ตอนที่ 178 ส่วนผสมเข้ากันไม่ได้
“เอ่อ…”
เมื่อเห็นสภาพของเขา ประธานโอวหยางและคนอื่นๆอยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้า
หงหยุ่นเป็นนักปรุงยาที่อยู่ในระดับสูงกว่าพวกเขา แม้ฮ่องเต้เซินจุยยังทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพสูงสุด ไม่กล้าแตะต้องแม้แต่น้อย
แต่ในเวลานี้ เขาตัวดำเหมือนถ่าน แถมผมเผ้าชี้เด่ไปทั้งหัว ถ้าไม่มีแววตาที่ยังสอดส่ายอยู่ล่ะก็ ทุกคนจะต้องคิดว่านี่คือศพ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะหัวเราะ ทุกสายตาหันกลับไปจับจ้องจางเซวียน
พวกเขาอยากฟังว่าจางเซวียนจะพูดอะไร
ชี้ข้อบกพร่องของนักปรุงยาระดับ 2 ดาว…นี่เป็นสิ่งที่เกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้
อยากเห็นนักว่าชายหนุ่มที่สร้างความน่าเกรงขามในวิวาทะยาจะเปล่งประกายโดดเด่นได้อีกครั้งหรือไม่
แต่จางเซวียนกลับมองนักปรุงยาหงหยุ่นด้วยสายตาประหลาด เขาเอ่ยถาม “แน่ใจหรือว่าคุณคือนักปรุงยาระดับ 2 ดาว?”
“คุณหมายความว่าอย่างไร?” นักปรุงยาหงหยุ่นสะบัดเสื้อคลุมอย่างโกรธเกรี้ยว
“อะไรคือคุณสมบัติของหญ้าบุปผาสีน้ำเงิน?” จางเซวียนตั้งคำถามโดยไม่สนความหงุดหงิดของอีกฝ่าย
“หญ้าบุปผาสีน้ำเงินมีสีออกม่วง และเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์อุ่น” นักปรุงยาหงหยุ่นตอบ
“แล้วดอกเหรียญทองล่ะ?”
“ดอกเหรียญทองมี 2 สีคือสีทองกับสีเงิน ด้วยเหตุนี้บางคนจึงตั้งชื่อมันว่า ดอกไม้สีทอง-ใบไม้สีเงิน มันเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเป็นกลาง”
“แม้ว่าสมุนไพรทั้งสองชนิดจะมีฤทธิ์อ่อนๆ แต่หากนำมาใช้ด้วยกัน จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านกันอย่างรุนแรง” จางเซวียนพูด
“ผมรู้ แต่ตำรับการปรุงยาฟื้นฟูพลังชีวิตนั้นตกทอดกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ หากปฏิกิริยาระหว่างสมุนไพรทั้งสองชนิดเป็นเหตุให้หม้อต้มยาระเบิด มันก็จะต้องเกิดกับผู้อื่นเช่นกัน” นักปรุงยาหงหยุ่นส่ายหน้า “อีกอย่าง ลำดับการใส่สมุนไพรของผมก็ไม่มีข้อผิดพลาด อันที่จริงผมได้เพิ่มหญ้าหอมม่วงลงไปคั่นระหว่างสมุนไพรทั้งสองเพื่อประสานฤทธิ์ของมันให้กลมกลืน ในส่วนของลำดับและช่วงเวลานั้น ไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน!”
เขาได้ปรึกษาเรื่องการปรุงยาฟื้นฟูพลังชีวิตกับผู้ทรงภูมิอีกหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นตัวสมุนไพรหรือวิธีการ เขาก็ทำเหมือนอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อผิดเพี้ยน แต่ผลลัพธ์กลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้เขางุนงงนัก
อีกฝ่ายก็ได้บอกเขาเช่นกันว่าการผสมผสานกันระหว่างสมุนไพรทั้งสองชนิดจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านกันอย่างรุนแรง ซึ่งเขาก็รู้และได้เตรียมการป้องกันไว้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หม้อต้มยาจะระเบิดเพราะเหตุนี้
“ผมก็ไม่ได้พูดว่าลำดับของคุณไม่ถูกต้อง หรือสมุนไพรทั้งสองชนิดนั้นมีปัญหา!” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม
“ถ้าเช่นนั้น คุณหมายความว่าอย่างไร?” ไม่เพียงแค่นักปรุงยาหงหยุ่น แต่ผู้ชมคนอื่นๆก็สงสัยเช่นกัน
ถ้านั่นไม่ใช่ปัญหา แล้วจะเป็นอะไรไปได้?
