นรองอย่างไม่ปกปิด

สามาถคาดเดาได้ว่า ในโลกสำนักของราชวงศ์ต้าเฉียน ความโหดร้ายของปลาใหญ่กินปลาเล็กรุนแรงเสียยิ่งกว่าชายแดนมหาสมุทรเสียอีก

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

ในสถานการณ์เช่นนี้ ยอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต้องปรากฏกายอย่างเสียไม่ได้

ถึงอย่างไรสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็เคยเป็นสำนักสามดาวที่รุ่งโรจน์อยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง มีตื้นลึกหนาบางลึกล้ำ มีจักรพรรดิปราณเทวะสามคนและราชันปราณเทวะสิบกว่าคน

ณ ทางเข้าสำนักในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิก็ปรากฏกายขึ้นสองคน นอกเหนือจากจักรพรรดิหลิงฉยงยังมีบุรุษหนุ่มชุดดำอีกคนหนึ่งด้วย

ตูม~

ภายในพลังรุนแรงมหาศาลกลุ่มหนึ่ง ปรากฏราชันผู้เฒ่าแสงสีส้มมีเรือนผมสีดอกเลาผู้หนึ่งขึ้นกลางอากาศ

จักรพรรดิสองคน เงาจักรพรรดิหนึ่งคน

“เหอะๆ …เฒ่าประหลาดสวี ดูไปแล้วหลังจากที่เจ้าทะลวงผ่านเทวาเร้นลับไม่สำเร็จ อายุขัยของชีวิตของเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่อาจผลีผลามลงมือสุดแรงได้”

จักรพรรดิชุดทองคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณปฐพีหัวเราะเรียบๆ

จักรพรรดิชุดทองผู้นี้ ลำแสงสีทองมหาศาลบนร่างปกคลุมฟ้าดินครึ่งหนึ่ง พลังกดดันจักรพรรดิคนอื่นๆ เหมือนว่าจะเป็นจักรพรรดิชั้นยอด

“จางเสวียนต้งเป็นหนึ่งในสามของจักรพรรดิชั้นยอดของตำหนักวิญญาณปฐพี”

จักรพรรดิหลิงฉยงและจักรพรรดิหนุ่มชุดดำที่อยู่ข้างกายสบตากัน สีหน้าเคร่งขรึม

กำลังรบของจักรพรรดิชั้นยอดอยู่เหนือจักรพรรดิทั่วไปมาก และมีอยู่น้อยนิดในกลุ่มของจักรพรรดิปราณเทวะ

ในราชวงศ์ของดินแดนทวีป เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับปิดผนึกฝึกตนเป็นระยะเวลายาวนาน ในระหว่างหนทางการฝึกบำเพ็ญเป็น ‘เทพเซียน’ จะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของโลกภายนอกมากนัก

ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไป จักรพรรดิชั้นยอดแทบจะเป็นผู้ที่ไร้เทียมทานในโลกนี้!

แต่เดิมสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเองก็มีจักรพรรดิชั้นยอดผู้หนึ่ง คือ ‘เฒ่าประหลาดสวี’ ผู้เป็นเจ้าของเงาจักพรรดิ เสียดายเพียงแต่ว่าอายุขัยใกล้จะถึงขีดจำกัดและลดลงไปมาก

“เหมือนสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจะเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”

จ้าวเฟิงเดินออกมาจากภายในเรือนพัก

ในเวลานี้เอง ทั่วทั้งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลังมหาศาล

ลูกศิษย์จำนวนมากในสำนักใจสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าจะหายใจแรงแม้แต่น้อย

ดีที่การประจันหน้ากันของคนในขั้นราชันเหล่านี้อยู่กลางอากาศ

“จ้าวเฟิง!”

