ตอนที่ 634 ยอดขุนพล
สู้ทั้งๆ ที่หลับตา?
เย่เหวินเถียนกับเว่ยเจียงถึงกับอึ้ง
นี่มันวรยุทธแบบไหน? หรือว่า…เป็นศาสตร์ลับบางอย่าง?
“ใช่แล้ว! เขาหลับตาและมีสีหน้าพิลึกพิลั่นราวกับคู่ต่อสู้ของเขาเหยาะแหยะเกินไปจนไม่เต็มใจจะแตะต้อง และตอนนี้ทั้ง 9 คนนั้นก็นอนแบ็บอยู่กับพื้น…”
องครักษ์ทบทวนภาพที่เพิ่งได้เห็นเมื่อครู่
เย่เหวินเถียนกับเว่ยเจียงมองหน้ากัน
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
นักรบขั้น 4-ขจัดสิ่งมัวหมองเอาชนะนักรบขั้น 5-จิตวิญญาณสอดคล้อง 9 คนได้ในรวดเดียวทั้งที่ยังหลับตา แถมยังรู้สึกอึดอัดขัดใจว่าคู่ต่อสู้เหยาะแหยะเกินไปสำหรับเขา…
บ้าแล้ว แน่ใจนะว่าไม่ได้เล่าเรื่องตลกให้เราฟัง?
“เป็นเรื่องจริง…” องครักษ์หน้าแดงก่ำ รู้ดีว่าจะต้องไม่มีใครเชื่อ แต่ที่พูดออกไปก็เป็นเรื่องจริง
“ดวลกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าได้โดยไม่ยากเย็น หรือว่า…” เว่ยเจียงหรี่ตา
“ปรมาจารย์เว่ยคิดอะไรอยู่?” เย่เหวินเถียนถาม
เว่ยเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบช้าๆ “เคยได้ยินคำว่า ‘ยอดขุนพล’ ไหม?”
“คุณหมายถึงอาชีพสาขาย่อยของปรมาจารย์ที่เก่งกาจเป็นพิเศษในการต่อสู้, ยอดขุนพล?” เย่เหวินเถียนถาม
“ใช่แล้ว!”
เว่ยเจียงพยักหน้า “ถึงปรมาจารย์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานในหมู่นักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกัน แต่เป้าหมายเบื้องต้นของพวกเขาก็คือการศึกษาและบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสร้างมวลมนุษยชาติให้แข็งแกร่ง…แต่พวกเขาก็ต้องรบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นและกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่พยายามข่มขู่มวลมนุษย์ พวกเราจึงต้องการกองกำลังที่มีอานุภาพสูงกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้…ยอดขุนพลจึงเกิดขึ้น!”
“ยอดขุนพลคือปรมาจารย์สาขาหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้เป็นพิเศษ แม้พวกเขาจะถือเป็นปรมาจารย์เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างมากระหว่างปรมาจารย์ทั่วไปกับยอดขุนพล ยกตัวอย่างปรมาจารย์ทั่วไปจะต้องมีอาชีพรองรับจำนวนหนึ่งก่อนจะได้เลื่อนขั้น แต่ยอดขุนพลไม่จำเป็นต้องผ่านเกณฑ์นั้น ขอแค่พวกเขาผ่านการทดสอบด้านการต่อสู้ ก็จะได้เลื่อนขั้น แต่แน่นอนว่าความยากของการทดสอบก็มีไม่น้อย ในหมู่ปรมาจารย์ 1 หมื่นคน ก็บอกได้ยากว่าจะผ่านการทดสอบสักคนหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ ยอดขุนพลส่วนใหญ่จึงมักมีสภาวะพิเศษหรือสายเลือดเฉพาะตัวบางอย่างที่ทำให้พวกเขามีประสิทธิภาพในการต่อสู้สูงส่งมาตั้งแต่เกิด…”
“ในเมื่อปรมาจารย์จางผู้นี้รับมือกับนักรบจิตวิญญาณสอดคล้องได้ทีเดียวถึงเก้าคน ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบขจัดสิ่งมัวหมอง…เป็นไปได้ไหมว่าเขามีความปราดเปรื่องพอที่จะเป็นยอดขุนพล?”