อีกอย่าง หม้อต้มยาจะระเบิดได้อย่างไรในเมื่อไม่มีข้อผิดพลาด?
จางเซวียนไม่ใส่ใจสายตาประหลาดของทุกคนที่จับจ้องมา เขาเอามือไพล่หลังและเดินตรงไปยังหม้อที่ระเบิด บนพื้นใกล้ๆกันนั้น ยังมองเห็นหญ้าบุปผาสีน้ำเงินต้นหนึ่งและดอกเหรียญทองตกอยู่
“หญ้าบุปผาสีน้ำเงินและดอกเหรียญทองนั้นจะทำปฏิกิริยาต่อต้านกันอย่างรุนแรงหากถูกนำมาผสมกัน…และก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าการเติมหญ้าหอมม่วงลงไปจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่…ในขณะที่ผู้อื่นทำเช่นนั้นได้ คุณทำไม่ได้หรอก!” จางเซวียนยิ้มอ่อน
“ผมทำไม่ได้? ผมมีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ?” นักปรุงยาหงหยุ่นขมวดคิ้ว
เราเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวผู้มีทักษะดีที่สุดคนหนึ่งเมื่อเทียบกับนักปรุงยาระดับเดียวกัน แล้วเพราะเหตุใดเราจึงต้องเป็นข้อยกเว้น?
“ถูกต้องแล้ว คุณมีบางอย่างพิเศษ ถ้าผมพูดไม่ผิด คุณไม่เคยกินยาที่ใช้หญ้าหอมม่วงเป็นส่วนประกอบหลักมาก่อนเลย!” จางเซวียนหันไปมองเขา
“เอ่อ…ผมแพ้หญ้าหอมม่วง ก็เลยกินไม่ได้…” นักปรุงยาหงหยุ่นพยักหน้า
“อันที่จริงไม่ใช่อาการแพ้ แต่องค์ประกอบในพลังปราณของคุณนั้นเข้ากับมันไม่ได้…” จางเซวียนเอามือไพล่หลังและพูดต่อ “เพราะคุณฝึกวรยุทธโดยใช้วิชาอัคคีทำลายล้าง พลังปราณของคุณจึงมีคุณสมบัติของไฟ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หญ้าหอมม่วงเจริญเติบโตขึ้นในน้ำ จึงมีคุณสมบัติของน้ำ ด้วยเหตุนี้พลังปราณของคุณจึงเข้าไปทำลายคุณสมบัติของน้ำในหญ้าหอมม่วง ทำให้มันสูญเสียประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ไป ดังนั้น ในขณะที่ผู้อื่นใช้หญ้าหอมม่วงเป็นปัจจัยประสานความเป็นกลางในการปรุงยาฟื้นฟูพลังชีวิต แต่คุณใช้มันมันไม่ได้ สุดท้าย เมื่อสมุนไพรทั้งสองชนิดมาสัมผัสกันโดยตรง ปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงจึงเกิดขึ้นและเป็นสาเหตุให้หม้อระเบิด!”
“คุณ…คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมฝึกวรยุทธโดยใช้วิชาอัคคีทำลายล้าง?” นักปรุงยาหงหยุ่นหน้าซีด
วิชาอัคคีทำลายล้างเป็นวรยุทธที่เป็นมรดกตกทอดในตระกูลของเขา เขาฝึกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ซึ่งก็เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ดังนั้นพลังปราณของเขาจึงโอบอุ้มเอาคุณสมบัติของไฟไว้อย่างเต็มเปี่ยม นี่เป็นความลับที่เขาไม่เคยบอกใคร แม้เพื่อนสนิทก็ยังไม่รู้ แล้วชายนี้พูดออกมาอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?