จ้าวเฟิงเพิ่งจะปรากฏกายขึ้น ‘กูเจาจื้อ’ ของตำหนักวิญญาณปฐพีที่อยู่กลางอากาศก็ร้องตะโกนเสียงดัง

ในแววตาของกูเจาจื้อฉายแววยำเกรงหวาดกลัว มีความตื่นเต้นวาบผ่านอยู่หลายส่วน

ตอนอยู่ที่เมืองใต้ดินในมิติเทพลวงตา จ้าวเฟิงเคยมีเรื่องมีราวกับกูเจาจื้อมาก่อน

ในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย ณ คฤหาสน์เสียหยาง กูเจาจื้อถูกมังกรวารีทมิฬคุกคาม ทรยศเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่งมอบกุญแจโซ่ผนึกวิญญาณให้มัน

ภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง

“เจ้าก็คือจ้าวเฟิงคนนั้นงั้นหรือ? คนที่เป็นหนึ่งในมารคู่ผมม่วง?”

แววตาของราชันและจักรพรรดิของตำหนักวิญญาณปฐพีจับจ้องไปที่จ้าวเฟิง

มิติเทพลวงตาสิ้นสุดลงไปแล้วเป็นเวลาสองเดือน เรื่องเล่าตำนานของมารคู่ผมม่วงก็แพร่กระจายไปในหมู่คนระดับสูงของราชวงศ์ต้าเฉียน

อีกทั้งในมารคู่ผมม่วง เด็กหนุ่มผมม่วงคนนั้นมีภาพลักษณ์ที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา กระทั่งมีฐานะเป็นผู้ชักใยหลักของกลุ่ม

เด็กหนุ่มผมม่วงผู้นี้มีคนเรียกเขาว่าจ้าวเฟิง และมีคนเรียกว่า ‘จ้าวเฟิง’

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญคือเขากลายเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากคฤหาสน์เสียหยาง

“ดูท่าน่าจะอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นต่อไม่ได้แล้ว…”

จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ

อาศัยสะพานอย่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในรวดเดียว แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากคฤหาสน์เสียหยาง เขาเองก็กลายเป็นผู้นำพามหันตภัยมาสู่สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น

“จ้าวเฟิง เกรงว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นจะปกป้องเจ้าต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนัก พวกเราจะทุ่มเทแรงคุ้มกันให้เจ้าหนีรอดไปให้ได้”

เงาจักรพรรดิของ ‘เฒ่าประหลาดสวี’ ที่เป็นสีส้มแวววาวเอ่ยกับจ้าวเฟิง

จักรพรรดิสามคนของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่อยู่กลางอากาศสีหน้าบึ้งตึงไปเล็กน้อย

ระดับของสำนักตำหนักวิญญาณปฐพีอยู่เหนือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นไปหนึ่งระดับ ถ้าหากว่ากระทบกระทั่งกันแล้ว แทบจะไม่มีโอกาสชนะได้เลย

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นยินยอมช่วยเปิดทางหนีรอดให้จ้าวเฟิง ก็นับว่าเห็นใจและลงมือช่วยอย่างที่สุดแล้ว

“จ้าวเฟิง หากว่าเจ้าสามารถหนีไปถึงจวนอ๋องโหวจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้”

จักรพรรดิหลิงฉยงเอ่ยเตือน

ด้วยเพราะจวนอ๋องโหวเป็นสถาบันการปกครองสูงสุดในนามของดินแดนเกาะเทียนเฟิง และเป็นตัวแทนของเชื้อพระวงศ์ต้าเฉียน

“หนี?” มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเยาะเย้ยตัวเอง

เข้าระลึกถึง ‘คำสั่งล่าสังหาร’ ที่ช่างยาวนานในชังไห่เมื่อยามก่อนขึ้นมาอย่างประหลาด

“ขอบคุณในเจตนาดีของทุกท่าน เจ้าพวกตัวตลกเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ข้าต้องหนีไป”

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะยิ้มน้อยๆ แล้วคารวะพวกจักรพรรดิหลิงฉยง

เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ยอดฝีมือทั้งสองฝั่งในที่นั้นส่งเสียงโกลาหล

“เจ้าเด็กสามหาว!”

