Skip to content

Library Of Heaven’s Path 636

ตอนที่ 636 การยอมจำนนโดยดุษณี

“คุณ…”

องค์หญิงเฟยเอ๋อแทบกระอักเลือด

รินไวน์ให้คุณแก้วหนึ่ง? รินหัวตัวเองโน่น!

ฉันจ่ายค่าไถ่ตัวเองไปแล้ว 10 วันนะ!

ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนใช้ของคุณ เข้าใจใช่ไหม?

“ผมรู้!” จางเซวียนพยักหน้า “เราเคยพบกันมาแล้ว จะว่าเป็นสหายก็ได้ ถูกไหม…องค์หญิงที่ 6?”

องค์หญิงจ้องหน้าจางเซวียนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เธอกัดฟันตอบ “ใช่!”

เธอไม่มีทางเลือก เพราะอีกฝ่ายไว้หน้าเธอแล้ว หากหมอนั่นโพล่งออกมาว่าเธอเป็นคนใช้ คงอับอายขายหน้าจนตายกันไปข้าง

“ฉันจะรินให้!” หยู่เฟยเอ๋อกระทืบเท้าไปหาขวดไวน์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วรินไวน์แก้ว 1 ให้จางเซวียนพร้อมกับนึกแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ ถ้าทำได้ ก็อยากถลกหนังหมอนี่ทั้งเป็น

แต่แน่นอนว่าไม่มีวันได้ทำ เพราะเธอเป็นฝ่ายแพ้พนัน และตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ของเธอก็ตกเป็นตัวประกันอยู่กับหมอนั่น ต่อให้อยากทำก็ทำไม่ได้!

“เอาเถอะ!” เห็นสีหน้าไม่เต็มใจของอีกฝ่าย จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า

ตอนพนันกัน คุณก็พยายามจะให้ผมคุกเข่าให้ได้ ต่อให้เป็นองค์หญิง…ก็แล้วไงล่ะ? นี่แค่เบาะๆ เท่านั้นเอง

“ท่านอาจารย์…เฟยเอ๋อเป็นเพื่อนรักของฉัน จะเป็นไปได้ไหมว่า…”

เห็นเพื่อนหน้าแดงก่ำจนเหมือนจะระเบิดได้ทุกขณะ หลัวฉีฉีไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี

นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าคนหยาบคายร้ายกาจที่เพื่อนรักของเธออยากบีบคอจะเป็นคนเดียวกันกับท่านอาจารย์ของเธอ

เธอรักทั้งสองฝ่าย จึงอยากจะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งคู่

“เธอเป็นเพื่อนของคุณ? ก็ได้…ผมจะยกให้ 10 วัน”

จางเซวียนพยักหน้า

ส่วนองค์หญิงก็นึกว่า เมื่อเพื่อนรักของเธอเอ่ยปากแบบนั้น อีกฝ่ายก็น่าจะยอมจบเรื่องนี้ ใครจะคิดว่าได้มาแค่ 10 วัน? เธอหน้าแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “ฉีฉี ไม่ต้องไปวิงวอนเขา ก็แค่หินวิเศษ! ทำอย่างกับฉันไม่มี…”

จางเซวียนนัยน์ตาวาวขณะพูดต่อ “ก็ดีที่คุณมีหินวิเศษมากพอจะใช้หนี้ผม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่จำเป็นต้องให้ส่วนลดอะไร เอาเป็นว่าที่ยกให้ 10 วันถือเป็นโมฆะไปก็แล้วกัน!”

10 วันก็เท่ากับหินวิเศษขั้นกลางตั้ง 700 ก้อน หากทำได้ เขาก็ไม่อยากจะเสียไป

องค์หญิงเฟยเอ๋อแทบกระอักเลือดอีกรอบ

“ท่านอาจารย์ล้อเล่นเท่านั้นแหละ ใจเย็นก่อน…”

เห็นเพื่อนรักโมโหเดือด หลัวฉีฉีส่ายหน้าและถามว่า “ใช่สิ เธอบอกว่าอยากเรียนเรื่องการหลอมยากับอาจารย์จางไม่ใช่หรือ? เขาก็อยู่นี่แล้ว…”

“ให้ฉันเรียนกับหมูเสียยังดีกว่า!”