เว่ยเจียงตาวาววับด้วยความตื่นเต้น
ถ้าสถิติของการได้เป็นปรมาจารย์มีแค่หนึ่งในหมื่น สถิติของการได้เป็นยอดขุนพลก็มีแค่ 1 ในหมื่นจากจำนวนปรมาจารย์ทั้งหมดเท่านั้น กล่าวได้ว่าทุกคนมีความสามารถในระดับไร้เทียมทาน และแข็งแกร่งจนสามารถท้าทายผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าได้
แม้สถาบันปรมาจารย์หงหย่วนจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี แต่จำนวนปรมาจารย์ที่ได้เป็นยอดขุนพลก็นับได้โดยใช้มือเดียว
ดังนั้น หากมียอดขุนพลปรากฏขึ้นในจักรวรรดิฮ่วนหยูสักคน ทั้งจักรวรรดิจะต้องรุ่งเรืองขึ้นอีกมาก
“คุณพูดออกมา…ก็เป็นไปได้!” เย่เหวินเถียนตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ตาโต
“รีบไปดูกันเถอะ ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ถือเป็นข่าวดีอย่างใหญ่หลวงกับจักรวรรดิฮ่วนหยูของเรา!”
เว่ยเจียงรีบลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปวังตะวันออกขององค์รัชทายาท
เย่เหวินเถียนตามไปติดๆ
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาปรบมือและส่ายหน้า
ตอนนี้ปรมาจารย์ทั้ง 9 คนจากจักรวรรดิฝงยวน เฉียนเฟิง และจูเยว่ยังนอนแบ็บอยู่กับพื้นและร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
อันที่จริง ต่อให้ไม่มีหอสมุดเทียบฟ้า ด้วยระดับวรยุทธอันสูงส่งของจิตวิญญาณที่จางเซวียนมี ทั้ง 9 คนก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมีข้อบกพร่องระบุให้เห็น จะไม่ทำตามก็ใช่ที่
“พวกคุณแพ้แล้ว…”
จางเซวียนไม่แยแสคนยับเยินกลุ่มนั้น เขาหันไปมองหน้าหลัวจ้าวกับประธานสภาปรมาจารย์คนอื่นๆ “เอาล่ะ ดวงตาทะเลสาบทั้ง 5 ดวงเป็นของจักรวรรดิหงเฟิงแล้ว!”
“….” หลัวจ้าว ฝงหยู่และเฉินเยว่ตัวสั่น ทั้ง 3 แทบจะเป็นบ้า
คนพวกนั้น คือผู้ชนะ 3 อันดับแรกในการประลองปรมาจารย์ของแต่ละจักรวรรดิเชียวนะ!
เขาถึงกับซื้อยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้องเพื่อยกระดับวรยุทธให้ แต่สุดท้าย…พวกนั้นก็สู้ไม่ได้แม้แต่กับนักรบขจัดสิ่งมัวหมอง
ควรจะชนะแบบง่ายดาย แต่แม้จะทำให้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายยับก็ยังไม่สำเร็จ…
พวกเขาคิดว่าการเป็นพันธมิตรกันจะทำให้โค่นล้มจักรวรรดิหงเฟิงได้ แต่สุดท้ายก็ต้องสูญเสียดวงตาทะเลสาบไปจนหมด…
นี่มันอะไร?
ยิ่งคิดก็แทบคลั่ง
หากพวกเขารู้เสียก่อน จะไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ หากยอมทำตามวิถีทางแบบดั้งเดิม อย่างน้อยก็ยังเหลือดวงตาทะเลสาบอยู่!”
นอกจากแผนจะล้มไม่เป็นท่า สมาชิกทุกคนในทีมก็ยังได้รับบาดเจ็บ หน้าตาบวมปูดจนหัวโตกว่า 2 เท่าแล้ว จะไปสู้หน้าใครได้?
