ตอนที่ 1302 ท้าทายจางเซวียน
“คุณหลับเนี่ยนะ?” จางจิ่วเซี่ยวตาโต งงจนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาถามจางเซวียนว่าเข้าสู่โซนหัวกะทิได้อย่างไรเพื่อหวังจะศึกษาจากประสบการณ์ของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่า…เขาหลับ?
“ก็ใช่น่ะสิ ใครจะไปทนการทดสอบ 3 วันไหว!” จางเซวียนตอบด้วยเสียงของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่อาจหาใครสักคนมาเทียบกับเขาได้
อันที่จริง เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหลับไป 3 วันรวด และถึงกับตกตะลึงไม่น้อยเมื่อตื่นขึ้นมา แต่เมื่อคิดดู มันก็คุ้มค่า
ต่อให้เขาตื่นอยู่ ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะมีข้อบกพร่องมากเกินไปอยู่ในเคล็ดวิชาดวงตาสวรรค์แห่งเก้าพื้นดินเบื้องล่าง จึงไม่มีทางที่เขาจะฝึกฝนมัน อีกอย่าง นักปราชญ์ขุยก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้บอบช้ำเหลือเกินกับสิ่งที่เขาพูดออกไป แทนที่จะต้องเผชิญสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนตลอด 3 วัน สู้หลับไปเพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาสดชื่นและพร้อมรับการเดินทางในอนาคตสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดกว่า
อีกอย่าง การมีโอกาสได้นอนหลับก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหาได้ง่ายๆ
“3 วันรวด?” จางจิ่วเซี่ยวรู้สึกเหมือนกำลังเห็นปีศาจ “ปรมาจารย์จาง คุณกำลังจะบอกว่าตอนที่พวกเราวุ่นวายอยู่กับการพยายามผ่านการทดสอบในประตูขุนเขา ไม่ได้พักแม้แต่เสี้ยววินาทีเพราะเกรงว่าจะถูกคัดออก แต่คุณหลับไป 3 วันเลยจริงๆ น่ะหรือ?”
“ก็จริงน่ะสิ ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าผมจะหลับได้นานขนาดนั้น” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
“ทั้งๆ ที่หลับไปตั้ง 3 วัน คุณก็ยังเข้าสู่โซนหัวกะทิได้” จางจิ่วเซี่ยวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้าสู่ประตูขุนเขา ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อจะแสดงความปราดเปรื่องของตัวเอง เกรงว่าการพักผ่อนแม้เพียงชั่ววินาทีจะหมายถึงการพลิกผันระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้หลับไป 3 วันรวด แล้วยังเข้าสู่โซนหัวกะทิได้อีก…โลกจะไม่ยุติธรรมไปยิ่งกว่านี้ได้อีกไหม?
“เยี่ยมมาก!”
“เก่งจริงๆ !”
“นายน้อยที่ 3 ทำได้ดีมาก!”
ขณะที่จางจิ่วเซี่ยวกำลังจะช็อคตาย เสียงเชียร์ดังสนั่นก็ดังขึ้นโดยรอบ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าการดวลบนสังเวียนได้สิ้นสุดลงแล้ว
ผู้เข้าท้าทาย, จ้าวฉี ถูกด้ายไหมทองคำพันไว้รอบตัวราวกับดักแด้ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็เคลื่อนไหวไม่ได้
เคล็ดวิชาด้ายไหมทองคำของซเวหนิงนั้นอาจใช้กับจางเซวียนไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นอาวุธที่ไร้เทียมทานกับนักรบส่วนใหญ่ ถึงจ้าวฉีจะไม่ได้อ่อนแอนัก แต่ก็ยังต้องจนมุมเพราะเคล็ดวิชานี้
“ผมยอมแพ้!” ความผิดหวังแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของจ้าวฉี เขาถอนหายใจเฮือกและยอมแพ้โดยดี
เขาคิดว่าในเมื่อผลคะแนนที่ออกมาระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันมากนัก หากโชคช่วยสักหน่อย เขาก็อาจได้รับชัยชนะ แต่เท่าที่ดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าการทดสอบประตูขุนเขาจะเที่ยงตรงและยุติธรรมมาก มันวัดความสามารถของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนได้โดยที่ไม่อาจตั้งคำถามกับมันได้เลย
“ผมเต็มใจรับการลงโทษ!” หลังจากพ่ายแพ้แล้ว จ้าวฉีก็เดินลงจากสังเวียนไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นการดวลนัดแรกสิ้นสุดแล้ว ผู้อาวุโสหลิวถามต่อพร้อมกับยิ้ม “มีใครอยากท้าทายอีกไหม?”