“ยโสโอหัง! ผู้เยาว์ที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นราชัน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

บรรดาจักรพรรดิและราชันของตำหนักวิญญาณปฐพีไม่โกรธเกรี้ยวแต่กลับหัวเราะเยาะเย้ย

เปรี๊ยะ โครม——

พริบตานั้น พลังราชันที่เหลือทั้งหมดสิบกว่าสาย กระทั่งมีพลังจักรพรรดิสองสามสายอยู่ภายในนั้น ก็ปะทะลงมาบนร่างของจ้าวเฟิง

พลังเหล่านั้นทะลวงผ่านอากาศ ส่งเสียงโครมครามในชั้นวิญญาณ ก่อให้เกิดพลังเสวียนอ้าวในฟ้าดินที่ไร้รูปร่าง รุนแรงมากพอจะถล่มฟ้าทำลายดินได้

ตูม โครม บึ้ม~

พื้นที่ในบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่พังทลายในทันที กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนท่ามกลางการปะทะของพลังเหล่านั้น

“ไม่ได้การ!”

เหนือหมู่เมฆ ‘หลีเถี่ยเทียน’ ในชุดนักรบสีแดงเข้มร้องตกใจอย่างอดไม่ได้

พลังราชันมากมายเพียงนี้ ทั้งยังมีพลังจักรพรรดิร่วมด้วย เกรงว่าสามารถทำให้จิตวิญญาณของราชันธรรมดาพังทลาย ถึงขั้นวิญญาณหลุดลอยได้

พวกจักรพรรดิหลิงฉยงฝั่งสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นก็ตั้งรับไม่ทัน

ประโยคเดียวของจ้าวเฟิงกระตุ้นความโกรธแค้นของหมู่คนไปแล้ว

ราชันและจักรพรรดิจากตำหนักวิญญาณปฐพีก็กำลังคันไม้คันมืออยากสังหารเขาเพื่อช่วงชิงสมบัติอาวุธเทพชั้นรอง

“ฮึ!” จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหวใดๆ

กลิ่นอายวิญญาณของเขาดุจทะเลสงบไม่เห็นก้นบึ้ง ร่างกายของเขาไม่ต่างจากภูผาเก่าแก่ ผ่านเวลาเนิ่นนานก็ไม่แปรเปลี่ยน แรงกดดันจากพลังเหล่านั้นมุ่งเน้นที่ชั้นวิญญาณเป็นหลัก มาพร้อมกับแรงต้านจากพลังในฟ้าดิน

ทว่าสิ่งเหล่านี้กระทบตัวจ้าวเฟิงกลับเหมือนขว้างหินลงมหาสมุทร

ตูม ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

หลังจากพลังราชันและจักรพรรดิเหล่านั้นพุ่งปะทะ กลับไม่เกิดผลใดทั้งสิ้น

“นะ…นี่เป็นไปได้อย่างไร!”

เหล่ายอดฝีมือปราณเทวะที่โจมตีพากันเอ่ยไม่ออก

โดนโจมตีจากพลังมากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิทั่วไปก็ต้านไม่ไหว เจตจำนงวิญญาณจะได้รับบาดเจ็บ

แต่จ้าวเฟิงกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง หนำซ้ำยังปลอดภัย ไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บแม้แต่น้อย

ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นฟากของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น หรือว่าจะเป็นตำหนักวิญญาณปฐพีที่มาอย่างคุกคาม ทั้งสองฝั่งก็ตื่นตะลึงเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

“ทำได้ถึงขนาดนี้ มีแต่พลังวิญญาณจะแตะขั้นจักรพรรดิชั้นยอดแล้ว”

จักรพรรดิหลิงฉยงสูดลมหายใจเข้าลึก

พวกจักรพรรดิชุดทอง ‘จางเสวียนต้ง’ ฟากตำหนักวิญญาณปฐพีเลิกดูแคลนจ้าวเฟิง สีหน้าก็ถึงขั้นเคร่งเครียดขึ้น

