ตอนที่ 167 ซุนฉางวางมาด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ปรมาจารย์หยวนหยู่เคาะประตู ไม่นานประตูก็เปิดออก ซุนฉางปรากฏตัวพร้อมกับอุ้มพุงพลุ้ยมาอย่างมั่นใจ
ชำเลืองมองกลุ่มคนตรงหน้า ซุนฉางเอ่ย “จ่ายมาสามล้านเหรียญและรอที่ประตู ท่านปรมาจารย์จะเชิญพวกคุณเข้าไปเมื่อท่านอยากพบ”
ปรมาจารย์หยวนหยู่เป็นผู้มีชื่อเสียงในหมู่ชนชั้นสูงของเมืองหลวง ผู้คนมากมายรู้จักเขา ซึ่งคนต๊อกต๋อยอย่างซุนฉางไม่เคยมีโอกาสได้รู้จัก
แต่…ซุนฉางก็หาได้สนไม่ เพราะไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เจ้านายคือปรมาจารย์ ไม่ว่าคุณจะเป็นเสือหรือมังกร ขอเตือนว่านอบน้อมว่าง่ายเอาไว้จะดีกว่า
“แค่ก แค่ก…” ปรมาจารย์หยวนหยู่เกือบสำลัก
มีปรมาจารย์สามคนยืนอยู่ข้างหลังเขา สำหรับเจ้าพ่อบ้านต๊อกต๋อยที่วางท่ายโสโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?
“ผมคือหยวนหยู่ มาขอพบเจ้านายของคุณ…”
แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็เข้าใจว่าชายตรงหน้าคงจะเป็นพ่อบ้านของท่านปรมาจารย์ ถึงเขาจะมีสถานภาพสูงส่งในอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ก็ไม่กล้ามีเรื่องปะทะ
“ใครจะสนว่าคุณคือหยวนหยู่หรือฟางหยู่ ไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือ? จ่ายมาสามล้านและรอตรงนี้ คุณอาจได้รับโอกาสให้พบท่านปรมาจารย์ก็ได้ ถ้าไม่จ่ายก็ไปซะ” ซุนฉางโบกมืออวบอูมของเขาอย่างรำคาญ ราวกับโบกไล่แมลงวัน
ถ้าไม่มีเงินก็อย่ามาวางท่า
“แกรู้ไหมว่าเจ้านายของเราเป็นใคร?” องครักษ์คนหนึ่งตวาดซุนฉางอย่างอดรนทนไม่ได้
“ฉันดูเหมือนอยากรู้อย่างนั้นรึว่าเจ้านายของพวกแกเป็นใคร? ถ้าอยากจะเข้ามาในคฤหาสน์ก็ต้องทำตามกฎของเรา หยุดพล่าม หยุดวางท่า แล้วก็หลีกไปซะถ้าไม่มีเงิน ถ้าไม่มีสามล้านล่ะก็ มีสิทธิ์อะไรมาวางท่าใส่ฉัน?” ซุนฉางปรายตามองอย่างดูถูก
ถ้าไม่เต็มใจจะจ่ายเงินก็ไปซะ มาคุยโวโอ้อวดเรื่องเจ้านายของตัวเอง…ต่อให้เจ้านายของแกน่าทึ่งขนาดไหน จะยิ่งใหญ่กว่าปรมาจารย์หรือ?
“แก…” องครักษ์คนนั้นแทบกระอักเลือด
เจ้านายของเขาคือปรมาจารย์หลิว ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้รับความเคารพสูงสุด แต่ในสายตาของหมอนี่ เขากลายเป็นคนต๊อกต๋อย เป็นคนวางท่า…
แกต่างหากที่วางท่า วางท่ากันทั้งก๊ก!