“ผมขอท้าทาย! ผู้ที่ผมขอท้าทายคือผู้ได้อันดับที่ 50, จางเซวียน!” เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วจัตุรัส จากนั่น ร่างหนึ่งก็กระโดดขึ้นสู่สังเวียน
“เขาคือผู้ได้อันดับที่ 52 เมิ่งฝานชิง!”
“เขาเป็นทายาทของตระกูลนักปราชญ์ ตระกูลเมิ่ง แม่สายเลือดจะอยู่ในขั้น 2 เท่านั้น แต่ระดับวรยุทธของเขาก็ถึงขั้นกึ่งสุดยอดการควบคุมแล้ว!”
“คนอย่างเขาจะทนได้อย่างไรที่นักรบจิตวิญญาณต้นกำเนิดขั้นสูงสุดอย่างจางเซวียนก้าวเข้าสู่โซนหัวกะทิได้ ในขณะที่เขาไม่มีโอกาส?”
“นั่นน่ะสิ ทันทีที่การท้าทายของผู้พ่ายแพ้ได้รับการประกาศ ผมก็รู้เลยว่าจะต้องมีผู้คนมากมายที่อยากเข้าท้าทายจางเซวียน ไม่เพียงวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อย เขายังได้อันดับสุดท้ายของโซนหัวกะทิด้วย มีผู้คนมากมายที่จับตามองตำแหน่งของเขา!”
“นั่นทำให้ผมนึกได้ ผมได้ยินเรื่องนี้มาจากสหายของผมคนหนึ่งในปูชนียสถานนักปราชญ์ ตรวจสอบไม่ได้ว่าจริงหรือเท็จ แต่ว่ากันว่าจางเซวียนไม่เคยเข้าสู่ตำแหน่ง 500 อันดับแรกเลยตลอดการทดสอบที่ผ่านมา จนกระทั่งแผ่นหยกทดสอบปรับเปลี่ยนตัวเลขเป็นครั้งสุดท้ายนั่นแหละ ชื่อของเขาถึงปรากฏขึ้นในอันดับที่ 50 ได้ที่นั่งสุดท้ายของโซนหัวกะทิไป พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000 คะแนนในรวดเดียว!”
“คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000 คะแนนในรวดเดียวหรือ? โกงกันเห็นๆ หรือเปล่า?”
“เอาเถอะ ตอนนี้เรายังพูดอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเขาโกงจริงๆ ล่ะก็ ปูชนียสถานนักปราชญ์จะต้องมีวิธีจัดการกับเขาแน่”
…..
เมื่อได้ยินว่ามีผู้เข้าท้าทายจางเซวียน เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ก็ดังไปทั่ว
จางเฉี่ยนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในหอประกาศผลนั้นแพร่สะพัดไปทั่ว คนจำนวนหนึ่งล่วงรู้ถึงความแปลกประหลาดในผลคะแนนของจางเซวียน แต่ละคนจึงสนใจอยากรู้ว่าปรมาจารย์ที่ชื่อจางเซวียนคนนี้มีความสามารถพิเศษชนิดไหน ถึงมีคุณสมบัติเพียงพอได้เข้าสู่การเป็นนักเรียนในโซนหัวกะทิ
ผู้อาวุโสหลิวกับผู้อาวุโสหานซูต่างก็หันมามอง พวกเขาอยากเห็นความสามารถของชายหนุ่มเช่นเดียวกับที่อยากคลี่คลายความสงสัยของตัวเอง
“คุณอยากท้าทายผมหรือ? ได้สิ!”
ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางเซวียนก็ไม่คิดว่าจะมีใครท้าทายเขา เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วก็กระโดดขึ้นสู่สังเวียน
ถึงเขาจะชอบถ่อมเนื้อถ่อมตัวและหลีกหนีให้อยู่ห่างจากปัญหา แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเกรงกลัวเมื่อปัญหาเข้ามาถึงที่ ถ้าใครอยากเข้ามาแทนที่เขา อีกฝ่ายก็จะต้องแสดงความแข็งแกร่งที่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น
“ไม่ทราบว่าปรมาจารย์จางผ่านการทดสอบชนิดไหนในการทดสอบประตูขุนเขา ผมจะได้แข่งขันกับคุณตามรูปแบบนั้น” เมิ่งฝานชิงถามด้วยน้ำเสียงที่เจือการเยาะหยัน
“การทดสอบชนิดไหนที่ผมเจอหรือ? ผมก็แค่ตื่นขึ้นมาและไม่อยากหลับอีกแล้ว…ก็ เอ่อ…ช่างมันเถอะ อย่าเสียเวลาเลย ทำไมไม่ใช้การดวลแบบทั่วไปล่ะ?” จางเซวียนนึกถึงการทดสอบก่อนหน้านี้และส่ายหน้า เขาหลับไป 3 วันเต็มและเพิ่งตื่นมาได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ หากเขาแข่งขันกับอีกฝ่ายในแง่ที่ว่าใครจะหลับได้นานกว่ากัน เขาย่อมเสียเปรียบแน่ อีกอย่าง ฝูงชนคงไม่สนใจจะชมการดวลในลักษณะนี้
ดังนั้น ใช้การดวลแบบปกติจึงน่าจะสบายใจกว่า เหมือนอย่างที่ซเวหนิงทำเมื่อครู่
มันจะรวดเร็ว ปราศจากปัญหา และที่สำคัญที่สุดก็คือได้ผลดี
“คุณอยากดวลกับผมหรือ? เอาจริงหรือเปล่า?” เมิ่งฝานชิงจ้องหน้าจางเซวียนราวกับกำลังมองหน้าคนโง่
ผมเป็นนักรบกึ่งสุดยอดการควบคุม ขณะที่คุณเป็นแค่นักรบจิตวิญญาณต้นกำเนิดขั้นสูงสุด…แน่ใจแล้วหรือว่าจะแข่งกับผม?
คงไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่ใช่ไหม?
“อือ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ดีเลย ผมจะลดระดับวรยุทธของผมให้เท่ากับคุณ” เมิ่งฝานชิงพยักหน้าก่อนจะลดระดับวรยุทธของเขาลงอย่างรวดเร็วไปสู่การเป็นนักรบจิตวิญญาณต้นกำเนิดขั้นสูงสุด
จากนั้นก็พูดว่า “เริ่มกันเถอะ”
“ดี” จางเซวียนตอบ
อันที่จริง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลยว่าเมิ่งฝานชิงจะลดระดับวรยุทธหรือไม่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทำไปแล้ว เขาก็คร้านที่จะพูดอะไร ถึงอย่างไรก็คงไม่มีอะไรแตกต่างมากนัก
จางเซวียนพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเมิ่งฝานชิง ฝ่ามือของเขาพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่าย
“คุณ” เมื่อเผชิญหน้ากับพลังฝ่ามือ เมิ่งฝานชิงรู้สึกราวกับโลกทั้งโลกถล่มเข้าใส่ เขาพบว่าพื้นที่รอบตัวถูกปิดกั้นเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหน้า หลัง ซ้าย หรือขวา ทำให้หลบหนีไปไหนไม่ได้เลย
เพียงครู่เดียว ลมหายใจของเมิ่งฝานชิงก็ขาดห้วงขณะที่เขาพยายามหอบหายใจเอาอากาศเข้าไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
แต่ก่อนที่พลังฝ่ามือนั้นจะเข้าปะทะ จางเซวียนก็ถอนมือออก
การปะทะและการถอนมือออกทำอย่างรวดเร็ว ในสายตาของคนดู จึงดูเหมือนกับว่าเขากำลังเล่นกลอะไรบางอย่าง
แต่เพราะการเคลื่อนไหวนั้นเองที่ทำให้เมิ่งฝานชิงงงจนทำอะไรไม่ถูก ราวกับมีใครใช้ดาบตัดกระแสความคิดของเขา ร่างของเขาโงนเงนราวกับขี้เมาก่อนที่จะทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยเสียงดังสนั่น
เมิ่งฝานชิงสลบไป
“เฮ้ย”
“เกิดอะไรขึ้น? ผมไม่รู้สึกถึงคลื่นรบกวนของพลังจิตวิญญาณแม้แต่สักนิดเลยด้วยซ้ำ แล้วเมิ่งฝานชิงสลบไปได้อย่างไรกัน?”
