บทที่ 98 : ม่านป้องกันวายุเงิน
“อาจารย์ แต้มต่อสู้ที่แท้จริงของจ้าวเฟิงนั้นอยู่ที่ 565 มิใช่ 465! ทว่าเมื่อข้าพิจารณาถึงอีกห้าคนแล้ว ข้าจึงได้ซ่อนไว้ 100 แต้ม…” องครักษ์หนึ่งเอ่ย
“นี่เป็นความจริงหรือ?”
ประกายแสงแล่นวาบในดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินขณะที่เขาส่งแรงกดดันที่ยากจะทานทนไปทางองครักษ์หนึ่งและเย่หลินเหลียน
“ขอรับ!”
องครักษ์หนึ่งเอ่ยโดยไร้ซึ่งความลังเล
“ศิษย์น้องจ้าวเฟิงนั้นได้รับแต้มมากกว่าทั้งด้วยธนูและการต่อสู้ระยะประชิด”
ภายในน้ำเสียงของเขานั้นปรากฏร่องรอยความขมขื่นเจือจาง ในฐานะของผู้ฝึกตนขั้นเสมือนผู้ตึกตนแห่งหนทางเซียน คำพูดของเขานั้นมีความสำคัญยิ่งนัก เขารู้ว่าแม้กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับเด็กหนุ่มยามที่อยู่ในขั้นเดียวกัน
“อาจารย์! ศิษย์ผู้นี้ขอกล่าวว่าท่านจะไม่เสียใจที่ท่านรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์ของท่าน” เย่หลินเหลียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขามักจะคาดหวังในตัวของจ้าวเสมอเสมอ และอีกฝ่ายก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
เจ้าเมืองกว่านจวินนึกจดจำถึงความลังเลในยามที่เขาจะรับจ้าวเฟิงเป็นศิษย์ได้ในไม่ช้า อย่างไรก็ตามในตอนนั้น พรสวรรค์ของอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงกายครึ่งจิตวิญญาณเท่านั้น เป็นเพราะเย่หลินเหลียนได้เอ่ยแนะนำ เขาจึงได้รับอีกฝ่ายเป็นศิษย์
ดูเหมือนว่าการตัดสินใจนั้นจะไม่ใช่เรื่องผิด
“จ้าวเฟิงไม่นับว่าแย่ และประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขานั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ”
คำกล่าวของบุรุษวัยกลางคนนั้นดูเหมือนจะพลิกแพลงและมีความถอดถอนใจปะปนอยู่
“น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงกายครึ่งจิตวิญญาณซึ่งจะจำกัดความสำเร็จในอนาคตของเขา และเขาย่อมไม่อาจทำความหวังของข้าให้สำเร็จได้…”
ชัดเจนว่าความสามารถของจ้าวเฟิงนั้นยอดเยี่ยม ทว่าเจ้าเมืองกว่านจวินก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะประสบความสำเร็จอย่างมากในอนาคต
สำหรับข้อสรุปของบุรุษวัยกลางคนนั้น องครักษ์หนึ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใดราวกับเขายอมรับ เย่หลินเหลียนนั้นอยากจะโต้แย้งทว่าไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกได้
จริง
ความสามารถของจ้าวเฟิงนั้นยอดเยี่ยม ทว่าไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะเหนือกว่าเป่ยโม่ยได้
หลังจากออกจากหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แล้ว จ้าวเฟิงพลันมุ่งไปยังคลังสมบัติในทันที
ศิษย์คนอื่นๆ เช่น หนานกงฟั่น หยางชิงชั่น และเฟิงฮันเยว่ล้วนอิจฉาริษยา
สีหน้าของเป่ยโม่ยนั้นย่ำแย่อย่างมาก ตั้งแต่เด็กนั้นเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะในสายตาของผู้อื่น ไม่มีผู้ใดที่อายุใกล้เคียงเขาสามารถเอาชนะเขาในเรื่องใดๆ ได้
ยามที่เขาอยู่ที่หมู่บ้าน มันก็เป็นเช่นนี้ และเมื่อเขาย้ายมายังเมือง มันก็ยังเป็นเช่นนี้ ทว่าตั้งแต่ที่เขาพบกับจ้าวเฟิง สถานการณ์นี้ก็ได้ถูกทำลายลงครั้งแล้วครั้งเล่า
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่ธรรมดาเลย หากมีความกล้า เช่นนั้นก็ไปยังสำนักและตัดสินกันที่นั่น” แสงสีแดงลุกโชนในแววตาของเป่ยโม่ยที่มักจะไร้ซึ่งอารมณ์อย่างหาได้ยาก
นี่… นับว่าเป่ยโม่ยกำลังท้าประลองผู้อื่นหรือไม่?
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นนิ่งงันไปเล็กๆ พวกเขาไม่เคยเห็นเป่ยโม่ยท้าประลองผู้อื่นเพราะทุกคนในช่วงวัยของเขาต่างถูกทิ้งห่างและไม่อาจคุกคามเขาได้
“แน่นอน” จ้าวเฟิงตอบรับในทันใดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ความจริงนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงในการเผชิญหน้ากับยอดอัจฉริยะเช่นเป่ยโม่ย ทว่ามันก็นับเป็นเรื่องดีเมื่อเขาสามารถใช้มันมากระตุ้นนความสามารถของเขา ด้วยแต้มต่อสู้ของเขา เขาสามารถแลกวิชา ทรัพยากร ยา และอาวุธได้
“ข้าควรจะนำแต้มเหล่านี้ไปแลกกับสิ่งใด?” จ้าวเฟิงจมลึกในห้วงภวังค์
วิชา?
เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเมื่อเขามีวิชากำแพงเหล็กและเคล็ดลมหายใจหวนอยู่แล้ว อันหนึ่งนั้นเป็นวิชาเซียน ในขณะที่อีกหนึ่งนั้นเป็นวิชาที่ใกล้เคียงกับวิชาเซียน วิชาอื่นๆ เช่นนภาลอยล่องและย่างก้าวหมอกผันแปรก็สามารถเข้าสู่ระดับเซียนได้หากรวมพวกมันเข้ากับกระบวนท่าลมเคลื่อน
ดูเหมือนว่าวิชาที่ระดับต่ำที่สุดของเขาคือดรรชนีดารา
“ดรรชนีดารานั้นเป็นวิชาระดับสุดยอด มันอาจเรียกได้ว่าเป็นวิชาระดับอรรธเซียน เมื่อใช้มันร่วมกับกระบวนท่าวายุกรรโชก พลังของมันจะเหนือกว่าวิชาระดับอรรธเซียนทั่วไป หากเขาฝึกจนเข้าระดับเจ็ด มันกระทั่งสามารถเอาชนะวิชาเซียนได้ วิชาเซียนเองก็ยากที่จะฝึกฝนให้เข้าขั้นสูงเช่นกัน” จ้าวเฟิงคำนวณ
เขาตัดสินใจว่าจะไม่เอาวิชาโจมตีมาได้ในที่สุด ด้วยแต้มต่อสู้ของเขาในตอนนี้ เขาสามารถแลกได้เพียงวิชาอรรธเซียน ไม่ใช่วิชาเซียน หากเป็นเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจไม่ไปแลกวิชาต่อสู้มาเพิ่ม
ความหันเหความสนใจไปยังยาและทรัพยากร
จากวิชาทั้งหมดของเขานั้น วิชากำแพงเงินนั้นอยู่ในระดับที่สูงที่สุดและเป็นพื้นฐานของเก้าขั้นแห่งหนทางผู้ฝึกตน จ้าวเฟิงจำได้ถึงสิ่งที่เจ้เมืองกว่านจวินและเย่หลินเหลียนได้เอ่ย
“ดังนั้นแล้วข้าควรเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังวิชาเสริมกายา” ประกายแสงแล่นวาบในแววตาของจ้าวเฟิงขณะที่เขาตัดสินใจ
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงไปยังกระโจมพันยาภายในคลังสมบัติ เป้าหมายของเขาคือทรัพยากรที่สามารถช่วยเหลือในเรื่องวิชาเสริมกายาของเขาได้
“ยากายเหมันต์เยือกแข็ง ใช้ความเย็นจำนวนมหาศาลเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย เป็นหนึ่งในยาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเก้า ต้องใช้อย่างระมัดระหว่างหากเป็นผู้ฝึกตนขั้นแปดลงไป”
“ยาอัสดงหลอมกระดูก ใช้ความร้อนของเปลวเพลิงในการเผาไหม้กระดูกและเป็นหนึ่งในยาเสริมกายา ส่งผลดีกว่าเมื่อใช้ร่วมกับยากายเหมันต์เยือกแข็ง…”
“ผงทองเสริมกายา ราชาแห่งทรัพยากรเสริมกายา มีพลังที่รุนแรงกราดเกรี้ยวอย่างมาก มีโอกาสห้าในสิบส่วนที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นแปดพิการ!”
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ค้นพบยาที่ดีที่สุดสามชนิด
ยากายเหมันต์เยือกแข็งนั้นราคา 120 แต้ม ยาอัสดงหลอมกระดูกราคา 119 แต้ม ผงทองเสริมกายาราคา 167 แต้ม
เพียงแค่ทั้งสามก็เกือบจะใช้แต้มไปเกิน 400 แต้มแล้ว
ทุกคนควรรู้ว่าวิชาระดับสุดยอดนั้นมีค่าเพียง 10 แต้ม และวิชาขั้นอรรธเซียนนั้นมีราคา 50 แต้ม
ส่วนแต้มที่เหลือนั้น จ้าวเฟิงได้ซื้อทรัพยากรเสริมกายาระดับต่ำมา แม้กระนั้นมันก็ยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่าที่เขาซื้อมาจากตำหนักยา
ในวันเดียวกันนั้น
จ้าวเฟิงใช้แต้มทั้งหมด แต้มหลายร้อยแต้มได้ถูกใช้ไปกับทรัพยากรเสริมกายาที่ล้ำค่า
ในตำหนักกว่านจวินนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถได้แต้มต่อสู้ และแม้พวกเขาจะได้ มันก็ยังมีขีดจำกัดในสิ่งที่พวกเขาจะแลกได้ ทว่าในฐานะของศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้น เขาสามารถได้สิ่งของเหล่านี้มากกว่าผู้อื่นด้วยแต้มที่เท่ากัน
ตัวอย่างเช่น หากผู้อื่นต้องการยากายเหมันต์เยือกแข็ง พวกเขาต้องใช้แต้มทั้ง 170 แต้มแต่เด็กหนุ่มใช้เพียง 120 แต้ม และแม้ว่าพวกเขาจะมีเพียงพอ พวกเขาก็อาจไม่มีสถานะที่จะแลกเปลี่ยนกับมัน
หลังจากออกจากคลังสมบัติ จ้าวเฟิงกลับไปยังที่ของเขาและเริ่มฝึกตน
เดือนต่อมา เขาได้เพ่งความสนใจไปยังวิชากำแพงเงินเพียงอย่างเดียว
ในเวลาเจ็ดวันแรก เด็กหนุ่มใช้ทรัพยากรเสริมกายาระดับต่ำที่เหมาะสมกับผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดหรือสูงกว่า ยาเหล่านี้ที่เขาได้มานั้นแตกต่างกันตามธาตุของพวกมัน
ตังอย่างเช่น ยากายเหมันต์เยือกแข็งมีธาตุเย็น ขณะที่ยาอัสดงหลอมกระดูกนั้นมีธาตุไฟ และผงทองเสริมกายามีธาตุโลหะ
ดังนั้นแล้ว เขาจึงทำให้มั่นใจว่ายาที่มีธาตุเดียวกันจะไม่ถูกใช้ติดต่อกันเมื่อมันจะทำให้ร่างกายมีความต่อต้าน
เจ็ดวันให้หลัง
วิชากำแพงเงินของจ้าวเฟิงนั้นได้เข้าสู่ระดับเจ็ด ทว่าเขาก็ได้ใช้ทรัพยากรเสริมกายาระดับต่ำของเขาไปทั้งหมด
“ข้าสามารถเอาชัยเหนือผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดส่วนมากได้ด้วยเพียงร่างกายของข้า”
จ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านหลบซ่อนอยู่ในลำแขนของเขา ทุกๆ หมัดสามารถฆ่าผู้ที่ต่ำกว่าขั้นเจ็ดได้ในเสี้ยวพริบตา
บัดนี้ เด็กหนุ่มเหลือเพียงยากายเหมันต์เยือกแข็ง ยาอัสดงหลอมกระดูก และผงทองเสริมกายาเท่านั้น จากสิ่งที่เขาวางแผน เขาจะกินยากายเหมันต์เยือกแข็งก่อน
หลังจากที่กินมันเข้าไปนั้น ความเย็นยะเยือกอันร้ายแรงก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา สามวันสามคืนให้หลัง ร่างของเด็กหนุ่มแข็งค้าง ความอันตรายนั้นไม่อาจจะจินตนาการได้
“ไม่แปลกใจเลยที่มันจะกล่าวว่าผู้ฝึกตนขั้นแปดจำต้องระวังในการใช้มัน”
หลังจากสามวันสามคืน จ้าวเฟิงจึงสามารถแก้สถานการณ์ได้ และก่อนที่พลังงานทั้งหมดจะถูกดูดกลืน จ้าวเฟิงพลันกินยาอัสดงหลอมกระดูกเข้าไปในทันที
ทั้งสองคือน้ำแข็งและเปลวเพลิง แม้ว่ามันจะเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ผลลัพธ์นั้นดีกว่า จ้าวเฟิงโคจรวิชากำแพงเงินและเคล็ดลมหายใจหวนเพื่อซึมซับพลังงานอันกราดเกรี้ยวไว้
ตึก! ตึก!
ดวงตาซ้ายของเขาปล่อยปล่อยพลังงานความร้อนไปทั่วร่าง หลังจากที่หลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้าย ความสามารถและประสิทธิภาพในการดูดซึมก็ได้เพิ่มขึ้น
แปดวันต่อมา
ยาเหมันต์และเปลวเพลิงได้ถูกดูดซึม
ฟู่ว!
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกขณะที่ลุกขึ้นยืน ขณะที่เขาทำเช่นนั้นก็รู้สึกได้ว่าทั้งกระดูกและผิวหนังของเขาได้แข็งแกร่งทนทานขึ้น ร่างกายนั้นแข็งแกร่งขึ้นจากภายนอกก่อน จากนั้นจึงเป็นภายในที่เส้นลมปราณของเขาอยู่ ยิ่งเส้นลมปราณของเขาแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ยังสามารถใช้พลังภายในได้มากขึ้นเท่านั้น
“ร่างกายนั้นเป็นพื้นฐาน แม้ว่าข้าจะไม่ได้ให้ความสนใจกับเคล็ดลมหายใจหวนนัก ข้าก็ยังรู้สึกได้ว่ามันพัฒนาขึ้น” จ้าวเฟิงคิด
ในตอนนี้ พลังฝึกตนของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ด ห่างจากขั้นแปดเพียงครึ่งก้าว
ในเวลาเดียวกัน วิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับเจ็ดเช่นกัน
หลังจากวิชากำแพงเงินของเขาเข้าสู่ระดับเจ็ด อวัยวะของเขาก็ได้แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแล้วความสามารถของเขาก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น
“เพ้ย!”
จ้าวเฟิงอุทานออกมาขณะที่เขาหลอมรวมเคล็ดลมหายใจหวนของเขาเข้ากับวิชากำแพงเงิน
วิ้ง
แสงสีเงินซีดปรากฏขึ้นในทันใด ให้กลิ่นอายลึกล้ำ
ม่านป้องกันวายุเงินถูกสร้างขึ้นแล้ว!