เขาหน้าแดงก่ำ กำลังจะเปิดเผยตัวตนของเจ้านายเพื่อข่มขวัญฝ่ายนั้น แต่ปรมาจารย์หลิวยื่นมือมาหยุดไว้ “เราแค่ผ่านมาและอยากขอพบเท่านั้น เราขอรบกวนคุณให้ช่วยรายงานเขาด้วยว่าเรามา…”
ยังไม่ทันที่ปรมาจารย์หลิวจะพูดจบ ซุนฉางก็ก้าวออกมาและใช้มืออวบอูมของเขาตบหน้าฝ่ายนั้นเบาๆ “ตาเฒ่า หูหนวกรึ? หรือมีบางอย่างในหัวผิดเพี้ยนไป ไม่ได้ยินฉันพูดหรือไง? ถ้าอยากจะขอพบท่านปรมาจารย์ก็ต้องจ่ายมาสามล้าน แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไสหัวไปซะ! นี่เป็นกฎ…ถ้าไม่เข้าใจว่ากฎคืออะไร มันก็คือมาตรฐานที่ทุกคนต้องทำตาม แจ่มแจ้งหรือยัง?”
“ฮะ…” เห็นการกระทำเช่นนั้น ปรมาจารย์หยวนหยู่ตัวสั่นและแทบจะเป็นลมด้วยความตกใจ
ตบหน้าปรมาจารย์หลิว…
องครักษ์สองสามคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็ผงะ ต่างยืนอึ้งและรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
ประสาทแล้ว!
หมอนี่กล้าตบหน้าปรมาจารย์หลิว? ถึงกับพูดว่าบางอย่างในหัวของเขาอาจผิดเพี้ยนไป นี่ไม่ใช่เรื่องของความกล้าหรือไม่กล้าแล้ว แกต้องถูกสั่งประหารแน่…
แม้ปรมาจารย์หลิวเองก็อึ้ง
เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าอ้วนตรงหน้าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ ปรมาาจารย์หลิวขมวดคิ้วอย่างเดือดดาล
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือปรมาจารย์ที่ทุกคนให้ความเคารพ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาขอเข้าพบต่างไม่กล้าแม้จะหายใจเสียงดังต่อหน้าเขา แต่หมอนี่ถึงกับกล้าตบหน้า เขาอึ้งไปทันใดและไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้อย่างไร
เขาแน่นหน้าอกจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาโกรธเกรี้ยว อีกฝ่ายไม่รู้อย่างแน่นอนว่าเขาเป็นใคร ในฐานะปรมาจารย์ซึ่งเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของอาณาจักรเทียนเซวียน การทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้าคนต๊อกต๋อยอย่างซุนฉางถือเป็นการกระทำที่น่าอับอายโดยแท้
เขาโยกตัวหลบการตบครั้งที่สองของอีกฝ่าย ข่มความโกรธไว้และร้องเรียกบุรุษด้านหลัง
“อาหยิน!”
“นายท่าน”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังก้าวออกมาทันใดและยื่นตราหยกให้ “นี่คือตราหยกสัญลักษณ์ของเจ้านายของเรา ทุกคนที่ครอบครองตรานี้จะได้เข้ารับการปรึกษาชี้แนะจากเจ้านายของเราเป็นเวลาสองชั่วโมง มันมีค่ามากกว่าสามล้าน…”
ปรมาจารย์บางคนจะสร้างตราหยกสัญลักษณ์ขึ้นมาโดยมีเครื่องหมายเฉพาะตัวจารึกอยู่บนนั้น ตราบใดที่ใครสักคนมีตราดังกล่าว ก็จะได้เข้าปรึกษาและรับฟังคำชี้แนะจากปรมาจารย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของปรมาจารย์และสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้
แต่คำชี้แนะของปรมาจารย์นั้นเป็นสิ่งมีค่ามาก จึงมีน้อยคนนักที่มีโอกาสจะได้รับ แม้ผู้เชี่ยวชาญขั้นทงฉวนก็ยังยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้โอกาสเข้ารับคำชี้แนะจากปรมาจารย์
ในแง่ของตัวเงิน แน่นอนว่ามีค่ามากกว่าสามล้าน
ตึ้ง!
ยังไม่ทันได้ส่งตราหยกให้ซุนฉาง ฝ่ายนั้นก็ขว้างมันทิ้งราวกับเป็นขยะ ตราหยกแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่ที่พื้น “แกเสียสติรึ? คิดได้อย่างไรว่าหยกงี่เง่าของแกมีค่ามากกว่าสามล้าน? เห็นฉันเป็นไอ้งั่งหรือไง? ถ้าไม่มีเงินก็ไปซะ!”
จากนั้นเขาก็มองอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะเดินกลับเข้าคฤหาสน์และเตรียมปิดประตู
เนื่องจากอาณาจักรเทียนเซวียนไม่เคยมีปรมาจารย์มาก่อน ตราหยกลักษณะนี้จึงไม่เป็นที่พบเห็นในท้องตลาด เป็นธรรมดาที่ซุนฉางจะไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีปัญญาจ่ายเงินและคิดจะใช้หยกราคาถูกมาล่อลวงเขา อันที่จริงซุนฉางคิดว่าเขาได้รักษาหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ด้วยการที่ไม่สั่งองครักษ์ให้ไล่พวกเขาไป
“แก…”
เห็นอีกฝ่ายโยนตราหยกทิ้งและจ้องพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นนั้น องครักษ์เดือดดาลจนแทบจะเป็นลม
บ้าแล้ว เอาคนแบบนี้มาเป็นพ่อบ้านได้อย่างไร?
“น้องซุน อย่าวู่วามไป นี่เงินสามล้าน รบกวนช่วยแจ้งปรมาจารย์หยางด้วยว่าพวกเรามา…”
เห็นฝ่ายนั้นกำลังจะปิดประตู ปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่อาจอดใจเข้ามาแก้ปัญหาได้
หากเรื่องนี้ยังค้างคา ทั้งสามปรมาจารย์จะต้องโมโหเดือดแน่ เขาเป็นเพียงนายแพทย์ และไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างปรมาจารย์ เพียงเพราะเขาเป็นผู้พาทั้งสามคนมา
“อืม ต้องแบบนี้สิ อย่างน้อยคุณก็เข้าใจอะไรได้เร็วดี!”
รับเงินไปแล้ว ซุนฉางก้มศีรษะลงพิจารณาเงินก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นเขาบ่น “ในเมื่อคุณก็มีเงิน เหตุใดจึงนำหยกเน่าๆชิ้นนั้นออกมา? ผมเจอคนขี้เหนียวมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอใครขี้เหนียวขนาดนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าผม–ซุนฉาง เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ? ถ้าอยากจะเข้าไปโดยไม่จ่ายล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”
ได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากของทุกคนกระตุกด้วยความโมโห แม้หยวนหยู่ก็แทบจะข่มความโกรธไว้ไม่ได้
น้องชาย รู้ไหมว่าหยกเน่าๆที่คุณเพิ่งขว้างทิ้งนั้นเป็นตราหยกสัญลักษณ์? รู้หรือไม่ว่ามันมีค่าขนาดไหน?
นักรบขั้นทงฉวนจะยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อให้ได้มาสักชิ้นหนึ่ง แต่คุณขว้างทิ้งอย่างง่ายดายราวกับเป็นสิ่งไร้ค่า…
นี่คุณเป็นพ่อบ้านของปรมาจารย์จริงๆหรือ?
เหตุใดจึงไม่รู้จักของแบบนี้?
“เอาล่ะ รอตรงนี้ก่อน ปรมาจารย์ท่านมีธุระและเพิ่งจะออกไป เมื่อเขากลับมาและหาเวลาพบคุณได้ เขาจะเชิญคุณเข้าไปเอง” เมื่อรับเงินไปแล้ว เจ้าอ้วนก็อธิบาย
“เขาไม่อยู่รึ?” ปรมาจารย์หยวนหยู่เลิกคิ้ว
บ้าแล้ว! ก็ถ้าเขาไม่อยู่ ทำไมถึงไม่บอกเสียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ นี่รับเงินไปแล้วยังมีหน้ามาบอกให้เรารอเขากลับมา…
ถ้าฉันมาคนเดียวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่…คุณปล่อยให้ปรมาจารย์ทั้งสามคนรออยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?
“ผมขอรบกวนให้คุณรีบแจ้งท่านปรมาจารย์ได้ไหม? เรามีเรื่องด่วนที่ต้องปรึกษาเจ้านายของคุณ…”
ปรมาจารย์หยวนหยู่เอ่ยถามและพยายามข่มความโกรธไว้
“เรื่องอะไรกันถึงด่วนขนาดนั้น?” ซุนฉางถาม
หลังจากอีกฝ่ายจ่ายเงินแล้ว ทัศนคติของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงอย่างไรลูกค้าก็เป็นพระเจ้า
“จะเรื่องอะไรก็ช่าง เรามาที่นี่เพื่อพูดกับปรมาจารย์ ไม่ใช่พูดกับแก!” องครักษ์ที่เป็นคนนำหยกออกมาทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ทำไม? จะพูดออกมาก็อายแล้วหรือ? ฉัน–พี่ใหญ่ฉาง ได้ติดตามท่านปรมาจารย์มาระยะหนึ่งและได้เรียนรู้หลายสิ่งจากท่าน ถ้าเป็นเรื่องง่ายๆล่ะก็ ไม่ต้องถึงมือท่านปรมาจารย์หรอก ฉันก็แก้ไขได้…”
ซุนฉางเชิดหน้าขึ้นยิ้มเยาะอย่างโอหัง
ตลกเป็นบ้า! ฉันนี่แหละคือผู้สืบทอดความสำเร็จของปรมาจารย์ ฉันได้เห็นวิธีการของเขามากับตา ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือเริ่มด้วยการข่มขวัญ, เปิดเผยข้อบกพร่องของคนพวกนั้น แล้วก็พยายามทุกวิถีทางที่จะตบตาอีกฝ่าย ด้วยความสามารถของฉันนี่น่ะ ฉันทำได้มากกว่าหลอกลวงพวกแกที่ไม่เต็มใจแม้จะจ่ายเงินเสียด้วยซ้ำ
“แกได้เรียนรู้หลายสิ่งจากเขารึ?”
องครักษ์ขยับจะพูดต่อ แต่ปรมาจารย์หลิวขัดขึ้นเสียก่อน “ในเมื่อคุณบอกได้ ทำไมจึงไม่บอกผมล่ะว่าผมมีอะไรผิดปกติบ้าง?”
“คุณรึ?”
ซุนฉางพาร่างอวบอ้วนเดินวนรอบปรมาจารย์หลิวก่อนจะถอยหลัง พยายามนึกถึงกิริยาท่าทางของปรมาจารย์ เขาก้มศีรษะลง 45 องศาและจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสุขุม ราวกับเป็นผู้หยั่งรู้จิตวิญญาณ “คุณ…ครอบครัวของคุณสบายดีอยู่หรือ?”
“คุณว่าอะไรนะ?” ปรมาจารย์หลิวผงะ ตกใจจนลมแทบจับ
เขาแค่ขอคำวินิจฉัยจากอีกฝ่าย เหตุใดจึงต้องหยามเกียรติกันเช่นนั้น?
ปรมาจารย์หยวนหยู่ยืนโงนเงน อยากเอาหัวโขกกำแพงเสียให้รู้แล้วรู้รอด
บ้าแล้ว…สวรรค์ ให้สายฟ้าฟาดเราตายเสียดีกว่า ทนไม่ไหวแล้ว…
นี่…มันกดดันกันมากเกินไป…
เรื่องบ้าบอที่เพิ่งเจอเมื่อสองสามนาทีนี่หนักหนากว่าที่เราเจอมาทั้งชีวิตเสียอีก
ซุนฉางไม่ใส่ใจอาการตะลึงและโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย เขาพยายามสุดตัวที่จะเลียนแบบท่าทางและถ้อยคำของปรมาจารย์ “อ้าว ไม่เข้าใจรึ? งั้นพูดใหม่ สุขภาพร่างกายของสมาชิกในครอบครัวของคุณน่ะยังดีอยู่หรือไม่?”