หากดูอย่างผิวเผิน จ้าวเฟิงเพิ่งจะบรรลุขอบเขตปราณเทวะได้ไม่นานนัก

แต่ถ้าหากพินิจดูอย่างละเอียดจะพบว่า กลิ่นอายปราณแท้จริงจากทั่วร่างของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทรงพลังมากกว่าราชันทั่วไป พลังในการควบคุมแตะไปจนถึงระดับขั้นสูงส่งจนเกินจะคาดคิด

“กูเจาจื้อ พาสหายร่วมสำนักของเจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากสังหารหมู่…”

จ้าวเฟิงสาวเท้าอย่างสบายๆ ในขณะที่ดวงตาจับจ้องกูเจาจื้อ

ลงมือสังหารหมู่?

กูเจาจื้อถูกเขาจ้องมองจนขนลุกชัน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

เขาที่อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของผู้อาวุโส จักรพรรดิ และราชันของสำนักจำนวนมากมายเช่นนี้ แต่เมื่อถูกจ้าวเฟิงมองจ้องมา เขาไม่รู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย

เวลานี้เหมือนย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในคฤหาสน์ กลับไปตอนที่จ้าวเฟิงปลดปล่อย ‘เนตรเพ่งเทพเจ้า’ ฉกชิงเอาดวงวิญญาณของพวกราชามังกรวารีทั้งสองไป

เหตุการณ์ที่น่ากลัวดังกล่าวเหมือนยังคงวนเวียนอยู่จนถึงตอนนี้

“ลงมือสังหารหมู่?”

สีหน้าของราชันและจักรพรรดิแห่งตำหนักวิญญาณปฐพีเหยียดหยาม เหมือนได้ยินเรื่องน่าขันที่สุด

และในเวลานี้ จ้าวเฟิงสาวเท้าเดินมาอย่างเนิบนาบ

พรึ่บ! ในบริเวณที่เขาเคยอยู่เหลือเพียงเสี้ยวเงาสายฟ้าสายหนึ่งเท่านั้น

ราชันขอบเขตปราณเทวะ ณ ตรงนั้นตาเบิกกว้าง ดูร่องรอยการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงไม่ออกแม้แต่น้อย

ในวินาทีต่อมา

จ้าวเฟิงก็ปรากฏกายขึ้นบนชั้นเมฆ ในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นและตำหนักวิญญาณปฐพี

บรรดาราชันและจักรพรรดิทั้งหลายของทั้งสองฝั่งสูดลมหายใจเย็นยะเยือก

ความเร็วที่จ้าวเฟิงแสดงเมื่อครู่น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง คนในที่นั้นนอกเหนือจาก ‘จางเสวียนต้ง’ ผู้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดของตำหนักวิญญาณปฐพี จักรพรรดิราชันคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน

“เจ้า…”

เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของกูเจาจื้อ

เมื่อถูกดวงตาจ้าวเฟิงจับจ้องมอง เงาของความหวาดกลัวในจิตใจส่วนลึกก็แผ่กระจายทั่ววิญญาณ

เขาย่อมไม่กล้าสงสัยว่าจ้างเฟิงจะสามารถ ‘ลงมือสังหารหมู่’ ได้หรือไม่อยู่แล้ว

ในฟากของตำหนักวิญญาณปฐพีตกลงสู่ความเงียบสงัดไปชั่วขณะ บางทีอาจเป็นเพราะว่าความลึกลับเกินจะคาดเดาของจ้าวเฟิง หรืออาจเป็นเพราะความหวาดวิตกที่มีต่อความเร็วน่าตื่นตะลึงของเขา

แต่กองกำลังของสำนักสามดาวจะถูกคนรุ่นหลังที่เพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นราชันหมาดๆ เขย่าขวัญได้หรือ?

คำตอบก็เห็นได้ชัดเจนอยู่ตรงนี้แล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version