องค์หญิงเฟยเอ๋อกัดฟันกรอด

“ก็ได้”

รู้แล้วว่าไม่มีทางจะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างเพื่อนรักกับอาจารย์จางได้ในตอนนี้ คงต้องรอโอกาสหน้า

เมื่อแขกคนสำคัญมาถึงแล้ว งานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไป

แต่เพราะมีฮ่องเต้เย่เหวินเถียนกับปรมาจารย์เว่ยอยู่ด้วย เช่นเดียวกันกับองค์หญิงที่ 6 ที่พร้อมจะปรี๊ดแตกได้ตลอดเวลา ความรื่นเริงที่มีอยู่ก่อนหน้าจึงอึมครึมไปถนัด

ครู่ต่อมา หลัวจ้าวกับอีกหลายคนก็ทนไม่ไหว พวกเขาต่างกล่าวอำลา

เพราะถูกอัดเสียน่วม จึงอยากกลับไปพักฟื้นโดยเร็วที่สุด และทะเลสาบหมดจดก็จะเปิดอยู่วันพรุ่งนี้แล้ว โควต้า 2 ที่นั่งที่พวกเขามีอยู่จะต้องไม่สูญเปล่า!

“องค์รัชทายาท พวกเราก็ขอลา!”

เห็นคนอื่นๆ กลับ ปรมาจารย์หงก็ลุกขึ้นยืนและประสานมือคารวะ

“รอเดี๋ยว!”

ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังจะเดินออกไป เว่ยเจียงก็เข้ามาถึงตัว

“ปรมาจารย์เว่ย!”

ตอนที่พวกเขามาถึง องค์รัชทายาทเย่เฉียนได้แนะนำประธานสภาปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิฮ่วนหยูและปรมาจารย์ระดับ 5 ดาวขั้นสูงให้พวกเขารู้จักแล้ว จางเซวียนจึงได้แต่ประสานมือทักทาย ไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าคนระดับนั้น

“ปรมาจารย์จาง ขอผมคุยด้วยสักครู่?”

เว่ยเจียงยิ้ม

“ด้วยความยินดี!”

เห็นอีกฝ่ายอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว จางเซวียนยิ้มรับ เขาบุ้ยใบ้ให้ปรมาจารย์หงกับพรรคพวกกลับที่พักไปก่อน จากนั้นก็เดินตามปรมาจารย์เว่ยเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง

“ไม่ทราบว่า…ปรมาจารย์จางเป็นยอดขุนพลหรือเปล่า?”

“ยอดขุนพล? คืออะไร?”

จางเซวียนงง

ยอดขุนพลถือเป็นความลับระดับสูงของสภาปรมาจารย์ จึงไม่มีระบุรายละเอียดไว้ในหนังสือที่จางเซวียนได้อ่าน เขาจึงไม่เข้าใจชัดว่ามันคืออะไร

“เอ่อ…มันคือสาขาหนึ่งของปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการต่อสู้…”

ขณะที่อธิบายรายละเอียดของยอดขุนพลให้อีกฝ่ายฟัง เว่ยเจียงก็ลอบสังเกตทีท่าของเขาไปด้วย

ซึ่งปรมาจารย์จางก็ดูเหมือนจะไม่ได้ปกปิดอะไรไว้ ทำให้เขายิ่งงงงัน

เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดขุนพลหรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้น…จะเอาชนะนักรบที่มีระดับวรยุทธสูงกว่ารวดเดียว 9 คนได้อย่างไร?

เขาเห็นสภาพชวนสังเวชของปรมาจารย์เหล่านั้นแล้ว ทั้งๆ ที่ใบหน้าบวมฉึ่งและดูย่ำแย่ แต่ก็บอกได้ว่าคนที่อัดเขาได้ออมมือให้

ขอแค่ได้ทายาวันสองวันก็น่าจะดีขึ้น

ถึงกับออมมือให้ปรมาจารย์ 9 คนที่มีวรยุทธสูงกว่าตัวเอง…เขาจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหน?

“มีปรมาจารย์สาขานั้นด้วย?”

เมื่อรู้ว่ามีสาขาหนึ่งของปรมาจารย์ที่เรียกว่ายอดขุนพล จางเซวียนให้อัศจรรย์ใจ

เขานึกว่าปรมาจารย์ทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการถ่ายทอดความรู้ให้มวลมนุษย์ ไม่นึกว่าจะมีสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษด้านการต่อสู้

เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมเหล่าปรมาจารย์ถึงขับไล่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไปได้ ทั้งๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่เจอเจตนาสังหารของมันเข้าไปก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

สิ่งที่ปรมาจารย์เว่ยพูดได้ไขข้อข้องใจของเขา…ผู้ปกป้องมวลมนุษยชาติไม่ใช่ปรมาจารย์ทั่วไป แต่เป็นปรมาจารย์กลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถในการต่อสู้เหนือกว่าใครๆ !

“ทำไมประธานเว่ยถึงคิดว่าผมเป็นยอดขุนพล?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย

“ผมรู้มาว่าคุณเอาชนะปรมาจารย์ 9 คนที่มีระดับวรยุทธสูงกว่าคุณได้อย่างง่ายดาย…” เว่ยเจียงตอบ

“ผมเข้าใจแล้ว!” จางเซวียนส่ายหน้า “ผมก็แค่เคยได้ยินชื่อ ไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาหรอก!”