หลังจากนิ่งอึ้งไปนาน เย่เฉียนก็ไอและพูดขึ้นมา
“แค่ก แค่ก, ปรมาจารย์จาง…ปรมาจารย์หลัวกับคนอื่นๆ ก็ทำรุนแรงไป แต่พวกเขาก็แค่อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคนรุ่นหลังเท่านั้น ถึงอย่างไรจักรวรรดิหงเฟิงก็เป็นพันธมิตรของจักรวรรดิฮ่วนหยูและจักรวรรดิในสังกัดอื่นๆ ดวงตาทะเลสาบมีตั้ง 5 ดวง แต่พวกคุณมีกันแค่ 3 คน ทำไมคุณไม่มอบอีก 2 ดวงที่เหลือให้พวกเขาล่ะ? ด้วยวิธีนี้…อย่างน้อยพวกนั้นก็ยังพอจะสู้หน้าผู้คนในบ้านเกิดของเขาได้”
หากทั้ง 3 จักรวรรดิต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะกลับไปมือเปล่า จะต้องสร้างความโมโหโกรธาในบ้านเมืองของพวกเขาเป็นอย่างมาก
ซึ่งตัวองค์รัชทายาทเองก็ไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ให้กับท่านพ่อและปรมาจารย์เว่ยเข้าใจได้
แต่…จักรวรรดิหงเฟิงก็เอาชนะได้ด้วยวิถีทางอันชอบธรรม ทุกคนเห็นกันอยู่ หากจะแนะนำปรมาจารย์จางเป็นอย่างอื่นก็คงไม่เหมาะสม เท่านี้ก็อับอายขายหน้ามากแล้ว
“ยกดวงตาทะเลสาบให้ 2 ดวง? ก็ได้ พวกเราจะได้ใช้กันคนละดวง!”
รู้ดีว่าหากปฏิเสธองค์รัชทายาทก็คงไม่ดี จางเซวียนจึงพยักหน้า
เพราะพวกเขามีกันแค่ 3 คน ดวงตาทะเลสาบ 3 ดวงก็พอแล้ว แทนที่จะปล่อยให้อีก 2 ดวงต้องสูญเปล่าและสร้างความรู้สึกต่อต้านให้กับทุกคนที่นี่ เขาก็ควรทำตัวใจกว้าง
“ขอบคุณมาก!” นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมตกลงง่ายๆ เย่เฉียนพยักหน้าด้วยอาการยอมรับ เขาหันไปสั่งการองครักษ์คนหนึ่งที่เข้ามา “เอาเสื้อเกราะเกล็ดทองมาที!”
“ขอรับ!”
องครักษ์รีบออกไป ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับเสื้อเกราะแวววาวตัวหนึ่ง
“นี่คือเสื้อเกราะระดับจิตวิญญาณขั้นกลาง ทำจากหนังอสูรเกล็ดทองซึ่งมีวรยุทธเหนืออสูรขั้น 6 ผมขอมอบให้ปรมาจารย์จาง เพื่อเป็นเครื่องแสดงถึงความยำเกรงในความมีน้ำใจของคุณ!”
เย่เฉียนโบกมือ แล้วองครักษ์ก็ยื่นเสื้อเกราะเกล็ดทองให้จางเซวียน
“เอ่อ…ผมจะรับไว้ได้อย่างไร?” จางเซวียนผงะ
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ!”
เย่เฉียนโบกมือ “ผมจะไม่สบายใจหากคุณไม่ยอมรับมัน!”
“ขอบคุณองค์รัชทายาท” รู้ดีว่านี่คือการชดเชยที่เขายอมมอบดวงตาทะเลสาบอีก 2 ดวงให้ จางเซวียนจึงตัดสินใจรับไว้ เขาเก็บเสื้อเกราะตัวนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
“ปรมาจารย์จาง ผมสำนึกในบุญคุณที่คุณมอบดวงตาทะเลสาบอีก 2 ดวงให้พวกเรา นี่คือยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้อง 2 เม็ด หวังว่าคุณจะยอมรับความปรารถนาดีครั้งนี้!”
หลัวจ้าวเข้ามายื่นขวดหยกใบหนึ่งให้
ในเมื่อขนาดองค์รัชทายาทยังให้ของขวัญชดเชย พวกเขาจะรับดวงตาทะเลสาบสองดวงไว้โดยนิ่งเฉยก็คงไม่ได้
ทั้งสามจักรวรรดิซื้อยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้องมาสิบเอ็ดเม็ด เมื่อทุกคนกินกันแล้ว จึงยังเหลืออยู่อีกสองเม็ด
“อือ!”
จางเซวียนรับยาเม็ดมาเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ
ทั้ง 3 รับคำท้าและแพ้ดวล ต่อให้จางเซวียนปฏิเสธไม่ยอมมอบดวงตาทะเลสาบให้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ การได้ดวงตาทะเลสาบสองดวงกลับคืนมาจึงถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง การมอบยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้องเพียง 2 เม็ดให้เทียบอะไรกันไม่ได้เลย
แต่การได้ยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้องมาก็ถือเป็นการใช้หนี้ส่วนหนึ่งแล้ว สำหรับจางเซวียน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ในเมื่อการจัดสรรโควต้าและพื้นที่ของดวงตาทะเลสาบก็ลุล่วงไปแล้ว เราเริ่มงานเลี้ยงกันเสียทีเถอะ หวังว่าทุกคนจะได้สนุกสนานกันในคืนนี้!”
เย่เฉียนประกาศอย่างวางมาด แล้วสาวสวยมากมายก็กรูเข้ามาพร้อมด้วยของปรนเปรอในมือ
องค์รัชทายาทผู้นี้รู้ดีว่าจะหาความสำราญให้ตัวเองได้อย่างไร อาหารทุกจานที่นำมาเสิร์ฟในงานเลี้ยงล้วนแต่มีปริมาณมาก ค่าใช้จ่ายที่เสียไปในการจัดงานครั้งนี้อาจทำให้คนรวยๆ คนหนึ่งล้มละลายได้ทีเดียว
“หลัวชุนกับปี้เจียงไห่ พวกคุณรับยาเม็ดจิตวิญญาณสอดคล้องไว้ กลับจากงานเลี้ยงไปแล้วค่อยกิน!”
จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วยื่นยา 2 เม็ดที่เขาเพิ่งได้มาจากปรมาจารย์หลัวให้ทั้งคู่
ถึงยานี้จะสามารถยกระดับวรยุทธให้นักรบจิตวิญญาณสอดคล้องได้ถึง 1 ขั้นย่อยโดยปราศจากเงื่อนไข แต่ประโยชน์ข้อนี้ก็ไม่ได้น่าสนใจสักนิดสำหรับเขา
ขอแค่จางเซวียนหาหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นจิตวิญญาณสอดคล้องได้มากพอ เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับกินข้าวดื่มน้ำ ตัวเขากินยานี้เข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้คนอื่นใช้จะดีกว่า
“คุณให้พวกเรา?”
หลัวชุนกับปี้เจียงไห่ผงะ
ไม่ใช่พวกเขาไม่รู้ว่ายานี้มีค่าแค่ไหน แต่อีกฝ่ายมอบให้อย่างง่ายๆ …
“ใช่ ยกระดับวรยุทธของคุณเสียก่อนจะเข้าไปทะเลสาบหมดจด อย่าทำให้โควต้าที่ผมต้องเหนื่อยยากฝ่าฟันมาให้พวกคุณต้องสูญเปล่า!” จางเซวียนตอบหน้านิ่ง
“ขอบคุณปรมาจารย์จาง”
ทั้งคู่ตาแดงก่ำ ต่างรีบโค้งคำนับ
ขณะที่คนอื่นๆ แก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้ทรัพยากรที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ ปรมาจารย์จางกลับใจกว้างถึงขนาดมอบของขวัญล้ำค่าให้พวกเขา…การกระทำครั้งนี้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างจับใจ
หลัวชุนกับปี้เจียงไห่ยังคงคิดจะเทียบชั้นและชิงดีชิงเด่นกับจางเซวียน แต่เพิ่งตอนนี้เองที่รู้ตัวว่าไม่เพียงแต่จะพ่ายแพ้หลุดลุ่ยในเรื่องวรยุทธ แม้แต่ความมีน้ำใจก็เทียบกับอีกฝ่ายไม่ได้
หากปรมาจารย์หลัวกับพรรคพวกรู้ความคิดของทั้งคู่ล่ะก็ คงปล่อยโฮแน่
หมอนี่-มีน้ำใจ?
มีน้ำใจกับผีอะไร! คุณไม่เห็นเหรอว่าพวกเรายับเยินแค่ไหน?
ทั้งโควต้าและดวงตาทะเลสาบควรจะเป็นของพวกเรา แต่เราก็ยังต้องขอบคุณอีกฝ่ายอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว…คุณกล้าเรียกเจ้าคนชั่วร้ายและหน้าไม่อายคนนั้นว่ามีน้ำใจ?
ด้านนอกวังตะวันออก…
“ฝ่าบาท, ปรมาจารย์เว่ย!”
สองร่างที่เดินมาไกลๆ ทำให้เหล่าองครักษ์แทบกระโดด
“ผมจะไปรายงานองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้ เพื่อจะได้ต้อนรับฝ่าบาทกับปรมาจารย์เว่ย…”
บุคคลผู้ทรงอำนาจที่สุดในจักรวรรดิฮ่วนหยูมาเยี่ยมกระทันหันยามวิกาล คงไม่มีใครไม่ตกใจ
“ไม่ต้องหรอก ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ปรมาจารย์เว่ยกับเราแค่เดินมาดู!”
เย่เหวินเถียนโบกมืออย่างสบายๆ ก่อนจะเดินไปกับเว่ยเจียง
ขณะที่ทั้งคู่อยู่ในบริเวณวังตะวันออก เย่เหวินเถียนตั้งคำถาม “ถ้าปรมาจารย์จางมีความปราดเปรื่องพอที่จะได้เป็นยอดขุนพลจริงๆ เราควรทำอย่างไร?”
“จะทำอะไรได้ล่ะ? ก็ต้องรายงานเรื่องนี้ให้สถาบันปรมาจารย์รู้ จะได้ดูแลบ่มเพาะเขาเป็นพิเศษ! ความสามารถแบบนี้มีความสำคัญต่อสภาปรมาจารย์มาก คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว!” เว่ยเจียงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อือ” เย่เหวินเถียนพยักหน้า
ถึงตัวเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่ก็พอรู้เรื่องราวเกี่ยวกับยอดขุนพลอยู่บ้าง
ยอดขุนพลคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการต่อสู้ในหมู่ปรมาจารย์ ถ้าปรมาจารย์จางได้เป็นยอดขุนพลจริงๆ ตำแหน่งและสถานภาพของเขาจะต้องพุ่งพรวดจนเหนือกว่าครูใหญ่ของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนเสียอีก!
“แต่ว่า…เงื่อนไขของการได้เป็นยอดขุนพลนั้นลำบากยากเย็นมาก ผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบหลายด่านเพื่อยืนยันว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาเก่งกาจพอจะได้เป็นยอดขุนพลจริงๆ ?”
เย่เหวินเถียนขมวดคิ้ว
เหล่าปรมาจารย์ต้องผ่านการทดสอบเฉพาะทางมากมายกว่าจะได้การยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นยอดขุนพล ถือเป็นกระบวนการที่เหน็ดเหนื่อยและยุ่งยากมาก
“เอาเถอะ รอดูเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ…” เว่ยเจียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ แต่ยังพูดไม่ทันจบก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างหน้า เขาเขม้นมองและเห็น 3 ร่างเดินนำหน้าอยู่ไวๆ
เมื่อเห็นชัดว่าเป็นใคร เย่เหวินเถียนก็เร่งฝีเท้า “เย่เหวินเถียนคารวะองค์หญิงที่ 6, ปรมาจารย์หลัวและปรมาจารย์ชิงด้วย!”
ทั้งสามก็คือองค์หญิงที่ 6 หลัวฉีฉี และชิงย่วน ซึ่งกำลังจะไปร่วมงานเลี้ยง
“ฮ่องเต้เย่เหวินเถียนนี่เอง มีเรื่องอยากคุยกับคุณอยู่พอดี”
เมื่อเห็นว่าเป็นเย่เหวินเถียน องค์หญิงเฟยเอ๋อก็เลิกคิ้ว “คุณปกครองดูแลจักรวรรดิฮ่วนหยูยังไงน่ะ? ถ้าเหน็ดเหนื่อยกับงานเสียเต็มที ก็แค่พูดมาคำเดียว…”