“ผมรู้ได้อย่างไรนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ลองใส่หญ้าบุปผาสีน้ำเงินกับดอกเหรียญทองเข้าไปพร้อมกับหญ้าหอมม่วงที่สกัดแล้วอีกครั้งก็ได้ ถ้ามันไม่ระเบิด ก็แปลว่าข้อสันนิษฐานของผมผิด” จางเซวียนคร้านจะอธิบาย
แค่ให้อีกฝ่ายแสดงการปรุงยา หอสมุดเทียบฟ้าก็จัดหนังสือมาให้ ต่อให้ไม่บอกชื่อของวรยุทธที่ใช้ จางเซวียนก็สามารถชี้ข้อบกพร่องทุกข้อของวรยุทธนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย
นักปรุงยาหงหยุ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจทดลอง เขานำหญ้าบุปผาสีน้ำเงิน ดอกเหรียญทอง และหญ้าหอมม่วงมาสกัด หลังจากนั้นก็ผสมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกัน
บึ้ม!
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด ส่วนผสมนั้นระเบิดตูมทันที
“นี่…” นักปรุงยาหงหยุ่นตัวสั่นเทิ้ม
เขาศึกษาเรื่องการปรุงยาฟื้นฟูพลังชีวิตมาหลายต่อหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ เขาคิดมาตลอดว่าปัญหาอยู่ที่กระบวนท่าและลำดับของการใส่สมุนไพร ไม่นึกเลยว่าที่แท้ตัวปัญหาคือพลังปราณของเขาที่ขจัดเอาคุณสมบัติการประสานความเป็นกลางของหญ้าหอมม่วงออกไป
ถ้าไม่ได้ยินกับหู จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“แล้วมีทางแก้หรือไม่?” เมื่อหายจากอาการตกตะลึงแล้ว นักปรุงยาหงหยุ่นหันกลับไปมองชายผู้อ่อนวัยกว่า
ตอนนี้เขาประทับใจในตัวอีกฝ่ายอย่างเต็มเปี่ยม
ตอนแรก เขาตั้งใจจะมาปลดจางเซวียนออกจากตำแหน่งนักปรุงยา แต่ความคิดนั้นหายวับไปจากใจอย่างสิ้นเชิง
ทั้งบอกชื่อวรยุทธที่เขาใช้ได้ ชี้ข้อบกพร่องที่เกิดจากสมุนไพรได้เพียงแค่มองดูเขาปรุงยา แม้เขาจะไม่รู้ว่าจางเซวียนใช้วิธีการปรุงยาแบบใด แต่เพียงแค่ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะมอบตำแหน่งนักปรุงยาระดับ 2 ดาวให้แล้ว
“นักปรุงยาระดับ 2 ดาวแก้ปัญหาง่ายๆเช่นนี้ด้วยตัวเองไม่ได้หรือ?” จางเซวียนมีสีหน้าไม่พอใจ
แม้หอสมุดจะชี้ข้อบกพร่องของทุกปัญหาให้เขา แต่ก็ไม่ได้บอกแนวทางแก้ไขโดยตรงไว้ แน่นอนว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ออกมาดังๆไม่ได้ เพราะหากอีกฝ่ายกล่าวหาว่าเขาไม่ได้แก้ปัญหาให้ และปฏิเสธที่จะจ่ายค่าตอบแทนล่ะ?
เหตุผลที่เขาพยายามตอบคำถามของอีกฝ่ายก็เพื่อเงินเท่านั้น มิเช่นนั้นจะยอมเสียเวลานอนทำไม?
“ขอบคุณที่ชี้แนะ…” เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของอีกฝ่าย นักปรุงยาหงหยุ่นหน้าแดงก่ำ
คำพูดของฝ่ายนั้นฟังขึ้น ในฐานะนักปรุงยาระดับ 2 ดาว มันออกจะพิลึกพิลั่นที่เขาจะตั้งคำถามกับนักปรุงยาระดับ 1 ดาวเช่นนั้น ถึงกับถามหาวิธีแก้ไขในขณะที่อีกฝ่ายก็ชี้ให้เห็นแก่นของปัญหาโดยตรงแล้ว…น่าขายหน้าอะไรเช่นนั้น
หญ้าหอมม่วงนั้นเป็นเพียงตัวประสาน ตราบใดที่เขาสามารถค้นหาสมุนไพรตัวประสานที่ไม่ตีกับพลังปราณของเขาได้ ปัญหาก็จะคลี่คลาย
นักปรุงยาหงหยุ่นผู้แสนจะยโสโอหังและวางอำนาจเมื่อมาถึง ตอนนี้ดูเหมือนนักเรียนมัธยมที่ไม่กล้าตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ ประธานโอวหยางกับคนที่เหลือทึ้งผม อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
ก็เห็นอยู่ว่าคำอธิบายของจางเซวียนนั้นตรงประเด็น แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะหมอบราบคาบแก้วขนาดนั้น
นักปรุงยาระดับ 1 ดาวสอนบทเรียนให้กับนักปรุงยาระดับ 2 ดาวอย่างตรงประเด็น จนเขาไม่กล้าปริปากเถียงสักคำ ฝูงชนต่างกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“ประธานโอวหยาง คุณก็ได้ยินที่นักปรุงยาหงหยุ่นพูดแล้วนี่ ผมขอเงินคืน รวมกับหนึ่งล้านที่ผมจ่ายไปล่วงหน้าด้วย…”
ไม่สนใจว่าใครจะสะพรึงแค่ไหน จางเซวียนเดินเข้าไปหาประธานโอวหยาง และยื่นมือออกไปรับเงินปึกที่ตัวเขาเพิ่งจะส่งให้เมื่อครู่ก่อนหน้า
“….” ใบ้กินกันถ้วนทั่ว
ก็ในเมื่อเก่งกาจขนาดนั้น ขายยาสองสามเม็ดก็หาเงินก้อนปะติ๋วนี้ได้แล้ว จะต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เพื่อเงินจำนวนเล็กน้อยด้วยหรือ?
จางเซวียนไม่สนใจสายตาประหลาดเหล่านั้น เขาเก็บเงินและพยักหน้าอย่างพอใจ
เหตุที่เขาต้องออกมาหาเงิน ถึงกับยอมปลอมตัวเป็นปรมาจารย์คอยชี้แนะผู้อื่น ก็เพื่อมาจ่ายค่าของเหล่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่า สุดท้ายเมื่อของมาถึง เขาก็ไม่ต้องจ่ายแม้แต่แดงเดียว…
ถ้ารู้ว่าจะลงเอยเช่นนี้ จะไม่พยายามปลอมตัวเป็นปรมาจารย์เลย ดูสิว่าต้องเหนื่อยขนาดไหน…
จางเซวียนเพลียใจนัก
นักปรุงยาหงหยุ่นทดสอบจางเซวียนเรียบร้อย และรู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง เขาไม่กล้าจะเหนี่ยวรั้งจางเซวียนไว้อีกต่อไป
เมื่อออกจากสมาคมนักปรุงยา จางเซวียนก็บ่ายหน้าไปยังโรงเรียน
เมื่อได้ข่าวว่าปรมาจารย์หยางชวนปรากฏตัวแล้ว
ลู่ฉวินกับหว่างเชาก็นั่งไม่ติด หลังจากเรียบเรียงสมุดแนะนำตัวเสร็จ ทั้งคู่ก็รีบออกจากโรงเรียนไป ที่หน้าประตู พวกเขาเห็นชายท่าทางเซื่องซึมคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ชายผู้นั้นมีนัยน์ตาแดงก่ำและผมเผ้ายุ่งเหยิง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาอดหลับอดนอนมาหลายวัน
“ลู่ฉวิน นั่นจางเซวียน…” หว่างเชาพูดเสียงแผ่ว
“เขารึ?” ลู่ฉวินชำเลืองมองชายสะโหลสะเหลคนนั้นและส่ายหน้า ความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา “ดูสิว่าคนเป็นอาจารย์ของโรงเรียนละเลยการดูแลตัวเอง และมาเดินท่อมๆในสภาพนี้ ผมสงสัยเหลือเกินว่าตอนแรกทางโรงเรียนรับคนเช่นนี้มาได้อย่างไร!”
“ผมว่าเขาคงรู้สึกกดดันกับคำท้าของคุณ และไม่หลับไม่นอนตลอดสองสามวันสุดท้ายเพื่อคิดหาวิธีตอบโต้ ก็เลยมีสภาพแบบนั้น…” หว่างเชาหัวเราะหึๆ
อาจารย์ลู่ฉวินเป็นใคร?
อาจารย์ดาวเด่นที่สุดในโรงเรียนหงเทียน! นักเรียนที่ปรารถนาจะขอเป็นลูกศิษย์ของเขาต่อแถวกันยืดยาว
แม้ผู้อาวุโสกว่าก็ยังต้องเหงื่อตกหากถูกเขายื่นคำท้า แล้วเจ้าอาจารย์ละอ่อนที่เพิ่งเข้ามาปีที่แล้วจะไม่กลัวหัวหดได้อย่างไร
มิเช่นนั้น จะมีเหตุผลอื่นใดที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพแบบนั้น?
“หาวิธีตอบโต้อย่างนั้นหรือ?” ลู่ฉวินส่ายหน้า ความเชื่อมั่นในตัวเองฉายชัดจากแววตา “ถ้าจะมาเหนือกว่าผมเรื่องการสอนในโรงเรียนหงเทียนล่ะก็ ฝันไปเถิด!”
“อันที่จริงเขาควรจะโทษตัวเองที่โชคร้าย ดันโผล่เข้ามาตอนที่คุณกำลังต้องการคู่ต่อสู้เพื่อมาดึงดูดความสนใจของปรมาจารย์พอดี ก็สมควรแล้ว…” หว่างเชาหัวเราะหึๆ
เพื่อดึงดูดความสนใจของปรมาจารย์ให้รับพวกเขาเป็นศิษย์ ลู่ฉวินได้เตรียมการหาใครสักคนมาเป็นหินรองฝ่าเท้าไว้แล้ว ต่อให้หวังเทากับหวังเหยียนจะไม่ได้ถอนตัวจากการเป็นศิษย์ เขาก็หาเหตุผลอื่นได้ แต่จางเซวียนเข้ามาในเส้นทางของเขาพอดิบพอดี ก็เป็นธรรมดาที่ลู่ฉวินจะเลือกใช้ประโยชน์จากเขา
“ไปกันเถอะ เราต้องรีบไปคฤหาสน์ของปรมาจารย์หยางแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องเข้าคิวนานแค่ไหน” ลู่ฉวินพยักหน้า
สำหรับเขา จางเซวียนเป็นแค่หินรองฝ่าเท้าก้อนกะจ้อยร่อยเพื่อการก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์เท่านั้น เหมือนอาการคันคะเยอที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เขาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจใดๆ
“อันที่จริง ปรมาจารย์หยางต่างหากที่เป็นเป้าหมายของเรา จางเซวียนคนนี้ก็เป็นแค่คนไม่ได้เรื่องในโรงเรียนเท่านั้น…”
หว่างเชาพยักหน้า ไม่ใส่ใจจางเซวียนอีก ทั้งคู่เดินเชิดผ่านจางเซวียนไป มิได้ชัดตามองเลยด้วยซ้ำ!
เห็นอาจารย์สองคนเดินเชิดผ่านเขาไปราวกับเป็นผู้วิเศษ จางเซวียนให้สงสัย
ไอ้งั่งสองคนนี้…คือใคร?
แม้เขาจะรับคำท้าดวลประเมินอาจารย์ของลู่ฉวินแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยพบหน้าฝ่ายนั้น จางเซวียนจึงไม่รู้จัก
โรงเรียนหงเทียนมีอาจารย์หลายร้อยคน จางเซวียนเพิ่งเข้ามาเมื่อปีที่แล้วและยังไม่ได้มีโอกาสผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร เพราะนอกจากสถานภาพจะต่ำต้อยแล้ว ก็ยังไม่มีเวลาสุงสิงกับอาจารย์คนอื่นด้วย ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้จักดาวเด่นคนดังของโรงเรียน