“แล้ว…คุณมีสภาวะพิเศษหรือเปล่า?” เว่ยเจียงถาม

“เหตุผลที่ผมเอาชนะทั้ง 9 คนได้เพราะผมมองเห็นข้อบกพร่องในเทคนิคการต่อสู้และจัดการได้ตรงจุด” จางเซวียนตอบ “ไม่ใช่เพราะสภาวะพิเศษอะไรทั้งนั้น!”

ถ้าจะพูดถึงสภาวะพิเศษ เขาก็มีลูกศิษย์ถึง 3 คนที่มีสภาวะพิเศษที่ว่า ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง จางเซวียนก็ออกจะอิจฉาอยู่ไม่น้อย

“เข้าใจแล้ว!”

เมื่ออีกฝ่ายยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ยอดขุนพลและไม่มีสภาวะพิเศษใดๆ เว่ยเจียงจึงออกจะผิดหวัง

ถ้ามียอดขุนพลเกิดขึ้นในจักรวรรดิฮ่วนหยูสักคน ชื่อเสียงของจักรวรรดิจะต้องระบือลือลั่นไปทั่วโลก

ตราบใดที่ยังไม่ถูกปลุกขึ้นมา สภาวะพิเศษก็เป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ยาก แม้แต่ปรมาจารย์ระดับ 5 ดาวขั้นสูงอย่างเขาก็ดูไม่ออก

ทั้งคู่สนทนากันอีกครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าเว่ยเจียงจะตั้งคำถามอะไร จางเซวียนก็ตอบเลี่ยง

เหตุผลที่จางเซวียนเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธเหนือกว่าได้ทีเดียวหลายคนก็มี 2 ข้อ คือหอสมุดเทียบฟ้ากับเคล็ดวิชาเทียบฟ้า และความสามารถของเขาในฐานะผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ

แต่ทั้งหมดก็เป็นความลับที่ไม่ควรมีใครรู้

ด้วยเหตุนี้ แม้เว่ยเจียงจะตั้งคำถาม แต่จางเซวียนก็ไม่พูดอะไร

ครู่ต่อมา เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางค้นหาคำตอบได้ เว่ยเจียงก็ได้แต่ประสานมือและกล่าวอำลา

“ผมรบกวนปรมาจารย์จาง!”

“ไม่ต้องกังวล!”

จางเซวียนหัวเราะหึๆ ก่อนจะเดินกลับ

เขากลับออกไปได้ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก แล้วฮ่องเต้เย่เหวินเถียนก็พรวดพราดเข้ามา

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มีสภาวะพิเศษ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นยอดขุนพลหรือเปล่า!” เว่ยเจียงส่ายหน้า

“ไม่แน่ใจ?” เย่เหวินเถียนสงสัย

เว่ยเจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “ใช่แล้ว การจะยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นยอดขุนพลหรือไม่จะต้องผ่านการทดสอบหลายรูปแบบ ปรมาจารย์จางอาจจะเอาชนะนักรบที่มีวรยุทธเหนือกว่าเขาได้ก็จริง แต่ผมรู้สึกว่าเขายังห่างไกลกับยอดขุนพลตัวจริงอยู่มาก…ช่างมันเถอะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย ผมจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางสภาปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิหงหย่วนรู้ แล้วให้ประธานสภาปรมาจารย์มั่วตัดสินใจเอง!”

ตัวเขามีตำแหน่งไม่ใหญ่โตพอจะตัดสินใจเรื่องแบบนี้

รายงานให้ทางสำนักงานใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจจะดีกว่า

เย่เหวินเถียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ก็จริง ให้ทางสำนักงานใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจจะดีที่สุด!”

เว่ยเจียงสะบัดข้อมือ และวัตถุที่มีขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งก็ปรากฏ เขาเขียนรายงานลงไปบนนั้น จากนั้นก็มีแสงสว่างวาบและถ้อยคำทั้งหมดหายวับไป

ตราสื่อสารก็มีอานุภาพแบบเดียวกันกับกำแพงสื่อสาร เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้พกติดตัวไปไหนมาไหนได้

ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์หงก็ใช้ของสิ่งนี้ส่งข้อความหามั่วเกาหย่วน

วิ้ง!

สองสามอึดใจหลังจากที่ข้อมูลนั้นถูกส่งไป ตราสื่อสารก็เรืองแสงขึ้นอีกครั้ง

“เอ่อ…”

เว่ยเจียงหรี่ตา ยังแทบไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นข้อความบนตราสื่อสาร

“ประธานมั่วว่าอย่างไร?”

เห็นสีหน้างงงันของเพื่อนเก่า เย่เหวินเถียนขมวดคิ้ว

“ดูสิ…”

เว่ยเจียงกลืนน้ำลายแล้วยื่นตราสื่อสารให้เย่เหวินเถียนดู เขาก้มลงอ่านข้อความที่ปรากฏบนตราสื่อสาร จากนั้นก็ตัวแข็งทื่อไป

ปรากฏข้อความเพียงหนึ่งแถวบนตราสื่อสารอันนั้น

“ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจางเซวียน ห้ามสงสัย, ไต่ถาม หรือพูดถึง!”

ฟึ่บ!

ทันทีที่อ่านจบ ข้อความนั้นก็เลือนไป

“การยอมจำนนโดยดุษณี… หรือประทธนมั่วรู้จักกับปรมาจารย์จาง?”

เย่เหวินเถียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง

โดยปกติการยอมจำนนโดยดุษณีคือรูปแบบการแสดงความเคารพที่ปรมาจารย์ระดับต่ำกว่าจะแสดงต่อปรมาจารย์ระดับสูงกว่า แต่ในเมื่อปรมาจารย์จางเป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 4 ดาว ทำไมประธานมั่วถึงทำแบบนั้น?

หรือว่า…ประธานมั่วรู้จักปรมาจารย์จางอยู่แล้ว?

ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไร?

“เขาคงรู้จักกัน ไม่งั้นคงไม่ตอบกลับเร็วแบบนี้…”

เว่ยเจียงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

เมื่อครั้งที่มั่วเกาหย่วนไปเยือนสมาพันธ์นานาอาณาจักร เขาได้ขอเข้าพบปรมาจารย์หยาง ซึ่งนอกจากจางเซวียน ปรมาจารย์หง และอีกสองสามคนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้

เว่ยเจียงเป็นอาจารย์ของปรมาจารย์หง แต่ก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

“แล้ว…เราควรทำอย่างไร?” เย่เหวินเถียนถาม

“ในเมื่อประธานมั่วตอบมาแบบนั้น ก็อย่าพูดถึงอีกเลย ถึงอย่างไรปรมาจารย์จางก็จะเข้าศึกษาที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วนอยู่แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด ทางสถาบันจะจัดการคัดเลือกยอดขุนพลทุก 5 ปี ซึ่งก็คงเร็วๆ นี้… าเขามีความสามารถพิเศษด้านนั้นจริงๆ ก็จะต้องทำได้!” เว่ยเจียงตอบ

เย่เหวินเถียนพยักหน้าและถอนหายใจ

“การคัดเลือกยอดขุนพล? เมื่อคุณพูดขึ้นมาผมก็นึกได้ แต่การที่คนนอกจะได้เป็นยอดขุนพลน่ะจะต้องเป็นปรมาจารย์ระดับกึ่ง 5 ดาวเป็นอย่างน้อย ปรมาจารย์จางยังเป็นแค่นักรบขจัดสิ่งมัวหมองขั้นสูงสุด จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะได้เป็นนักรบจิตวิญญาณสอดคล้องขั้นสูงสุด?”

เว่ยเจียงพยักหน้า “เขาจะมีคุณสมบัติครบตอนไหนก็ช่างเถอะ แต่ในเมื่อประธานมั่วส่งการยอมจำนนโดยดุษณีมาแล้ว พวกเราก็เงียบปากและรอดูจะดีกว่า”

“คุณพูดถูก!” เย่เหวินเถียนตอบ

ขณะที่ทั้งคู่ซุบซิบคุยกัน จางเซวียนก็ถูกขวางทันทีที่ออกจากวังตะวันออกขององค์รัชทายาท

“ปรมาจารย์จาง ฉันขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว!”

ร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งเข้าขวางทางเขาไว้

“องค์หญิงที่ 6?”

เมื่อรู้แล้วว่าเป็นใคร จางเซวียนก็ขมวดคิ้ว

เธอคือองค์หญิงที่ 6 ซึ่งจะต้องเป็นคนรับใช้ของเขา ทำไมมาตามหาเขาค่ำมืดดึกดื่นๆ แบบนี้?

“ตรงนี้ไม่ดีหรอก ตามฉันมา!”

องค์หญิงเฟยเอ๋อพึมพำขณะนำไปอีกทางหนึ่ง

แต่ครู่หนึ่งให้หลัง เธอก็รู้สึกตัวว่าไม่มีใครตามมา ด้วยความสงสัยจึงหันกลับไป แล้วก็ต้องตัวสั่นด้วยแรงโทสะ

ชายหนุ่มไม่ได้ตามเธอมา หมอนั่นยืนเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเดินไปอีกทางหนึ่ง

“คุณ…ทำไมไม่ตามฉันมา?” เธอตวาดแล้วรีบตามไปติดๆ

“ผมไม่สนใจในเรื่องที่คุณจะพูด!”

จางเซวียนยักไหล่

องค์หญิงเฟยเอ๋อหายใจหอบ โมโหจนแทบปรี๊ดอีกรอบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version