“ผมก็ไม่แน่ใจ ทั้งหมดที่ผมเห็นก็คือการโจมตีแบบเล่นกลของจางเซวียน”
ฝูงชนมองหน้ากันอย่างงงงัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พลังฝ่ามือของจางเซวียนก่อนหน้านี้นั้นเรียบง่ายมาก เป็นเพียงการยื่นฝ่ามือออกไปและถอนฝ่ามือกลับ ดูไม่เหมือนกับจะมีบางสิ่งพิเศษอยู่ในนั้น แถมยังไม่มีพลังปราณถูกถ่ายทอดเข้าไปในการโจมตีด้วย แต่การโจมตีที่ว่าก็ทำให้เมิ่งฝานชิงยืนนิ่งอยู่กับที่ หลบเลี่ยงไปไหนไม่ได้ และแม้การโจมตีจะยังไม่ได้กระทบตัวเขาโดยตรง เขาก็สลบไป…มันเกิดอะไรขึ้น?
ทั้งจัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยปรมาจารย์ระดับ 7 ดาว ซึ่งแต่ละคนต่างก็งงงันกับสิ่งที่เห็น
“ช่างเป็นพลังฝ่ามือที่ไร้เทียมทานจริงๆ !” ตรงกันข้ามกับความไม่เข้าใจของฝูงชน ผู้อาวุโสหลิวตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหรี่ตา
ในฐานะนักรบระดับเซียนขั้น 8 เขามองเห็นความผิดปกติของพลังฝ่ามือนั้นได้ในทันที
“แรงโน้มถ่วงที่อยู่เบื้องหลังฝ่ามือนั้นทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าเป็นการโจมตีร่างกาย แต่ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นการโจมตีที่พุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างหนัก เมื่อสมองทำอะไรไม่ได้ จึงเกิดการตึงเครียดอย่างรุนแรง ดังนั้น เมื่อแรงกดดันหายไป อาการที่ถูกปลดปล่อยโดยสัญชาตญาณจึงส่งผลให้เลือดไหลออกจากสมอง นำมาซึ่งการสลบ”
ผู้อาวุโสหานซูพยักหน้าเห็นพ้องกับการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสหลิว “จริงด้วย เมื่อจิตใจกับร่างกายแยกออกจากกัน การกระทบกระเทือนอารมณ์จะส่งผลให้สภาพร่างกายของผู้นั้นบอบช้ำ สิ่งที่พลังฝ่ามือนี้ใช้ก็คือกลยุทธ์ที่สร้างความหวาดกลัว แต่ถึงอย่างนั้น การที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้สลบได้ด้วยการโจมตีที่ปราศจากการใช้กระแสพลังปราณหรือรังสีอันทรงพลังใดๆ แปลว่าการโจมตีพลังจิตวิญญาณของเขาจะต้องแม่นยำขนาดไหน?”
แม้ในทางทฤษฎีจะดูง่าย แต่การทำจริงนั้นถือว่ายากเย็น แม้แต่ตัวเขาก็ยังพบว่าคงทำสิ่งนี้ได้ยากหากต้องลดระดับไปเป็นนักรบจิตวิญญาณต้นกำเนิดขั้นสูงสุด
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างพิเศษเกี่ยวกับจางเซวียนคนนี้จริงๆ ผลการทดสอบของเขาในการทดสอบประตูขุนเขาไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดหรอก” ผู้อาวุโสหลิวพยักหน้า
แม้การคิดคำนวณคะแนนของแผ่นหยกทดสอบจะไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังสงสัยว่าชายหนุ่มได้ผลการทดสอบมาขนาดนี้เพราะโชคช่วย แต่หลังจากการดวลครั้งนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคในผลการทดสอบของประตูขุนเขา อยู่ที่ว่าผู้นั้นมีความสามารถหรือไม่ก็เท่านั้น
เมื่อเมิ่งฝานชิงฟื้นขึ้นมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอาย เขาพึมพำอย่างแทบไม่อยากเชื่อ “ผมแพ้แล้ว”
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขาก็สลบไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ช่างน่าอับอายเหลือเกิน!
“ไม่เป็นไรหรอก” จางเซวียนตอบ
“ผมเต็มใจรับการลงโทษ” รู้ดีว่าเขาพ่ายแพ้ในการท้าทายครั้งนี้ เมิ่งฝานชิงกัดฟันกรอด
“ไม่จำเป็นเลย พวกเราล้วนเป็นนักเรียนของปูชนียสถานนักปราชญ์เหมือนกัน จะมีการดวลกันเป็นบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
อันที่จริง เขาได้อันดับนี้มาก็เพราะนักปราชญ์ขุยมอบคะแนนให้ จึงเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะต้องเกิดความแคลงใจในพละกำลังของเขา
“ปรมาจารย์จางช่างเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมคุณถึงได้เข้าเป็นนักเรียนของโซนหัวกะทิ ผมประทับใจมาก!” เมิ่งฝานชิงประสานมือคารวะและคำนับให้อย่างงาม
ด้วยการเปิดใจให้กับความแคลงใจและความสงสัยของคนอื่นนั้น ถือว่าตัวเขายังอ่อนด้อยกว่ามากหากจะเปรียบเทียบกับจิตใจของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
“คุณก็สุภาพเกินไป” จางเซวียนพยักหน้าขณะที่กำลังจะเดินลงจากสังเวียน
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อน ผมอยากทดสอบฝีมือของปรมาจารย์จางเช่นกัน!”
เมื่อหันกลับไป จางเซวียนก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเดินขึ้นมา
คือชายหนุ่มที่เขาเล่นงานจนลงไปกองกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียวก่อนที่จะเริ่มต้นการทดสอบประตูขุนเขา, จางเฉี่ยน!
“หมอนั่นไม่เห็นพละกำลังของเราหรืออย่างไร?” เห็นอีกฝ่ายยังตั้งหน้าตั้งตาท้าทายเขาทั้งที่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นไปแล้ว จางเซวียนเลิกคิ้ว
หากจางเฉี่ยนไม่เคยทักทายเขามาก่อนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่อาจต้านทานเขาได้แม้แต่พลังฝ่ามือเดียวก็น่าจะเพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างทั้งคู่แล้ว แต่กลับมาท้าทายเขาในเวลานี้…คิดว่าตัวเองยังถูกหยามหน้าไม่พอหรือ?
“นั่นจางเฉี่ยนนี่! เขาเคยแพ้ไปแล้วนี่นา?”
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงมาท้าทายจางเซวียนอีก?”
“หรือว่าเขามีไม้ตายบางอย่างที่ยังไม่ได้ใช้?”
“ก็จริง เขาอยู่ในอันดับที่ 51 ด้วย จะให้ยอมรับง่ายๆ ได้อย่างไร?”
…..
ฝูงชนส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าทั้งคู่เคยแลกหมัดกันมาก่อนแล้ว ต่างคนต่างมีสีหน้าสงสัย
เพิ่งเมื่อ 3 วันก่อนที่จางเฉี่ยนพ่ายแพ้ให้กับจางเซวียน แล้วจะต้องโง่เง่าขนาดไหนถึงเข้ามาท้าทายเขาอีกครั้ง?
“คุณอยากดวลกับผมหรือ?” จางเซวียนชำเลืองมองจางเฉี่ยนและตั้งคำถาม
“ถูกแล้ว! ในเมื่อคุณมาจากโซนหัวกะทิ คุณคงไม่ต้องให้ผมต่อสู้กับคุณโดยลดระดับวรยุทธหรอกนะ จริงไหม?” จางเฉี่ยนคำราม
จางเซวียนยักไหล่ “ถ้าคุณไม่อยากลดระดับวรยุทธ ไม่ลดก็ได้”
“เยี่ยมเลย ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันดีกว่า!” จางเฉี่ยนยิ้มอย่างผู้ชนะ รังสีแผดกล้าแผ่ออกมาจากร่างของเขา
“กึ่งสุดยอดการควบคุม? ไม่แปลกใจแล้ว” เมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่าย จางเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมจางเฉี่ยนถึงกล้าเข้าท้าทายเขาอีกครั้งทั้งๆ ที่เพิ่งพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายไปเมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนเขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา!