บทที่ 920 เข้าวังหลวง
“น้องเก้า ยินดีด้วยที่ได้ยอดคนฝีมือเก่งกาจเช่นนี้มา!” องค์ชายแปดทักทายตามธรรมเนียม
เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง เขาและลั่วจุนต่างมีความรู้สึกขยาดและไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าประหลาด ความลึกลับและความร้ายกาจของจ้าวเฟิงฝังลึกลงไปในใจของพวกเขา แต่ถึงองค์ชายเก้าดึงจ้าวเฟิงมาเป็นพวก ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสถานการณ์อยู่ดี เพราะอำนาจอิทธิพลเบื้องหลังขององค์ชายเก้าช่างน้อยนิด ในมือก็ไม่ได้มียอดฝีมือมากเท่าไหร่ ถูกจัดเอาไว้ลำดับท้ายๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ตำแหน่งองค์รัชทายาทล้วนอยู่ในห้าอันดับแรกจากการประเมินของหน่วยข่าวกรอง
องค์ชายที่ถูกจัดอันดับพลังความสามารถไว้ท้ายๆ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย
พวกเขาเข้าไปยังสุสานราชวงศ์ ส่วนมากก็เพียงแค่หาโอกาสและเพิ่มพลังที่แท้จริงของตนให้มั่นคง ในภายภาคหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อะไร ถ้าได้มีโอกาสเข้าไปยังตำหนักไท่หวงก็ยิ่งดีขึ้นไปใหญ่ แต่ว่า ยังเหลือเวลาอีกชั่วระยะหนึ่งกว่าจะถึงศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้
ขอเพียงแต่มีใจคิดจะช่วงชิง ก็ยังพอมีโอกาสเล็กๆ อยู่ จะมัวเกียจคร้านไม่ได้
พูดคุยตามมารยาทกับองค์ชายเก้าอีกสองสามประโยค ทั้งสองฝ่ายก็เอ่ยลา
ระหว่างจ้าวเฟิงและลั่วจุนก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นเดียวกัน
“ลั่วจุน!”
องค์ชายแปดสัมผัสได้ถึงความผิดปกติไปเล็กน้อยของลั่วจุน เพียงแค่คิดก็เข้าใจทั้งหมด
ในตอนแรกที่รู้จักกับจ้าวเฟิง ระดับพลังของเขายังบำเพ็ญไม่ถึงขั้นนายเหนือแท้ ทั้งสองสูงส่งเหนือกว่า ไม่ได้เห็นจ้าวเฟิงอยู่ในสายตา
บัดนี้ จ้าวเฟิงกลายเป็นจุดสูงสุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ ในอันดับอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ในลำดับที่เจ็ด
เมื่อเห็นมดปลวกที่เคยอ่อนแอค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละก้าว จนกระทั่งแซงหน้าตัวเองไปแล้ว ในใจต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“องค์ชายแปด ข้าไม่เป็นไร รอให้โลกมิติส่วนตัวสองธาตุของข้าสำเร็จก่อนเถิด จ้าวเฟิงจะไม่ใช่คู่มือของข้าแน่!”
แววตาของลั่วจุนลุกวาบขึ้นทันใด ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ในใจลุกโหม
ในยามนี้เขาเป็นถึงจักรพรรดิขอบเขตปราณเทวะ
จักรพรรดิและราชัน ความแตกต่างมากที่สุดอยู่ที่การรับรู้เสวียนอ้าวฟ้าดิน รวมทั้งพลังการสร้างโลกมิติส่วนตัว หากมิติส่วนตัวสองธาตุของลั่วจุนสร้างได้สำเร็จ พลานุภาพจะต้องไร้เทียมทานอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดเขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี หากการเจรจาขั้นต่อไปสำเร็จละก็ พลังของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง!”
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ลำดับต้นๆ ในผู้ศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท แต่องค์ชายแปดก็ยอมทุ่มเทสุดกำลังเพื่อไม่ให้เสียใจภายหลัง ในสุสานราชวงศ์ การผันเปลี่ยนของสถานการณ์สูงมาก ไม่จำเป็นว่าผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
วังหลวงแห่งต้าเฉียนยิ่งใหญ่อลังการ งดงามระยิบระยับ ราวกับมังกรยักษ์เกล็ดทองยึดครองอยู่กลางผืนปฐพี
ในวังหลวง ไอสวรรค์ฟ้าดินเทียบกับโลกภายนอกแล้วมีมากกว่าไม่รู้กี่เท่า อีกทั้งยังมีพลังแห่งโชคชะตาที่มองไม่เห็นปกป้องไว้อีก และที่อยู่ขององค์ชายแทบจะเป็นสถานที่ทั่ววังหลวงที่มีไอสวรรค์ในฟ้าดินเข้มข้นมากที่สุด
ตลอดทางที่เดินมา คนในราชสำนักตามรายทางไม่น้อยกระตือรือร้นทักทายก่อน
“องค์ชายเก้า!”
“องค์ชายเก้ากลับมาแล้วรึ?”
“องค์ชายไปข้างนอกครั้งนี้ ได้อะไรกลับมาเยอะเลยนี่!”
ในขณะที่ทักทายองค์ชายเก้า สายตาของพวกเขาก็แอบสำรวจจ้าวเฟิง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือเหล่าคนที่องค์ชายเก้าชักชวนมาเป็นพวก อายุน้อยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไหน ถูกองค์ชายเก้าไปรับเข้าวังมาด้วยตนเอง แต่ทว่า คนในราชสำนักบางคนที่ไม่ไยดีองค์ชายเก้าก็ไม่ได้สนใจจ้าวเฟิงเช่นเดียวกัน ยอดฝีมือที่เหล่าองค์ชายชักชวน ส่วนมากมีแต่พวกผู้อาวุโสยอดฝีมือในตำนานทั้งนั้น
แต่ก็มีบ้างที่เป็นข้อยกเว้น เช่นยอดคนผู้เก่งกาจอย่างซินอู๋เหินขององค์ชายสี่ ทว่าชื่อของซินอู๋เหินก็แพร่สะพัดโด่งดังไปทั่วต้าเฉียนนานแล้ว
เด็กหนุ่มผมทองนี่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน
“อายุน้อยถึงขนาดนี้ ต่อให้ความสามารถล้ำเลิศแต่ก็ประสบการณ์น้อย ไม่ค่อยมีประโยชน์!”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว พลังที่แท้จริงอยู่ที่มันสมอง ต้องรู้ว่าจะควรเลือกยังไง!”
……
องค์ชายเก้าเพิ่งจะมาถึงภายในตำหนัก พ่อบ้านชราผู้หนึ่งก็รีบเดินออกมา
“องค์ชาย ช่วงก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์เหลียงซังแห่งเมืองธารสวรรค์มาขอเข้าพบ”
พ่อบ้านชรามีสีหน้าตื่นเต้นยินดี มองประเมินจ้าวเฟิงเล็กน้อยก่อนจะรายงานข่าวตามจริง
“ข้ารู้แล้ว!”
องค์ชายเก้าตอบรับ ก่อนจะนำจ้าวเฟิงเดินไปยังตำหนักด้านข้าง
พ่อบ้านชราตะลึง นักฝึกสัตว์เหลียงซังเป็นคนที่องค์ชายเก้าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เคยไปชักชวนด้วยตนเอง หากแต่โดนปฏิเสธ
ยามนี้นักฝึกสัตว์เหลียงซังมาขอเข้าพบด้วยตนเอง แต่องค์ชายเก้ากลับเมินเฉยไม่สนใจ นี่ออกจะผิดปกติจริงๆ
“องค์ชาย เหลียงซังกล่าวไว้ว่า หากพระองค์สามารถหาสัตว์ล้ำค่าขั้นราชันระดับสุดยอดมาได้ห้าตัว เขาจะตอบรับคำชวน”
พ่อบ้านชรารีบเดินตามมาติดๆ พูดรายงานต่อ
“ต่อไปหากเหลียงซังยังมาอีก เจ้าก็ปฏิเสธไปเลย!”
องค์ชายเก้าพาจ้าวเฟิงมายังตำหนักข้างอันหรูหรา หันกลับมาสั่งพ่อบ้านชรา
พ่อบ้านชราเผยสีหน้าตกใจ ปฏิเสธไปเลย?
หรือองค์ชายชักชวนนักฝึกสัตว์ฝีมือเยี่ยมยอดคนอื่นได้แล้ว? คงไม่ใช่พ่อหนุ่มผมทองนี่หรอกกระมัง?
“หรือว่าองค์ชายจะละทิ้งศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้ว?”
พ่อบ้านชราส่ายหัวเบาๆ นักฝึกสัตว์ที่อายุน้อยเยี่ยงนี้ จะสู้นักฝึกสัตว์เหลียงซังได้อย่างไรกัน
ในบรรดาองค์ชายทั้งสิบที่เข้าร่วมศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท มีสามสี่คนที่ไม่สนใจในตำแหน่งรัชทายาท แต่องค์ชายสามสี่คนนี้ก็มีจำนวนคนที่ติดตามเข้าไปในสุสานราชวงศ์
ดังนั้น กลุ่มอำนาจสำนักจำนวนไม่น้อยจึงใช้เงินทองของมีค่ามากมายแลกตำแหน่งผู้ติดตามนี้ และส่งอัจฉริยะในสำนักหรือตระกูลตนเข้าไปฝึกฝนในสุสานราชวงศ์เพื่อแสวงหาโอกาส
ในสายตาของพ่อบ้านชรา องค์ชายของตนคงขายจำนวนรายชื่อนี้ให้ตระกูลหรือสำนักใดสักแห่งเพื่อแลกกับประโยชน์ที่ใช้ได้จริงบางอย่าง
“องค์ชายเก้า เช่นนั้นข้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็แล้วกัน!”
จ้าวเฟิงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย สถานที่ที่ไอสวรรค์เข้มข้นเช่นนี้ อีกทั้งยังมีชะตาราชวงศ์ปกป้อง การฝึกบำเพ็ญจะต้องสำเร็จโดยไม่ต้องออกแรงมากเป็นแน่
“สหายจ้าว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ เจ้าวางใจอยู่ที่นี่เถิด หากมีเรื่องอะไรก็บอกพ่อบ้านฉีได้เลย!”
องค์ชายเก้าอธิบายอะไรกับพ่อบ้านฉีเล็กน้อย ก่อนจะออกไปกับตาเฒ่าอิงอีกครั้ง
จ้าวเฟิงเดินเข้าไปในตำหนัก ปิดด่านฝึกบำเพ็ญตน ในตอนนี้ พลังฝึกตนของเขายังต่ำเกินไป ผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปในสุสานราชวงศ์ไม่มีการจำกัดอายุ หมายความว่าครั้งนี้ไม่ใช่การปะทะฝีมือกับเหล่าคนอายุน้อยรุ่นเดียวกัน แต่หลักๆ คืออัจฉริยะชั้นยอดรุ่นที่โตกว่า สูงวัยกว่า อีกทั้งแต่ละคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเองในกลุ่ม ทุกคนต้องรับผิดชอบส่วนที่ตนเองเชี่ยวชาญที่สุด
จ้าวเฟิงอาศัยองค์ชายเก้าคุ้มครองชั่วคราว เขาเองก็ต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมดช่วยเหลือองค์ชาย
ในมิติดวงตาซ้าย กะโหลกอำนาจเทวะลอยอยู่เหนือลูกกลมสีทอง
จ้าวเฟิงค้นพบว่า ถึงแม้ทะเลหมอกสีม่วงจะหายไป แต่ขอเพียงแค่ตนดึงพลังอัสนีเทวะออกมาได้ พลังอัสนีเทวะจะค่อยๆ หลอมรวมกับวิญญาณของเขาเอง
วิญญาณของจ้าวเฟิงในตอนนี้เกาะรวมตัวกันมากกว่าของคนอื่น
วิญญาณที่แข็งแกร่ง ย่อมหมายถึงความคิดจิตใจและพลังวิญญาณที่ไม่ธรรมดา
อีกทั้งในวิญญาณของเขายังแฝงไว้ด้วยตราอัสนีเทวะ เพียงแค่ขับเคลื่อนพลังวิญญาณ พลังอัสนีเทวะก็จะแฝงออกมาด้วย ดังนั้นขอเพียงการโจมตีของจ้าวเฟิงแฝงด้วยพลังวิญญาณ ก็จะมีพลังอัสนีเทวะทำลายล้างด้วย
ส่วนการฝึกฝนกายสายฟ้าปฐพีทองของจ้าวเฟิง
เมื่อทะลวงถึงขั้นที่หกเมื่อใด ก็จะสามารถใช้กายวิญญาณอัสนีเทวะฝึกวิชากายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แบบถอยกลับได้ ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณหรือว่ากายเนื้อของจ้าวเฟิงจะแฝงไว้ด้วยเสวียนอ้าวอัสนีเทวะ ในภายภาคหน้าเมื่อ ‘ทัณฑ์เทวะ’ มาถึงก็จะสามารถช่วยได้มาก
ความคิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เริ่มฝึกฝนบำเพ็ญตน
ส่วนที่หนึ่ง ใช้เพื่อดูดซับพลังอัสนีเทวะ
ส่วนที่สอง ฝึกฝนวายุอัสนีธาตุไฟ
ส่วนที่สาม ศึกษาทำความเข้าใจโครงสร้างของจุดที่อยู่ในลูกทรงกลมสีทอง
ส่วนที่สี่ ใช้พลังเพลิงโลหิตอัสนีที่เกิดจากการหลอมรวมเพลิงมารโลหิตและวายุอัสนีธาตุไฟ มาฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
“หญ้ากิเลนเพลิง เห็ดหลิงจือโลหิตลายเพลิง…”
จ้าวเฟิงหยิบวัตถุดิบล้ำค่าธาตุไฟที่ซื้อมาจากหอโอสถเซียนออกมาใช้
หากภาพนี้มีผู้อื่นเข้ามาพบเห็นจะต้องกระอักเลือดก่นด่าเป็นแน่
วัตถุดิบยาล้ำค่าหายากที่โลกภายนอกเหล่านี้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิชั้นยอดก็ยังเสียดาย และมักจะนำมาทำเป็นยาวิเศษ แต่จ้าวเฟิงกลับเอามาใช้ทีละหลายชนิด
“รังผึ้งอัคคีเทียนหงยังไม่ได้เอาพิษออก เอาไว้ใช้วันหลัง!”
ทันใดนั้น กลิ่นอายพลังธาตุไฟทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในแก่นผลึก วายุอัสนีธาตุไฟเดือดพล่าน ปราณที่แท้จริงและวายุอัสนีธาตุไฟทั่วทั้งร่างโคจรอย่างรวดเร็วเพื่อดูดซับฤทธิ์ของยา ส่วนเศษเสี้ยวฤทธิ์ยาที่เหลือก็จะถูกสายเลือดเพลิงมารโลหิตดูดซับ ทุกอย่างถูกใช้จนหยดสุดท้าย
ในวันนี้ วายุอัสนีธาตุไฟในแก่นผลึกพลันเพิ่มอานุภาพสูงขึ้นทันใด
“วายุอัสนีธาตุไฟกำลังก่อตัวบนโลกมิติส่วนตัว!”
ฟู่! จ้าวเฟิงพ่นไอขุ่นมัวออกมา
มิติดวงตาซ้าย โครงสร้างของจุดที่เก็บอยู่ในลูกกลมสีทอง จ้าวเฟิงจดจำและทำความเข้าใจไปพอสมควรแล้ว ถึงอย่างไรของที่จ้าวเฟิงแยกส่วนในตอนนี้ก็มีไม่มาก
วัตถุที่เอามาศึกษาน้อยเกินไป จึงยากที่จะได้ประสบการณ์ที่สำคัญ
“วัตถุในมิติส่วนตัวมนตราอากาศ ไม่มีค่าพอสำหรับแยกส่วน!”
จ้าวเฟิงได้บทสรุปนี้นานแล้ว
หากเขาต้องการแยกชั้นโครงสร้างของต้นไม้ใบหญ้า ก็สามารถใช้ต้นไม้ใบหญ้าของจริงจากโลกภายนอกนี้ได้เลย
ฉับพลันทันใด ดวงตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบ จุดที่เก็บของในมนตราอากาศ อาวุธชั้นพิภพชิ้นหนึ่งปรากฏต่อหน้าเขา
“หากในยามต่อสู้สามารถแยกส่วนประกอบอาวุธของศัตรูได้ ฮึๆ!”
จ้าวเฟิงขับเคลื่อนพลังดวงตาซ้าย ลำแสงสีทองอ่อนสายหนึ่งสาดส่องผ่านอาวุธในมือชิ้นนี้ ทว่าลำแสงที่ก่อตัวจากคลื่นพลังลึกลับส่องผ่านเป็นเวลานาน อาวุธชั้นพิภพก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“การหลอมอาวุธใดก็แล้วแต่ มีส่วนผสมของวัตถุดิบหินแร่ต่างๆ อย่างน้อยก็หลายสิบหรือหลายร้อยชนิด ผ่านการหลอมด้วยอุณหภูมิที่สูงมาก จุดในนั้นแปรสภาพไปแล้ว หลอมรวมซึ่งกันและกัน จุดลายซับซ้อน”
จ้าวเฟิงหยุดการแยกส่วน หลับตาซ้ายลงเล็กน้อย
ในชั่วขณะนั้น ดวงตาซ้ายของเขาก็ได้รับข้อมูลโครงสร้างจุดของธาตุโลหะมากมายมหาศาล แต่โครงสร้างจุดเหล่านี้ ส่วนมากเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว ไม่ครบสมบูรณ์ ความแข็งของอาวุธเทพ สะท้อนให้เห็นถึงความหนาแน่นของจุดได้ในระดับหนึ่ง โครงสร้างจุดที่เล็กยิบย่อยทำเอาจ้าวเฟิงเวียนหัวตาลาย
“เป็นดังคาด การแยกส่วนอาวุธเทพไม่ค่อยใช้งานได้จริงสักเท่าไหร่!”
จ้าวเฟิงโยนความคิดนี้ทิ้งไปก่อนชั่วคราว
ขณะเดียวกัน ตำหนักที่ยิ่งใหญ่อลังการอีกแห่งในวังหลวง
“รายงานองค์ชายสิบสาม นี่คือคนที่องค์ชายเก้าพาเข้าวังหลวงในช่วงก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ทาสรับใช้คนหนึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในมือยื่นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกไป
องค์ชายสิบสามรับกระดาษแผ่นขาวนั้นมา เมื่อความคิดจิตใจสัมผัส ใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามตาทองผมทองก็ปรากฏขึ้นในหัวของเขา
“นี่ นี่มันจ้าวเฟิงไม่ใช่รึ!”
องค์ชายสิบสามผุดลุกขึ้น สีหน้าเกรี้ยวกราดตกใจ
“อะไรนะ? เฉินเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าคนที่องค์ชายเก้าพาเข้าวังมาคือจ้าวเฟิง?”
ด้านหลังตำหนัก ชายทรงอำนาจที่นั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผยลุกพรวดขึ้น แววตาเย็นเยียบ
“ท่านลุง เป็นจ้าวเฟิง เพียงแต่ว่าสีผมและสีตาเปลี่ยนไป!”
องค์ชายสิบสามมั่นใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าพวกสวะ!” ชายท่าทางทรงอำนาจมีสีหน้าเกรี้ยวกราด
แผนลอบฆ่าจ้าวเฟิง เป็นเขาที่สั่งให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ
บริวารของเขายังรับประกันเป็นมั่นเหมาะว่าจ้าวเฟิงตายแน่
ตอนนี้กลับกัน จ้าวเฟิงเข้ามาวังหลวงและเกรงว่าจะกลายเป็นคนขององค์ชายเก้าไปแล้ว เขาในฐานะที่เป็นอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสามจะลงมือไม่ได้ เมื่ออยู่ในวังหลวงแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง